#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/715963

ผู้เชี่ยวชาญ สจล. แนะวิธีออกแบบ และปรับปรุงอาคารรับมือแผ่นดินไหว
วันพฤหัสบดี ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.
ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอาคารต้านทานแผ่นดินไหว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) แนะแนวทางในการรับมือแผ่นดินไหวทั้งด้านการออกแบบ และวิธีการปรับปรุงแก้ไขอาคารสิ่งปลูกสร้างเก่าก่อนที่จะมีกฎหมายกำหนดเพื่อลดความเสี่ยงจากความเสียหายด้วย4 แนวทาง คือ การเสริมกำลังด้วยคอนกรีตและเหล็กเสริมที่เสาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม การเสริมกำลังด้วยแผ่นเหล็กที่เสาจะทำให้อาคารมีการรับแรงด้านข้างได้มากขึ้น การเสริมกำลังโดยให้กำแพงสามารถรองรับแรงเฉือน และการเสริมกำลังด้วยโครงแกงแนง
ดร.ภาณุมาศ ไทรงาม อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอาคารต้านทานแผ่นดินไหว กล่าวว่า ส่วนสำคัญในการออกแบบโครงสร้างเพื่อรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวนั้น คือการออกแบบให้เสามีขนาดใหญ่ขึ้นจากเมื่อก่อน เพราะผลกระทบโดยตรงของอาคาร สิ่งปลูกสร้างจากแผ่นดินไหวจะเป็นแรงที่กระทำจากด้านข้าง นั้นคือจะส่งผลกระทบไปที่เสา เวลาออกแบบก่อสร้าง จึงต้องออกแบบให้เสามีขนาดใหญ่ขึ้นโดยที่เราจะใช้ระบบที่เรียกว่า “เสาแข็งคานอ่อน” เพราะถ้าเสามีความแข็งแรงมากๆ โอกาสที่เสาจะเอนก็จะน้อยลง รวมถึงทำอาคารให้มีความเหนียวมากขึ้นโดยการเพิ่มรายละเอียดเหล็กเสริม และเหล็กปลอกของโครงสร้างอาคาร
สำหรับอาคารเก่าที่เจ้าของมีความกังวล ในหลักการของทางวิศวกรรมอาจต้องทำการวิเคราะห์อาคารเหล่านั้นได้ และถ้าผลออกมาพบว่าเป็นอาคารที่ไม่สามารถรับแรงแผ่นดินไหวได้ เราก็จะทำการเสริมกำลังอาคารเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว โดยมี 4 แนวทาง ดังนี้ 1.เสริมกำลังด้วยคอนกรีตและเหล็กเสริมที่เสาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม (Concrete jacketing) ซึ่งเป็นวิธีการเสริมแรงแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหวในพื้นที่ที่มีผู้เชี่ยวชาญในงานก่อสร้างด้านการเสริมกำลังด้วยโครงคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยเป็นวิธีดังเดิมที่ถูกใช้ในหลายประเทศ 2.เสริมกำลังด้วยแผ่นเหล็กที่เสาจะทำให้อาคารมีการรับแรงด้านข้างได้มากขึ้น (Steel jacketing) แทนการเอาเหล็กเสริมและคอนกรีตเข้าไปพอกที่เสาเพียงอย่างเดียว เหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหว และมีผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้างงานด้านการเสริมกำลังด้วยโครงสร้างเหล็ก 3.เสริมกำลังโดยให้กำแพงสามารถรองรับแรงเฉือน (Shear wall) ซึ่งอาคารสูง หรืออาคารสาธารณะในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯมีการออกแบบรับแรงด้านข้างมานานแล้ว จากปกติที่ผนัง หรือกำแพงจะเป็นแค่อิฐเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้กับอาคารสูง เนื่องจากจะได้รับผลกระทบทั้งแรงลม หรือแผ่นดินไหวมากกว่าอาคารต่ำวิธีการคือใส่เหล็กเพื่อช่วยรับแรงด้านข้างดังกล่าว หรือเรียกว่าเป็น ผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก กำแพงแบบนี้จะไม่มีโครงสร้างเสาคานให้เห็น ซึ่งเกิดจากการออกแบบให้มันรับน้ำหนักแทนเสาและคาน ผนังแบบนี้แข็งแรงกว่าผนังก่ออิฐฉาบปูน แต่มีข้อเสียตรงที่เราไม่สามารถปรับแต่ง ต่อเติม หรือเจาะผนังได้ เพราะจะเกิดความเสียหาย 4.เสริมกำลังด้วยโครงแกงแนง (Bracing) ซึ่งจะช่วยรับแรงด้านข้างได้ดี มีลักษณะของการเสริมกำลังด้วยการใช้เหล็กแท่งเสริมเข้าไประหว่างเสา 2 ต้น เพื่อเพิ่มการรับแรงกระทำจากด้านข้าง การยึดรั้งและเพิ่มเสถียรภาพและความแข็งแรงทางด้านข้าง ซึ่งเป็นระบบที่ถูกใช้เสริมกำลังอาคารเพื่อต้านทานแผ่นดินไหวในหลายประเทศ
สำหรับอาคารยุคเก่า กลุ่มแรกที่ควรได้รับการตรวจสอบ และวิเคราะห์ เป็นกลุ่มอาคารสาธารณะที่มีผู้คนใช้งานเป็นจำนวนมากเพื่อหาแนวทางป้องกัน และเสริมกำลังให้ต้านทานแผ่นดินไหวต่อไป ดร.ภาณุมาศ สรุปในตอนท้าย



