#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/695970

แหวกฟ้าหาฝัน : ชมโบสถ์ St. Emmeram’s Abbey
วันอาทิตย์ ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.
นักท่องเที่ยวที่เยือน Thurn and Taxis Palace และ Treasury Museum แล้ว หากยังมีเวลา สถานที่ท่องเที่ยวที่ใช้เวลาไม่มากในการเยือนอีกแห่งก็คือ Mew Museum ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับ Treasury Museum ที่นี่คือ Riding Hall ที่ถูกก่อสร้างขึ้นในปี 1832 ไว้ใช้บรรจุม้าและรถม้าจำนวนกว่า 80 คัน และคนดูแลกว่า 50 คนของเจ้าชาย Maximilian Karl อาคารที่ถูกตกแต่งตามแนวทางศิลปะแบบ Neoclassic นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากปราสาทของพระเจ้า Ludwig I ที่นี่เป็นสมบัติของตระกูล Thurn and Taxis กว่า 100 ปีจวบจนปี 1955 นักท่องเที่ยวไม่เพียงสามารถเพลิดเพลินกับสถาปัตยกรรมที่ดูเรียบหรูตามแนวทางศิลปะแบบ Neoclassic ยังสามารถชื่นชมกับมิวเซียมรถม้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และรถม้าแบบต่างๆ ที่มีอยู่หลายสิบคันได้อย่างเต็มอิ่ม
ถัดจากมิวเซียมแล้ว ในบริเวณใกล้กันยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่สวยงามอลังการและใช้เวลาในการเยี่ยมชมไม่นานนัก นั่นคือ St. Emmeram’s Abbey หรือปัจจุบันมีชื่อว่า St. Emmeram’s Basilica สำนักสงฆ์แห่งนี้เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 739 ภายใต้อำนาจของ Bishops of Regensburg ก่อนที่ Wolfgang of Regengsburg บิชอปในปี 975 จะยกเลิกการครอบครองสำนักสงฆ์แห่งนี้และปล่อยให้ที่นี่เป็นอิสระจนกลายเป็นต้นตำรับของบิชอปองค์อื่นๆ ทั่วทั้งเยอรมัน
.jpg)
นอกจากนี้ St. Wolfgang ยังมีดำริให้สร้างห้องสมุดขึ้นในสำนักสงฆ์แห่งนี้อีกต่างหากด้วยจึงทำให้ที่นี่มีข้อมูลประวัติศาสตร์อยู่จำนวนหนึ่งแม้ไม่มากนักก็ตาม นับจากมีห้องสมุด พระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ก็ได้ทำการทำสำเนางานทางด้านศาสนจักรสมัย Carolingian เพื่อแจกเป็นของขวัญจึงทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งผลิตงานเกี่ยวกับศาสนจักรที่สำคัญให้กับที่อื่นๆ อาทิงานของ St. Augustine นอกจากนี้พระสงฆ์ที่นี่ยังเขียนหนังสือสร้างแรงบันดาลใจเพื่อใช้สำหรับการศึกษาในโรงเรียน อาทิ งานเกี่ยวกับตรรกะวิทยา คณิตศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ ไวยกรณ์ดาราศาสตร์และดนตรี อีกต่างหากด้วย
ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ห้องสมุดของ St. Emmeram ก็มีชื่อเสียงมากจนห้องสมุดของเมืองอื่นๆ ทั่วเยอรมันต้องมายืมหนังสือไปทำสำเนา ในปี 1295 St. Emmeram ก็มีอิสระมากขึ้นโดยขึ้นตรงกับจักรพรรดิเท่านั้นภายใต้พระราชานุญาตของพระเจ้า Adolf of Nassauโบสถ์มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงคริสตวรรษที่ 18 จนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของกลุ่มการศึกษาของเมืองมิวนิค ในปี 1731 ตระกูล Asamได้ทำการปรับปรุงโบสถ์ใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้นตามแนวทางศิลปะแบบบาโรค ในปี 1803 โบสถ์เข้าสู่การครอบครองของ Prince PrimateCarl Theodor vonDalberg และได้บริจาคพื้นที่บางสวนให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ และสมบัติบางส่วนของห้องสมุดให้กับเมืองมิวนิค นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโบสถ์แห่งนี้จะได้ชื่นชมกับความวิจิตรตระการตาของแท่นบูชา และอาคารที่ตกแต่งตามสถาปัตยกรรมแบบรอคโคโคอย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว









