“พร้อมเพย์” หรือ พร้อม…

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010759&srcday=2016-07-01&search=no

วันที่ 01 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 400

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

“พร้อมเพย์” หรือ พร้อม…

เดือนกรกฎาคมนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เชื่อว่า น่าจะมีผลกระทบต่อคนทั่วไปค่อนข้างสูง ซึ่งเราๆ ท่านๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้

นั่นก็คือ โครงการหลักของรัฐบาลในการผลักดันยุทธศาสตร์ National e-payment ซึ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล หรือที่เราเรียกขานกันว่า Any ID จะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพหลัก มีการแถลงเปิดตัวบริการโอนและรับโอนเงินแบบใหม่ ในนาม “พร้อมเพย์-PromptPay” เริ่มให้ธนาคารแต่ละแห่งที่มีความพร้อมสามารถเปิดให้บริการกับลูกค้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 แต่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2559

เจ้าพร้อมเพย์ที่ว่านี้ มีหลักการสำคัญ อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ ต่อจากนี้ไปบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยเฉพาะการโอนเงินจะไม่ต้องมีการกรอกเลขที่บัญชีให้ยุ่งยากอีกต่อไป และที่สำคัญคือ จะไม่มีค่าธรรมเนียมการโอนเงินในกรณีการโอนที่ไม่ถึง 5,000 บาท ต่อรายการ ส่วนวงเงินที่มากกว่านั้น ก็จะเสียค่าธรรมเนียมในอัตราที่ถูกลงมาก ไม่ใช่หมื่นละ 25-30 บาท อย่างเช่นที่ผ่านมา

วิธีการก็คือ ข้อมูลบัญชีเงินฝากของเราจะถูกจัดเก็บด้วยระบบข้อมูลกลาง หรือถังข้อมูล ที่ให้เราลงทะเบียนเชื่อมเลขบัญชีเงินฝากของเราเข้ากับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเชื่อมกับเลขโทรศัพท์มือถือ เพื่อที่ว่า ต่อไปใครจะโอนเงินมาให้เรา สามารถใช้อ้างอิงจากหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนหรือเบอร์มือถือของเราก็ได้ และโอนกับแบงก์ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า บัญชีเงินฝากของเราเป็นของแบงก์ไหน

ส่วนขั้นตอนการเริ่มใช้บริการพร้อมเพย์ เราจะต้องเลือกบัญชีเงินฝากที่ต้องการใช้เป็นบัญชีหลักในการรับโอนเงินจากบุคคลอื่น จากนั้นแจ้งลงทะเบียนกับธนาคารเจ้าของบัญชี โดยจะลงทะเบียนผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือโมบายแบงกิ้ง หรืออินเตอร์เน็ตแบงกิ้งก็ได้ หลังจากนั้น ข้อมูลจะถูกเก็บรวมเข้าไปอยู่ในระบบข้อมูลกลาง เพื่อนำไปใช้ในการรับโอนเงินได้กับทุกธนาคาร ส่วนผู้โอนเงินก็เพียงแค่แจ้งเลขมือถือหรือเลขบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับโอน ไม่ต้องยุ่งยากดำเนินการเข้าเงินให้ตรงกับแบงก์เจ้าของบัญชี และไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนต่างแบงก์อีกต่อไป

ด้วยความที่เป็นคนมีธุระเยอะ จำเป็นต้องทำธุรกรรมโอนเงินไปให้ญาติคนโน้น เพื่อนพี่น้องคนนี้อยู่บ่อยๆ หรือบางทีโอนจ่ายค่าโน่นค่านี่ อยากทำบุญครั้งละ 500-1,000 บาท ทำให้มีกิจต้องโอนอยู่ออกบ่อย บางครั้งก็สะดวกหน่อยที่เป็นแบงก์เดียวกัน สาขาอยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทำให้หมดปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียม แต่พอเจอต่างแบงก์ ต่างเขต หรือต่อให้เป็นแบงก์เดียวกัน แต่อยู่คนละจังหวัด ก็ต้องยอมเสียค่าโอนทีละ 25-35 บาท แล้วแต่กรณี ยิ่งถ้าธุรกรรมโอนครั้งละไม่กี่ร้อยบาท น้ำตาแทบจะไหลด้วยความเสียดายเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับแบงก์

จึงไม่น่าแปลกใจที่แบงก์จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมเป็นกอบเป็นกำ บางแบงก์เป็นรายได้ในสัดส่วนถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ผลกระทบสำคัญจากการเริ่มให้บริการพร้อมเพย์ ก็คือ รายได้ส่วนนี้จะลดลงแบบฮวบฮาบกันเลย เป็นปัญหาสำคัญที่แต่ละแบงก์จำต้องเร่งขบคิด หาวิธีเพิ่มรายได้ชดเชยโดยด่วน นอกเหนือจากการเร่งระดมสมองคิดหากลยุทธ์ โปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าให้มาลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ ไม่งั้นโดนแย่งลูกค้าแน่

รับมือไม่ดี พร้อมเพย์ มีสิทธิ์กลายเป็น “พร้อมพัง” !!

อัพเดตเอสเอ็มอีดาวรุ่ง-ร่วง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 398

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

อัพเดตเอสเอ็มอีดาวรุ่ง-ร่วง

ผ่านมาเกือบจะครึ่งทางแล้ว สำหรับปี 2559 ดูเหมือนจะเร็ว แต่สำหรับคนทำมาค้าขาย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เหล่าพ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย ในห้วงสภาวะเศรษฐกิจที่เห็นตรงกันว่า ยังคงซบเซา ถดถอย มองไปทางไหนมีแต่คนหน้าเศร้าหมอง ค้าขายฝืดเคือง ก็เชื่อว่า อารมณ์ความรู้สึกคงเหมือนกันว่า เวลาแห่งความทุกข์ทรมานมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า อืดอาดเหลือเกิน

แม้เศรษฐกิจเซ็งลี้ไม่ฮ้อ แต่ในความเลวร้าย ย่อมจะต้องมี “อะไรสักอย่าง” ที่เป็นเรื่องดีเกิดขึ้นได้ ทำนองเดียวกัน ขณะที่หลายๆ ธุรกิจย่ำแย่ แต่ก็มีอีกหลายธุรกิจที่ไปได้ดี ค้าขายรุ่ง ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ และถึงปลายปีน่าจะได้เห็นเงินเดือนขยับขึ้น โบนัสก้อนโตอย่างแน่นอน

อย่างที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดทำผลสำรวจและประเมิน 8 ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่คาดว่าจะมีการเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ อย่างเช่น 1. ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานของภาครัฐ ซึ่งว่ากันว่า ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนส่วนใหญ่ซบเซา ทำให้ภาครัฐต้องเป็นตัวหลักในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสารพัดสี รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง สร้างถนนมอเตอร์เวย์ สร้างถนนหนทาง รวมถึงโครงการลงทุนขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น ซึ่งคาดหมายว่าจะมีเม็ดเงินที่กระจายสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ ต่อเนื่อง สร้างงาน สร้างเงินให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับเหมาทั้งหลาย หลายแสนล้านบาททีเดียว

2. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีจะเลว คนก็ยังต้องกินต้องใช้ เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนจากอาหารที่แพงกว่า ไปเลือกบริโภคอีกแบบที่ราคาย่อมเยากว่า ว่ากันว่า ธุรกิจอาหารของไทยมีตัวเลขเงิน ณ ปี 2558 สูงถึง 2.57 ล้านล้านบาททีเดียว แบ่งเป็นอาหารที่ค้าขายกันในประเทศกว่าครึ่ง หรือเกือบ 1.5 ล้านล้านบาท ดังนั้น แม้พ่อค้าแม่ค้าอาหารจะโอดครวญว่า ขายได้ลดลง แต่ไม่ว่ายังไง ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอาหารการกินก็ยังไปได้วันยังค่ำ

3. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ซึ่งขยายตัวได้ดีตามธุรกิจก่อสร้างนั่นเอง เป็นการก่อสร้างทั้งจากงานของภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการลดหย่อนภาษีค่าธรรมเนียมการโอนในช่วงที่ผ่านมา ว่ากันว่า ธุรกิจนี้มีเม็ดเงินหมุนเวียนถึง 4 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

4. ธุรกิจก่อสร้างและติดตั้งงานโครงข่ายโทรคมนาคม 4G คาดเดากันง่ายๆ ยุคดิจิตอลที่อินเตอร์เน็ต โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นพลังหลักในการขับเคลื่อนโลก แม้กระทั่งในไทยเอง ภาพการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมูลคลื่นความถี่ทั้ง 900 และ 1,800 เมกะเฮิร์ตซ์ ที่ผู้ประกอบการมือถือห้ำหั่นราคากันถึง 75,000 ล้านบาท ก็เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้ชนะในธุรกิจนี้ ย่อมมีผลส่งถึงเหล่าเอสเอ็มอีที่รับจ้างติดตั้งโครงข่าย รับงานก่อสร้างสถานีเครือข่ายส่งสัญญาณ ให้ได้งานกันอื้ออึง รับทรัพย์กันถ้วนหน้า

5. ธุรกิจท่องเที่ยว เป็นไปตามเทรนด์ของโลกที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมากขึ้น การเดินทางท่องเที่ยวทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสายการบินโลว์คอสต์ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ย่อมขายดิบขายดีตามไปด้วย จึงไม่น่าประหลาดใจที่ธุรกิจบูติกโฮเต็ลจะเฟื่องฟู เป็นที่นิยมไปด้วย

6. ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ 7. ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และดิจิตอล เทคโนโลยี และ 8. ธุรกิจสตาร์ตอัพ ทั้ง 3 ธุรกิจหลัง ล้วนเป็นผลพลอยได้จากโลกออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารผ่านสมาร์ตโฟนที่ย่อโลกเข้าหากันด้วยคลิกเดียว ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่ การค้าขายผ่านโลกออนไลน์ การพัฒนาโลจิสติกส์แบบใหม่ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มความรวดเร็ว คล่องตัวให้กับธุรกิจ รวมถึงธุรกิจใหม่ๆ สไตล์ของสตาร์ตอัพที่กำลังมาแรง และถูกคาดหมายว่า จะเป็นธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเสียด้วยซ้ำ

ในทางตรงกันข้าม ธนาคารไทยพาณิชย์ระบุถึงอาชีพที่น่าเป็นห่วง ธุรกิจดาวร่วงประจำปีนี้ ซึ่งไม่น่าจะเกินความคาดหมาย ก็คือ ธุรกิจเกษตร โดยเฉพาะพืชผักทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเสียหายมาก เช่นเดียวกับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงอย่างหนัก จาก 100 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล เมื่อ 3-4 ปีก่อน มาอยู่ที่ 30-40 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ทำให้ธุรกิจที่ให้บริการติดแก๊สรถยนต์ที่เคยฮิตกันเมื่อยุคน้ำมันแพง ถึงตอนนี้คงต้องหยุด และปรับตัว คิดใหม่ทำใหม่ หาธุรกิจใหม่ๆ มาแทนธุรกิจแบบเดิมๆ

เพราะเมื่อ “สถานการณ์เปลี่ยน ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยน”

ภัยธรรมชาติรุมเร้า!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010559&srcday=2016-05-01&search=no

วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 396

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

ภัยธรรมชาติรุมเร้า!!

ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่โตเกี่ยวกับเหตุการณ์อุบัติภัยที่เกิดขึ้นมากมายหลายครั้ง

โดยเฉพาะอุบัติภัยที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งดูเหมือนว่า ยิ่งนับวันยิ่งหนักหนาสาหัส ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก

ที่น่าตกใจ และไม่น่าเชื่อว่า เฉพาะช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ ถึง 3-4 ครั้งที่ประเทศญี่ปุ่น ภายในระยะเวลาห่างกันแค่ไม่กี่วัน แม้ว่าญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่มีภูมิศาสตร์ที่ตั้งบนแนว “วงแหวนแห่งไฟ” ทำให้เกิดเหตุแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง

แต่สงกรานต์ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นโดนแผ่นดินไหวรุนแรงขนาดเกินระดับแม็กนิจูด 6.0 ถึง 3 ครั้ง และเกิดขึ้นที่จังหวัดคุมาโมโตะแห่งเดียว โดยครั้งแรกเกิดเมื่อค่ำวันที่ 14 เมษายน จุดศูนย์กลางอยู่นอกเมืองอูเอกิไปไม่ถึง 7 กิโลเมตร มีความรุนแรงถึงระดับแม็กนิจูด 6.2

อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา หรือประมาณเที่ยงคืนเศษ วันที่ 15 เมษายน เกิดครั้งที่ 2 ระดับแม็กนิจูด 6.0 ห่างจากเมืองอูโตะไม่ถึง 6 กิโลเมตร ส่วนครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเช้ามืดวันที่ 16 เมษายน ความรุนแรงถึงระดับ 7.0 ห่างจากตัวเมืองคุมาโมโตะไม่ถึง 1 กิโลเมตร

เบ็ดเสร็จ 3 ครั้งสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ถนนหนทาง และที่น่าเศร้าใจก็คือ ปราสาทคุมาโมโตะ ปราสาทเก่าแก่หลายร้อยปี โบราณสถานที่ล้ำค่าและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดคุมาโมโตะ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ว่ากันว่า จะต้องใช้เวลาบูรณะซ่อมแซมเป็นสิบปี ขณะที่มียอดผู้เสียชีวิต 47 ราย บาดเจ็บอีกพันกว่าคน

ในวันเดียวกัน (16 เมษายน) ช่วงค่ำ เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขึ้นที่ประเทศเอกวาดอร์ อีกฟากฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ในแนว “วงแหวนแห่งไฟ” เช่นเดียวกัน ด้วยความรุนแรงระดับแม็กนิจูด 7.8 สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลของเอกวาดอร์ ยอดผู้เสียชีวิตสูงถึงเกือบ 500 คน ขณะที่มีผู้หายสาบสูญ หรือยังค้นหาไม่พบอีกเกือบ 2,000 คน

นอกจากเหตุแผ่นดินไหว ยังมีภัยพิบัติรุนแรงจากฝนตกหนัก จนถึงขั้นน้ำท่วมที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ดินแดนแห่งทะเลทรายที่เราเข้าใจกันว่า แห้งแล้ง แต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมากลับมีฝนตกอย่างหนักติดต่อกันหลายวัน จนน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ มีคนเสียชีวิตถึง 18 ราย ส่วนที่ประเทศอุรุกวัย เมื่อวันที่ 16 เมษายน ก็เกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มเมืองโดโลเรส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างเสียหายหลายร้อยแห่ง มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ขณะบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน

ของไทยก็ไม่น้อยหน้า ช่วงสงกรานต์ไม่มีภัยพิบัติ แต่เรามี “เมาแล้วขับ” หนักหนารุนแรงไม่แพ้ภัยจากธรรมชาติเลย เพราะสถิติปีนี้ฉลองสงกรานต์ เสียชีวิตถึง 442 ราย บาดเจ็บอีก 3,656 ราย น่าตกใจไหมละ!!

มีการประเมิน คาดการณ์กันต่างๆ นานาว่า สาเหตุของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหลายเหตุในหลายประเทศช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความผันผวน ปรวนแปรของภูมิอากาศ เอาแน่เอานอนแทบไม่ได้ ทั้งปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ภาวะแห้งแล้งขาดแคลนน้ำที่เกิดขึ้น ทั้งที่ประเทศไทย และในอีกหลายๆ ประเทศ หรือปรากฏการณ์ลานีญ่า ภาวะฝนตกผิดฤดู ผิดที่ผิดทาง จนเกิดเป็นน้ำท่วม ล้วนแต่เป็นสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติของโลกใบนี้

ยิ่งได้เห็น ก็ยิ่งต้องตระหนัก และเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับเหตุที่ไม่คาดฝัน ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เลย แม้กระทั่งประเทศไทยเรา เผชิญกับปัญหาแล้งอย่างหนัก น้ำในลำคลองแห้งขอด พืชผลทางการเกษตรเสียหายมาแล้ว 2-3 ปีติดต่อกัน ขณะนี้เริ่มมีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญหลายราย คาดการณ์กันว่า เราอาจกำลังผ่านพ้นช่วงวิกฤตเอลนีโญ่แล้ว และมีแนวโน้มว่า ครึ่งหลังของปีนี้ อาจจะกำลังเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญ่า

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ขอให้ย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อปลายปี 2554 ที่เกิดเหตุภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ ทบทวนความจำกันว่า ในขณะที่น้ำกำลังมา เราได้ลงมือแก้สถานการณ์ รับมือปัญหาน้ำท่วมกันอย่างไร มีขั้นตอนไหนที่ยังขาดตกบกพร่อง ผิดท่าผิดทาง

ยังมีเวลาวางแผน คิดใหม่ทำใหม่ ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!

คู่แข่งที่ต้องพึงระวัง!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

คู่แข่งที่ต้องพึงระวัง!!

นอกจากประเทศญี่ปุ่นจะมีความก้าวหน้า ล้ำกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียแล้ว รู้หรือไม่ว่า ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมคนแก่” ก่อนใครเพื่อน

เมื่อหลายปีก่อน มีผลสำรวจที่ระบุว่า ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรผู้สูงอายุในสัดส่วนที่สูงกว่าประชากรวัยอื่นๆ ด้วยเหตุที่เศรษฐกิจสังคมญี่ปุ่นได้รับการพัฒนาให้เจริญและขยายตัวอย่างรวดเร็ว คนญี่ปุ่นทำงานกันอย่างหนัก อัตราเด็กเกิดใหม่ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย จนกระทั่งวันหนึ่งสังคมคนญี่ปุ่นมีคนแก่เต็มไปหมด ขณะที่วัยเด็กวัยรุ่นโตไม่ทัน ผนวกกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเริ่มเจอปัญหาเงินฝืด การค้าการขายในประเทศเริ่มตีบตัน ค่าครองชีพสูงลิ่ว คนเอาแต่ออมเงิน ไม่อยากลงทุน สุดท้ายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำเป็นต้องหนีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูง ค่าแรงแพง ไปลงทุนขยายฐานการผลิตในต่างประเทศแทน

เช่นเดียวกับคนแก่ในญี่ปุ่นเอง ก็หนีภาวะค่าครองชีพสูงในประเทศตัวเอง มองหาช่องทางการไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในต่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่า ซึ่งจะเห็นได้ว่า หลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยเอง ก็สบช่อง มองเห็นโอกาสในการทำตลาดธุรกิจท่องเที่ยวแบบลองสเตย์ หรือการท่องเที่ยวแบบที่พักอาศัยแบบระยะยาว ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ทำตลาดด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย มีการจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว มีอยู่หลายปีก่อนหน้า ที่ ททท. เน้นกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกลุ่มลองสเตย์ให้เข้ามาในเมืองไทย เพราะมีผลสำรวจที่ว่า คนญี่ปุ่นอายุ 55 ปีขึ้นไป เริ่มปลดเกษียณจากการทำงาน เลือกที่จะมาท่องเที่ยวเมืองไทย เป็นการมาเที่ยวแบบอยู่อาศัยยาวๆ แทบจะเหมือนการมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ไม่ใช่มาเที่ยวแบบนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป

ไม่ใช่แต่ไทยเท่านั้นที่สนใจนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นกลุ่มนี้ หลายประเทศในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ก็สนใจ อย่างเช่น มาเลเซีย รัฐบาลถึงกับมีการออกมาตรการสนับสนุน ส่งเสริม ดึงดูดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้มาเที่ยวแบบลองสเตย์ โดย 10 ปีก่อนรัฐบาลมาเลเซียมีการออกโปรแกรมที่เรียกว่า Malaysia My Second Home (MM2H) ส่งเสริมให้คนต่างชาติเข้าไปตั้งรกรากในมาเลเซีย มีการให้สิทธิประโยชน์มากมาย อาทิเช่น ให้วีซ่าพักอาศัยยาวนานถึง 10 ปี สามารถเข้าออกประเทศได้หลายครั้ง ยกเว้นภาษีการโอนเงินกองทุนบำนาญนอกประเทศ ให้สิทธิทำธุรกิจได้ สามารถครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้ สามารถซื้อรถยนต์ที่มาเลเซียผลิตได้ คือยี่ห้อ โปรตอน โดยไม่ต้องเสียภาษี เป็นต้น

ถึงกระนั้น คนแก่ญี่ปุ่นกลับชอบเมืองไทย!!

แต่ล่าสุด ประเทศคู่แข่งที่น่าจะมาแรง และประเทศไทยน่าที่จะตื่นตัวรับมือเอาไว้ก่อน นั่นก็คือ กัมพูชา ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ของ มร.นาโออากิ คาโมชิดะ ที่ปรึกษาสถานทูตญี่ปุ่น ประจำกัมพูชา ระบุว่า จากตัวเลขผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นที่มาลงทะเบียนพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ณ เดือนมกราคม 2559 ที่ผ่านมา มีถึง 300 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะเทียบไม่ได้เลยกับจำนวน 80,000 คนในไทย แต่หากพิจารณาจากจำนวนคอนโดมิเนียมสไตล์ญี่ปุ่น ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดที่เมืองเสียมเรียบ เมืองที่ตั้งมรดกโลกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อย่างนครวัด นครธม ทำให้มีการคาดหมายกันว่า ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่น น่าจะชื่นชอบ และอยากจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ว่ากันว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนแก่ชาวญี่ปุ่นอยากมาพำนักพักอาศัยในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่กัมพูชาเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะมีค่าครองชีพที่ถูกกว่าไทยแล้ว ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เริ่มได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าอดีตมาก แม้ว่าจะยังมีปัญหาเรื่องระบบความปลอดภัย ระบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ต้องแก้ไขปรับปรุง แต่ถึงแม้จะมีอุปสรรค ข้อขัดข้องบ้าง ความได้เปรียบในเรื่องค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ประชากรสูงอายุ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องรายได้ มีเงินออมจำกัดจำเขี่ยที่ต้องจัดสรรให้สามารถใช้ดำรงชีพให้ได้อย่างไม่กระเบียดกระเสียรจนเกินไป

ต้องยอมรับกันว่า เดี๋ยวนี้บ้านเราอะไรๆ แพงขึ้นเยอะ!!

รู้ก่อนขายออนไลน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 392

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

รู้ก่อนขายออนไลน์

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบชำระเงินระดับโลก หรือที่เรารู้จักกันดีว่า บัตรเครดิตวีซ่า นั่นเอง ได้มีการเปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภค ประจำปี 2015 ซึ่งน่าสนใจที่วีซ่า ระบุชัดว่า กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง และมีการใช้จ่ายเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด ก็คือ คนเจนเอ็กซ์ (Gen X) หรือกลุ่มคนวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 35-60 ปี ไม่ใช่คนเจนวาย (Gen Y) หรือกลุ่มคนอายุระหว่าง 18-34 ปี อย่างที่เราเข้าใจกัน

