แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนมหาวิหาร Regensburg

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/697351

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนมหาวิหาร Regensburg

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนมหาวิหาร Regensburg

วันอาทิตย์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือน Regensburg สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่น่าสนใจและใช้เวลาในการเยือนไม่มากนักนั่นคือ Regensburg Cathedral หรือ St. Peter Cathedral โบสถ์ที่ถูกก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบโกธิคของบาวาเรียแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของเมือง ดั้งเดิมนั้นโบสถ์แห่งนี้มาจากโบสถ์ที่ชื่อว่า Niedermunster ที่อยู่ทางทิศตะวันตก
ของสถานที่ตั้งในปัจจุบันซึ่งถูกสร้างขึ้นราวปี 700เพื่อไว้บรรจุศพของ Erhard of Regensburg และเพื่อให้มีห้องสวดมนต์ของราชวงศ์ ในปี 739St. Boniface ได้เลือกที่นี่เป็นที่ประทับของพระองค์ ที่นี่จึงรุ่งเรืองขึ้นอีก

ในปี 1156-1172 โชคร้ายที่โบสถ์แห่งนี้ถูกไฟไหม้ถึง 2 ครั้ง แต่ในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจของเมืองกำลังรุ่งเรือง ในปี 1273 เจ้าเมืองจึงมีดำริให้รีบก่อสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับชาวเมืองโดยเลือกสถาปนิกที่จบการศึกษาจากฝรั่งเศสส่งผลให้โบสถ์ได้รับการออกแบบตามแนวทางศิลปะแบบโกธิคฝรั่งเศส ระหว่าง 1385-1415 การก่อสร้างทางเข้าใหม่ด้านทิศตะวันตกก็เสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นการก่อสร้างกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนอาคารใหม่กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ปาไปปี 1520 หรือกว่า 200 ปี

ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โบสถ์ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งให้เป็นไปตามแนวทางศิลปะแบบบาโรคซึ่งเป็นแนวทางศิลปะที่นิยมในสมัยนั้นเพื่อให้มีความทันสมัยและหรูหรามากขึ้น การปรับปรุงครั้งนั้นทำให้เกิดการตกแต่งภาพปูนเปียกที่หอสวดมนต์ All Saints ขึ้น ระหว่าง 1828-41พระเจ้า Ludwig I แห่งบาวาเรียได้สั่งปรับปรุงโบสถ์อีกครั้งตามแนวทางศิลปะแบบ Neo-Gothic ทำให้ส่วนหลังคากลมถูกรื้อออกไประหว่างปี 1859-69 ส่วนหอคอยและยอดของโบสถ์ก็ได้รับการต่อเติมจนเสร็จเรียบร้อยในปี 1923 รัฐบาลได้มีดำริที่จะปรับปรุงโบสถ์อีกครั้ง แต่ใช้เวลานานมากในการปรับปรุงในทศวรรษที่ 1980 รัฐบาลได้ทำการปรับปรุงโดยยกเอาส่วนที่บรรจุพระศพของกษัตริย์ต่างๆออกไป

ส่วนรูปปั้นดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ปี 1280 และยังคงอยู่ถึงปัจจุบันคือ พระแม่มารี และเทพ Gabriel อีกรูปหนึ่งคือ St. Peter และSt. Paul ที่สร้างขึ้นในปี 1320 และ 1370 ส่วนหอสวดมนต์ที่สร้างขึ้นในปี 1140 เพื่อใช้ฝังพระศพ Bishop Hartwig II ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกกลุ่มเดียวกับโบสถ์ที่โคโมทางตอนเหนือของอิตาลีนั้นก็ยังคงอยู่ในปัจจุบันเช่นกันส่วนกระจกสีที่ติดตั้งระหว่างปี 1220-30 และ1320-70 นั้นใช้เวลาในการตกแต่งนานมากกว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระหว่าง 1967-68 ส่วนกระจกสีก็ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งโดยProfessor Oberberger นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชื่นชมกับงานทัศนศิลป์ ประติมากรรมโบราณ รวมทั้งกระจกสีที่วิจิตรบรรจงอย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s