#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
https://www.komchadluek.net/news/514438
10 พ.ค. 2565

สยบข่าวลือถอนตัวจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” คน “ปชป.” ย้ำมาด้วยกันไปด้วยกัน ขณะที่พรรค “เพื่อไทย” ย้ำต้องเร่งลดความเหลื่อมล้ำ ยุติการ ล่วงละเมิดทางเพศ
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ถึงประเด็นที่มีกระแสข่าวว่าปชป.จะถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์รู้หน้าที่ ในการสนับสนุนรัฐบาลเพราะว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนี้ก็มีปัญหาวิกฤติซ้อนวิกฤติหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโควิดก็ยังไม่หมดไป วิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกันทั่วโลก การเมือง ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ซ้ำซ้อนเข้ามา เราต้องจับมือกันเพื่อที่จะเข้าไปแก้ปัญหา หากทิ้งกลางคันก็เท่ากับว่าเป็นการสร้างปัญหาอีกมุมหนึ่ง ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลประชาธิปัตย์จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำงานร่วมกับรัฐบาลก็ต้องสนับสนุนรัฐบาล ประชาธิปัตย์มีหลักชัดเจน ยกเว้นว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาล จึงจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล

อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีคดีความของนักการเมือง หรือผู้มีอำนาจ ใช้กำลังกดขี่ข่มเหงล่วงละเมิดทางเพศ และอาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์จนเกิดเป็นคดีความ ได้สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนของสังคมปิตาธิปไตยหรือสังคมชายเป็นใหญ่ที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย หลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทางเพศและการค้ามนุษย์ที่ถูกกระทำโดยนักการเมือง แต่กลับถูกละเลยจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยิ่งสะท้อนว่าผู้นำของไทยไม่สนใจความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนที่เป็นปัญหาที่สากลโลกตระหนักรู้และให้ความสำคัญในขณะนี้

ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานและเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ กลายเป็นเรื่องปกติจนเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมมีจุดบกพร่องด้วย แม้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้สิทธิ์ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาได้เอง แต่ผู้เสียหายใช้สิทธิ์น้อยมาก เพราะต้องใช้กำลังทรัพย์ในการเข้าถึงทนาย การหาพยานหลักฐานที่ทำได้ยาก และกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อยาวนาน ดังนั้น ควรมีการทบทวนหรือแก้ไขข้อกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิของสตรีโดยให้ยึดหลักผู้เสียหายคือศูนย์กลาง และเมื่อเกิดกรณีพิพาทให้เกิดความเป็นธรรมและต้องลงโทษผู้กระทำผิดให้หลาบจำไม่ให้กลับมาทำผิดซ้ำ