ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160414/225882.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160414/225882.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160412/225772.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160308/223761.html
ยังไม่มีทีท่าจะยุติกับกรณีของวิบากกรรม “ธรรมาภิบาล” ของผู้บริหารใหญ่ “ซีพีออลล์” ที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะสมาคมบริษัทจัดการลงทุนที่ออกโรงกดดันให้ผู้บริหารแสดงความรับผิดชอบกรณีใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในทำการซื้อขายหุ้นอย่างไม่เป็นธรรม (อินไซเดอร์) จนถูก ก.ล.ต.สั่งลงโทษปรับไปกว่า 33 ล้านบาท
แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนากระทำผิด แต่ดูเหมือนวิบากกรรมหนนี้จะเหมือนไฟลามทุ่ง เพราะล่าสุดนี้ คุณวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ยังคงยืนยันว่าสมาคมจะยังคงเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทจัดการกับปัญหาธรรมาภิบาล โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวประธานกรรมการบริษัท โดยผู้ลงทุนกลุ่มสถาบันจะไม่เพิ่มการลงทนในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัท หลังจากยังคงนิ่งเฉยไม่มีการลงโทษใดๆ
แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจผู้บริหารซีพี ออลล์ แต่ในมุมมองของนักลงทุนโดยเฉพาะสมาคมบริษัทจัดการลงทุนนั้น เข้าใจว่าคงไม่ได้มองแค่การที่ผู้บริหารซีพีออลล์ออกมายอมรับผิดแล้วเรื่องก็จบ แต่คงอยากเห็นบรรทัดฐานที่ผู้บริหารจะแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งไปก่อน ส่วนในอนาคตบริษัทแม่ หรือผู้ถือหุ้นบริษัทจะพิจารณาแต่งตั้งกลับเข้ามาอย่างไรก็เป็นอีกเรื่อง
จะว่าไปเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อกรณีธรรมาภิบาลของยักษ์ใหญ่แห่งนี้ใช่จะเป็นหนแรก ก่อนหน้านี้ก็เคยโดนกรณี “ดราม่า” เรื่องเค้กกล้วยหอม “สยามบานาน่า” หรือโตเกียวบานาน่าเมืองไทยที่ดีลกันไปจนเป็นรูปร่างจะเข้ามาวางในร้านอยู่แล้ว แต่กลับมาเจอ “เลอแปงบานาน่า” สินค้าเฮ้าส์แบรนด์ปาดหน้า
ทำเอาเจ้าของแบรนด์ดัง “ปาดน้ำตา” จนกลายเป็นกรณี “ดราม่า” กระหึ่มโลกโซเชียลไปร่วมเดือน
ล่าสุดนี่ยังมีเรื่องของการให้บริการคงสิทธิ์เลขหมายที่มาทำสงครามตลาดช่วงชิงลูกค้าเก่า 2 จี บนคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ โดยให้ดำเนินการโอนย้ายอัตโนมัติผ่านเครือข่ายร้านเซเว่นอีเลฟเว่น โดยใช้แค่บัตรประชาชนไปแสดงใบเดียว ไม่มีการเรียกเก็บเอกสารใดๆ ตามหลักเกณฑ์ของ กสทช.
แถมจัดโปรโมชั่นช่วงชิงลูกค้าที่ทำเอาค่ายมือถือด้วยกันถึงกับเดือด เพราะเล่นขายหน้าเคาน์เตอร์แจ้งลูกค้าว่าให้รีบย้ายเครือข่ายมาก่อนซิม 2 จี 900 เดิมจะดับ จนทำเอา 2 มือถือค่ายยักษ์ “เอไอเอส-ดีแทค” ยื่นเรื่องร้องเรียนให้ กสทช.เข้ามาตรวจสอบเป็นการด่วน
แม้ตัวผู้บริหารบริษัทเรียลมูฟ (ในเครือทรูมูฟ) จะออกโรงชี้แจงว่าเป็นการดำเนินการตามกฎหมายใหม่ พ.ร.บ.ธุรกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ทำเอาคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และ กสทช. “มึนไปแปดตลบ” เพราะหลักเกณฑ์ใหม่ที่ว่า กสทช.ยังไม่ได้ประกาศใช้ ขืนปล่อยให้ทรูดำเนินการได้ ก็เท่ากับหลักเกณฑ์ตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยบริการคงสิทธิ์เลขหมายไม่มีความหมายใดๆ เลย
แถมยังไปทดลองติดตั้งเครื่องเพื่อให้บริการ 4 จี 900 เมกะเฮิรตซ์ นำร่องไปก่อนจะขอรับใบอนุญาตจาก กสทช. เสียอีกเพราะได้โหมโรงไปล่วงหน้าแล้วว่าจะเริ่มเปิดให้บริการทันทีในเดือนมีนาคมนี้ ทำเอา กสทช.มึนหนักเข้าไปอีก
แต่จะลุกขึ้นมาไล่บี้ทรูมูฟก็ดู กสทช.จะขยาด เพราะเคยไล่เบี้ยอย่างกรณีสัญญาทำการตลาด 3 จีด้วยเทคโนโลยี HSPA ที่ทำกับแคทเทเลคอมในอดีตนั่น ท้ายที่สุดก็ทำเอา กสทช.กลับลำแบบ 180 องศามาแล้ว จึงได้แต่อ้ำอึ้งๆ ยังหาทางลงไม่เจอ
กสทช.ที่วันนี้จึงเผชิญกับบทพิสูจน์ว่า ประกาศ กสทช.ที่ออกมาใช้บังคับนั้นมีผลบังคับใช้ได้จริงหรือ?
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160223/222953.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160218/222667.html
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160212/222289.html
น่าจะถือเป็นมหกรรมคืนความสุขแก่คนในชาติที่ทุกฝ่ายเพรียกหาอย่างแท้จริง กับตลาดมือถือ 4จี ในบ้านเราเวลานี้ ที่กำลัังระอุแดด แต่ละค่ายต่างงัดกลยุทธ์ลดแลกแจกแถมขึ้นมาห้ำหั่นเพื่อช่วงชิงลูกค้ากันสนั่นเมือง หลังจากรัฐบาลและคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดประมูลคลื่นความถี่ 1800 และ 900 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ไม่เพียงจะสามารถดึงเม็ดเงินเข้ารัฐทะลักไปกว่า 2.3 แสนล้านบาท ผลพวงจากการแจกใบอนุญาต หรือ “ไลเซนส์” 4จี ดังกล่าว ยังทำให้ประชาชนผู้ใช้มือถือแทบจะสำลักกับบรรดาโปรโมชั่นที่แต่ละค่ายงัดขึ้นมาห้ำหั่นกันละลานตาจริงๆ
เห็นผลพวงของมือถือ 4จี ยามนี้ ที่ทำเอาเศรษฐกิจประเทศไทยกระเพื่อมแล้ว ก็ทำให้อดนึกไปถึงสัมปทานร้านปลอดภาษี “ดิวตี้ฟรี” ทั้งในสนามบิน และนอกสนามบิน ที่รัฐบาลและบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้บริษัทเอกชนรายหนึ่งผูกขาดกิจการอยู่เจ้าเดียวในเวลานี้จริงๆ
แม้จะมีการยืนยันว่า ได้สัมปทานมาอย่างถูกต้องชอบธรรม ประมูลแข่งกับเจ้าใหญ่ๆ ในเมืองไทยมาแล้วทั้งนั้น แถมได้จ่ายค่าสัมปทาน ภาษีนำเข้าและภาษีเงินได้อะไรต่อมิอะไรให้รัฐกว่า 7.8 หมื่นล้านบาท มีส่วนในการนำเงินตราเข้าประเทศกว่า 3 แสนล้าน แต่ก็มีคนสงสัยว่า จริงแล้วที่ได้ประมูลแข่งขันจนได้มานั้น เฉพาะที่สนามบินดอนเมือง ที่ประมูลไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก่อนที่ดอนเมืองจะกลับมาเปิดใช้ได้อีก ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิ กับอีก 3 สนามบิน ที่ ทอท.ดูแลอยู่นั้น มีคนถามว่า มีการประมูลกันตั้งแต่เมื่อไหร่
โดยเฉพาะ “ร้านปลอดภาษีในเมือง” ที่มีทั้งกรุงเทพฯ และชลบุรี นั้น มีการประมูลกันจริงหรือไม่ ถ้ามี เปิดประมูลเมื่อไหร่?
เรื่องนี้ ในสมัย พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เคยตั้งคณะทำงานเข้าตรวจสอบสัญญาร้านปลอดภาษีเหล่านี้มาแล้ว ได้รับการยืนยันว่า รายได้ประกอบการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีนอกสนามบินเหล่านี้ ไม่สามารถจะนำมารวมคำนวณเป็นรายรับเพื่อจ่ายค่าสัมปทานให้แก่ ทอท.ได้ เพราะการจัดตั้งร้านปลอดอากรในเมืองดังกล่าว ไม่ได้อยู่ใต้สัมปทานของ ทอท.
มันหมายความว่าอย่างไรรู้ไหมท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ !
มันแปลว่า การจัดตั้งและขายสินค้าปลอดอากร “นอกสนามบิน” เหล่านี้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานใดๆ ให้แก่รัฐ หรือ ทอท. แม้สตางค์แดงเดียว นอกจากจ่ายค่าเช่าพื้นที่อันที่ที่ตั้ง “จุดส่งมอบสินค้า” หรือ พิคอัพ เซ็นเตอร์ ที่ผู้ประกอบการร้านปลอดอากรรายอื่นๆ กำลังร้องโวยวายอยู่นี้เท่านั้น!
แล้วก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ยิ่งจำหน่ายสินค้าปลอดอากรนอกสนามบินได้มากเท่าไหร่ ทอท.และประเทศชาติก็ยิ่งได้ค่าสัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินน้อยลงไปเท่านั้น เผลอๆ รายรับที่บอกว่าสูงถึงปีละ 6.5 หมื่นล้าน และปี 2559 นี้จะทะลักไปถึง 8.5-9 หมื่นล้านบาททนั้น แต่ ทอท.อาจได้ค่าสัมปทานแค่ “การันตีขั้นต่ำ” ตามสัญญาเท่านั้น!
เท็จจริงอย่างไรท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ และท่านรองนายกฯ สมคิด ก็ลองเรียกเอกสารจากท่านประธาน ประสงค์ พูนธเนศ และ “ดร.อ๊อป” นิตินัย ศิริสมรรถการ มาดูได้
ดูแล้วอาจจะเงิบเหมือนกับคนอื่นที่ได้เห็นเอกสารนี้ิก็เป็นได้
เรื่องของสัมปทาน “ดิวตี้ ฟรี” ทั้งภายในและนอกสนามบินนั้น ยังมีปมที่น่าสนใจ น่าติดตามกันอีกเยอะ !
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160210/222162.html
ข้อสังเกตบางประการในร่างรัฐธรรมนูญ กับกรอบวินัยทางการเงินการคลังและงบประมาณ : กระดานความคิด โดยปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเงินคลัง
ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ยกเลิก ไม่จัดให้มี “หมวดการเงิน การคลัง และงบประมาณ” ดังเช่นในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่มีหมวด 8 ว่าด้วย “การเงิน การคลัง และงบประมาณ” และไม่มีมาตราที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินเข้าเป็นเงินคงคลัง ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีเพียงกำหนดไว้ในมาตรา 135 มาตราเดียว คือหลักอนุญาตในการจ่ายเงินแผ่นดิน และข้อยกเว้นในการจ่ายเงินแผ่นดินในกรณีจำเป็นรีบด่วนเท่านั้น
ผลของมาตรานี้จะก่อให้เกิดปัญหากับหลายหน่วยงานของรัฐในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณที่ไม่ต้องนำส่งเป็นเงินคงคลังแต่เป็นเงินแผ่นดิน กล่าวคือ เงินทั้งปวงที่อยู่ในความรับผิดชอบของทุกหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่เป็นเงินของเอกชน จะเป็น “เงินแผ่นดิน” ทั้งสิ้น แต่กฎหมายของหน่วยงานของรัฐที่ใช้จ่ายเงินนั้นๆ ไม่ใช่กฎหมายตามที่มาตรา 135 กำหนดไว้
กฎหมาย 4 ประเภทตามที่ระบุไว้เป็นการเฉพาะในการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน ตามมาตรา 135 คือ 1.กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย 2.กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ 3.กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ และ 4.กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ฉะนั้นถ้าเป็นกฎหมายอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในข่ายของกฎหมายดังกล่าวนี้ หากจ่ายเงินแผ่นดินไปก็จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ส่วนตัวเห็นด้วยในหลักการของมาตรา 135 ที่ยังคงให้ความสำคัญกฎหมายที่เป็นแก่นหลักในการจ่ายเงินแผ่นดินทั้ง 4 ประเภทนี้ไว้ โดยเฉพาะกฎหมายเงินคงคลังและกฎหมายวิธีการงบประมาณ แม้จะใช้มานานมากแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังมีระบบวินัยการคลังที่ดี เพียงในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขาดมาตรารองรับที่กำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐที่ไม่ต้องนำส่งเข้าเงินคงคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เพราะเงินนอกงบประมาณทั้งปวงนี้ล้วนเป็นเงินแผ่นดินตามมาตรา 135 ทั้งสิ้น
ฉะนั้นถ้ามาตรานี้มีผลบังคับใช้แล้วโดยไม่มีบทเฉพาะกาล จะเป็นผลทำให้การจ่ายเงินนอกงบประมาณของทุกหน่วยงานของรัฐทุกประเภท ไม่ว่าจะมีฐานะเป็นส่วนราชการหรือไม่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ไม่สามารถจ่ายเงินนอกงบประมาณที่เป็นเงินแผ่นดินไปตามอำนาจกฎหมายของหน่วยงานที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ เพราะไม่อยู่ในข่ายกฎหมาย 4 ประเภทดังกล่าว อันจะก่อความเสียหายแก่ประเทศชาติ
แนวทางแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาและความเสียหายที่สำคัญนี้ สามารถทำได้โดยการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 135 โดยเพิ่มคำว่า “กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินและการคลังของรัฐ” เข้าไป เป็นกฎหมายประเภทที่ 5 ที่สามารถใช้จ่ายเงินแผ่นดินได้
สำหรับเนื้อหาอีกตอนหนึ่งของมาตรา 135 ที่เป็นข้อยกเว้นของวรรคแรก (การใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องเป็นไปตามกฎหมาย 4 ฉบับเท่านั้น) คือหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็นรีบด่วน จะจ่ายเงินแผ่นดินไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ ต้องตั้ง “งบประมาณรายจ่ายชดใช้” ในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป
ประเด็นนี้ ส่วนตัวไม่ติดใจที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตัดคำว่า “ให้บอกแหล่งที่มาของรายได้ในการตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้” ออกไป จากเดิมที่เคยบัญญัติไว้ในมาตรา 169 วรรคแรกของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทั้งๆ ที่มีแง่ดี คือ เมื่อต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้เงินคงคลังตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติบังคับไว้ ก็จะต้องกำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้รายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อนแล้วด้วย เพื่อแสดงว่าเงินคงคลังจำนวนดังกล่าวได้รับการชดใช้คืนอย่างแท้จริง มิใช่เป็นการแสดงตัวเลขทางบัญชีตามที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิมก่อนรัฐธรรมนูญปี 2550
อีกประเด็นหนึ่ง คือ บทบัญญัติห้ามการมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่มาจากผลการแปรญัตติของคณะกรรมาธิการ และมีโทษที่จะได้รับจากการฝ่าฝืน
ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับประเด็นนี้ เพียงแต่ขาดว่า เงินที่ปรับลดจำนวนนั้นจะให้นำไปเพิ่มในรายการใด เช่น รายการเงินงบกลาง นำไปใช้ในรายจ่ายตามข้อผูกพันชดใช้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ย หรือชดใช้เงินคงคลัง เพราะถ้าไม่บัญญัติไว้จะเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะจัดสรรให้แก่บางหน่วยงานที่ขอเพิ่มเติม และเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เพิ่มเติม อาจจะถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนบทบัญญัติที่ห้ามไว้นี้ เพราะคำว่า “มีส่วนไม่ว่าโดยตรงโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย” มีความหมายที่กว้าง อาจตีความได้หลายนัย
ในการนี้จึงควรมีคำนิยามไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐให้ชัดเจนว่า อย่างไรคือ “การมีส่วนไม่ว่าโดยตรงโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย” ในส่วนที่ปรับลดในการแปรญัตติ
กล่าวโดยสรุป ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่มี “หมวดว่าด้วยการเงินการคลังและงบประมาณ” และไม่ให้กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินและการคลังของรัฐ มีศักดิ์เป็น “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” และขาดหลักเกณฑ์การควบคุมเงินนอกงบประมาณที่ไม่ต้องนำส่งเป็นเงินคงคลัง ทั้งยังใช้ระบบงบประมาณรายจ่าย “ขาเดียว” แทน “ระบบสองขา” ที่เป็นระบบงบประมาณที่ครบถ้วน แสดงทั้งรายจ่ายและรายรับเงินกู้และรายได้จากภาษีอากรอยู่ในกฎหมายงบประมาณฉบับเดียวกัน
โดยประเทศไทยเคยใช้ระบบนี้มาตั้งแต่กฎหมายงบประมาณรายจ่ายฉบับแรกของประเทศสยาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 คือ “พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี พุทธศักราช 2457“ อันเป็นระบบงบประมาณสองขาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นงบประมาณขาเดียวที่แสดงแต่รายจ่ายตามกฎหมายวิธีการงบประมาณเมื่อปี 2502 ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160129/221378.html
โรงพยาบาลแม่ใจ อ.แม่ใจ จ.พะเยา เป็นโรงพยาบาลหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนคนไทยอ่อนหวานกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานมาตั้งแต่ปี 2552 โดยการขับเคลื่อนของฝ่ายทันตกรรมมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมาย คือเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและประถมศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบ20 แห่ง และสามารถขยายผลสู่การมีส่วนร่วมชุมชน
ปีแรกของการขับเคลื่อนมุ่งเน้นทางด้านการรณรงค์บริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ปีต่อมาได้จัดประกวดเมนูอ่อนหวานโดยการให้แม่ครัวของแต่ละศูนย์พัฒนาเด็กเล็กคิดค้นเมนูอาหารอ่อนหวานเพื่อรวบรวมเป็นต้นแบบเมนูอ่อนหวานของจังหวัด
เมื่อโครงการในปีแรกๆ ประสบความสำเร็จได้ผลตอบรับที่ดี รพ.แม่ใจ จึงขยายผลไปยังการให้ความรู้เรื่องพฤติกรรมการบริโภคของเด็กเพื่อลดการบริโภคน้ำหวานน้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคฟันผุและโรคอ้วนด้วยการคัดแยกขนมตามสีสัญญาณไฟจราจรและร่วมมือกับโรงพยาบาลจุน คิดค้นสื่อการสอน “วงล้อขนมสามสี” ขึ้น เพื่อให้เด็กได้สนุกและเข้าใจได้ง่าย
ทพ.ธิติพันธุ์ อวนมินทร์ ทันตแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลแม่ใจ ผู้รับผิดชอบโครงการ เล่าว่า อย่างที่เราทราบกันว่า เด็กกับน้ำหวานน้ำอัดลมหรือขนมกรุบกรอบเป็นของคู่กัน เราก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กในพื้นที่ลดการกินขนมพวกนี้ให้น้อยลงหรือกินแล้วต้องมีวิธีการจัดตัวเองอย่างไรและทำอย่างไรให้มีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลดการกินขนมกรุบกรอบด้วยเช่นกัน โดยแรกๆ เราส่งผ่านความรู้เรื่องขนมปลอดภัยไม่ปลอดภัยไปยังครูพ่อแม่หรือผู้ปกครองเพื่อให้เลือกขนมให้เด็กกินได้อย่างถูกทาง โดยแยกเป็น “ขนมยิ้ม” กับ “ขนมร้องไห้” โดยให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองคัดแยกขนมตามคำกลอนที่คิดขึ้นว่า “ไม่หวานไม่เหนียวติดฟัน ไม่เค็มไม่มันเกินไป ของว่างต้องมีกากใย เพื่อให้ลูกหลานฟันดี” ถ้าขนมชิ้นไหนผ่านเกณฑ์ทั้ง 4 นี้ก็จะเป็นขนมยิ้ม ให้เด็กกินได้ แต่ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์จะเป็นขนมร้องไห้ หรือขนมอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งเมื่อคัดแยกแบบนี้แล้วพบว่าแทบไม่มีขนมไหนเลยผ่านเกณฑ์ขนมยิ้ม กลายเป็นว่าตะกร้าขนมร้องไห้มีเยอะมาก ไม่มีทางเลือกให้เด็กได้กินเลย
เมื่อเจอปัญหามีแต่ขนมร้องไห้ ก็คิดว่าให้กินได้ แต่อย่ากินบ่อย หรือกินแค่วันละครั้งก็พอ เราก็มาศึกษาเรื่องฉลากไฟจราจร คือ ขนมปลอดภัย “สีเขียว” ขนมปลอดภัยปานกลาง “สีเหลือง” และขนมอันตราย “สีแดง”
นอกจากนี้ยังได้นำ “วงล้อขนมสามสี” ซึ่งเป็นสื่อการสอนคัดแยกขนมมาจาก อ.จุน มาใช้ด้วย เพื่อให้เด็กรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้และเข้าใจง่ายขึ้น เมื่อเด็กๆ เรียนรู้การคัดแยกขนมก็สามารถเลือกซื้อขนมเองได้
จากนั้นจึงขยายโครงการออกสู่ชุมชน โดยการขอความร่วมมือร้านค้าภายใน อ.แม่ใจ จำนวน 46 ร้าน ในการเข้าร่วมโครงการ “ร้านค้าอ่อนหวาน” โดยแต่ละร้านมีการจัดวางขนมสีเขียวออกมาชัดเจน ร้านค้าอ่อนหวานสามารถขายได้ทุกอย่าง แต่ต้องแยกขนมหวานสีเขียวแยกออกมา เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย ในส่วนร้านค้าในเขต อบต.แม่สุก จำนวน 15 ร้าน นอกจากจะคัดแยกขนมจากชั้นวางแล้ว ยังมีการติดป้ายให้ข้อมูลขนมสามสีด้วย
เมื่อโรงเรียนมีกระบวนการช่วยเหลือลูกหลานท่านแล้ว แต่ยังเหลืออกระบวนการชุมชน เพราะไม่ว่าโรงเรียนจะพร่ำสอนเด็กกินขนมสีเขียว แต่หากสิ่งแวดล้อมภายนอกหากไม่เอื้อให้เด็กได้กินขนมปลอดภัยก็ไม่มีประโยชน์
“เราไม่ได้คาดหวังให้เด็กคัดแยกขนมได้ถูกต้อง แท้จริงแล้วเราต้องการเพียงแค่ต้องการให้เด็กได้คิดก่อนกิน ไม่ใช่ว่าเจออะไรจับใส่ปาก แต่ขอให้ดูก่อนกินเอาอะไรใส่ปาก” ทพ.ธิติพันธุ์กล่าว
นับตั้งแต่ร่วมขับเคลื่อนโครงการมาตั้งแต่ปี 2552 ปัจจุบันสถานการณ์โรคฟันผุในพื้นที่ อ.แม่ใจ มีอัตราปลอดฟันผุมากขึ้น 80% แต่มาตรการนี้ไม่อาจประสบความสำเร็จได้หากขาดความร่วมมือจากชุมชน ร้านค้า โรงเรียนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ขานรับแนวทางเพื่อให้คนในตำบลมีสุขภาพดี
การดำเนินงานของโรงพยาบาลแม่ใจในโครงการนี้ ถือเป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนการลดบริโภคน้ำตาลระหว่างหน่วยงานและชุมชน
ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160110/220273.html
ทันทีที่แนวคิดของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จัดตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคมผุดออกมาก โดยจะมีการเสนอสัดส่วนของกมธ. ซึ่งมีทั้งสนช.และคนนอก รวมถึงผู้ที่เห็นต่าง ได้รับเชิญมาร่วมในการประชุมสนช.สัปดาห์นี้ คาดว่าจะมี 24 คน ประกอบด้วยสมากชิกสนช. 14 คน และคนนอก 10 คนที่ประกอบด้วยฝ่ายที่มีความเห็นต่าง นักวิชาการ ภาคธุรกิจ กำหนดกรอบเวลาการทำงานไว้ 180 วัน
ด้านพล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ผู้จะเสนอญัตติตั้งกล่าวว่า ตนไม่อยากให้มองเรื่องสีเสื้ออีกแล้ว แต่ทุกคนเป็นประชาชนด้วยกันหมด การเชิญบุคคลเป็นกรรมาธิการก็ต้องการคนที่มีความคิดเห็นเป็นกลาง ตามแนวทางสันติวิธี ใครที่มีความคิดเห็นสุดโต่ง ใช้ความรุนแรง แม้แต่สมาชิกสนช.เองตนก็ไม่เชิญเข้าร่วม และตอนนี้ตนก้าวข้ามคำว่า “ปรองดอง”ไปแล้ว จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ประชาชนจะให้ความร่วมมือหรือมีส่วนร่วม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ถึงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งก็พูดชัดว่า เรื่องนี้พูดกันมานานหลายคนก็ยังเข้าใจว่าการปรองดองสมานฉันท์ ก็คือการนิรโทษ ยกโทษให้ ตนก็เคยเรียนไปหลายครั้งแล้วว่าจะต้องมาด้วยกฎหมาย อันนี้ก็ขอให้ดำเนินการต่อไป ซึ่งปรองดอง นิรโทษคนละเรื่องกัน
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ออกเดินทางจากรัฐสภามุ่งหน้าไปโรงแรมอิมพีเรียล เลควิว อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเก็บตัวประชุมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา ระหว่างวันที่ 10 ถึง 17 มกราคม บอกว่า จะบัญญัติกระบวนการสร้างความปรองดองสำหรับอนาคตไว้ แต่กลไกปรองดองเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ยังคิดไม่ออกว่าจะบัญญัติอย่างไร และหากรัฐบาลตั้งคณะกรรมการปรองดองขึ้นมา ก็ไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาล
ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยอย่างนายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา โฆษกพรรคชาติพัฒนา(ชพน.) นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) ก็เห็นด้วย รวมถึงนายดิเรก ถึงฝั่ง อดีต ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง และการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ บอว่า จะนำผลการศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ กลับมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา ประเด็นน่าจะอยู่ที่ความเป็นธรรม
นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง (กมธ.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ตนก็เชื่อว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ไม่มีทางจะทำเรื่องปรองดองสมานฉันท์ได้ ดังนั้นจำเป็นจะต้องทำในรัฐบาลชุดนี้เท่านั้น ถ้าทำไม่ได้หรือไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างหนึ่งของการปฏิวัติ และการที่ สนช. จะตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุขก็ถือว่าเป็นเรื่องดีจะได้ร่วมมือกัน ใครจะออกมาโต้แย้งหรือกล่าวหาอย่างไรก็อย่าไปสนใจ
“ทุกฝ่ายรวมทั้งคู่ขัดแย้งในสังคมต้องร่วมมือร่วมใจ เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าเห็นแก่ประโยชน์ของตนหรือพรรคพวก ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าเวลาที่ทะเลาะกันแตกแยกกัน ทุกฝ่ายไม่ได้อะไรเลย มีแต่ความเสียหาย” นายวันชัยกล่าว
ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (มปท.) อดีตเลขาธิการ กปปส กล่าวว่า กปปส.ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ พร้อมส่งตัวแทนเข้าร่วม
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไปศึกษารายละเอียดถึงต้นเหตุของปัญหาว่าอยู่ที่ไหน ส่วนนายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องไม่ใช่ทำผิดให้เป็นถูก
นายสมพงษ์ สระกวี กรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสนช. ผู้เสนอญัตติให้ตั้งกมธ. ได้ให้ความสำคัญกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ซึ่งเป็นการวางกรอบปรองดองที่ครอบคลุมมาก จึงเป็นทิศทางที่ดี
ฝ่ายที่ยังไม่แน่ใจอย่างเช่นนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ปรองดองมันเกิดยาก เพราะแต่ละฝ่ายตีความและเข้าใจการปรองดองแตกต่างกัน นายประชา ประสพดี อดีตรมช.มหาดไทย และอดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงแนวคิดจัดตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสันติสุขว่า เป็นทางออกและทางเลือกที่ดี แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความจริงจังและคาดหวังผลได้มากน้อยแค่ไหน ควรเปิดโอกาสให้มีการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใหม่ที่รัดกุมรอบคอบ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. กล่าวว่าคงไม่แคล้วเป็นปรองดองลวงโลก ก่อนหน้านี้ทำมาแล้ว 2 ชุดคือชุด สปป.ของทหาร และชุดของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ไปไกลมากแต่สุดท้ายก็เป็นการปรับทุกข์เล่าสู่กันฟังไม่มีผลเชิงปฏิบัติ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถือเป็นอีกครั้งที่สังคมได้สัมผัสถึงเส้นทางปรองดองในเขาวงกต พายเรือในอ่าง ซื้อเวลา