เข้าใจได้ว่า คนเจนเอ็กซ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานมาแล้วระยะหนึ่ง นอกจากมีเงิน มีกำลังซื้อ มีความพร้อมที่จะใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือผ่านระบบชำระเงินออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโมบาย แบงกิ้ง หรืออินเตอร์เน็ต แบงกิ้ง จึงไม่นิยมซื้อสินค้าด้วยเงินสด จึงไม่น่าแปลกใจที่คนเจนเอ็กซ์ จะให้ความสนใจการซื้อขายผ่านโลกออนไลน์ที่กำลังมาแรง และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

เป็นข้อมูลที่สำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าได้นำไปใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย หรือการมุ่งเน้นการขายไปยังลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งน่าจะได้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลต่อการทำธุรกิจสูงสุด

ส่วนในแง่ของช่องทางการขายผ่านออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันผู้ผลิต ผู้ขาย ต่างก็เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มช่องทางขายผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม นอกเหนือจากช่องทางปกติทั่วไปที่ผ่านหน้าร้านหรือโมเดิร์นเทรด

ในเมื่อทุกคนต่างก็ให้ความสำคัญ ต่างมุ่งเข้าไปขายในออนไลน์จนเต็ม ละลานตาไปหมด ถามว่า แล้วจะทำอย่างไรให้สินค้าของเราโดดเด่น เตะตา ทำให้ผู้ซื้อมองเห็น?

คำตอบมีอยู่ในอินเตอร์เน็ตเยอะไปหมด แค่เพียงคลิกถามกูเกิ้ล เราจะได้วิธีการ กลยุทธ์ในการทำให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จัก ถูกมองเห็นบ่อยๆ ในโลกโซเชียล ยกตัวอย่างเช่น กลยุทธ์การตั้งชื่อร้าน ออกแบบโลโก้ ตั้งเว็บเพจร้านค้าให้สะดุดตา ชื่อไม่ยุ่งยาก เข้าถึงง่าย รวมถึงวิธีการสร้างแฟนเพจ การลงทุนซื้อยอดไลก์ เป็นต้น

ใครชื่นชอบวิธีการ กลยุทธ์แบบไหน ศึกษา เรียนรู้กันเอง!!

นอกเหนือจากช่องทางเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมแล้ว ยังมีอีกหนึ่งช่องทางที่ถือว่า ได้รับความนิยมสูงทีเดียวในบ้านเรา นั่นคือ การค้าขายผ่านไลน์ (LINE) ซึ่งจากข้อมูลของไลน์ ระบุว่า ปัจจุบันคนไทยมีการใช้งานไลน์ถึง 33 ล้านคน ถือว่าสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น ประเทศแม่ของไลน์เสียด้วยซ้ำ ขณะเดียวกัน คนไทยใช้เวลาแชตผ่านไลน์ถึง 83 นาที ต่อวัน

ในระบบการให้บริการของไลน์ มีช่องทางที่ให้บริการเอสเอ็มอีด้วย ซึ่งเป็นบริการ LINE@ สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี มีรูปแบบการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายคล้ายๆ Official Account ซึ่งไลน์ระบุว่า ปัจจุบันมีเอสเอ็มอีใช้บริการช่องทางนี้กว่าแสนราย จากจำนวนเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่มีอยู่ 2.8-2.9 ล้านราย ซึ่งปัจจุบัน ช่องทางนี้ยังให้บริการฟรี แต่มีแนวโน้มว่า ไลน์จะมีการเรียกเก็บค่าบริการในเร็วๆ นี้

รีบไปใช้บริการฟรีๆ กันก่อนดีมั้ย เผื่อฮิตในอนาคต เราจะได้ไม่ตกเทรนด์!!

จับตา “ดิจิตอล แบงกิ้ง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 390

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

จับตา “ดิจิตอล แบงกิ้ง”

ก้าวเข้าสู่ปีวอก 2559 ได้ไม่เท่าไหร่ ได้เห็นการขับเคลื่อนของภาคธุรกิจการเงินที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นการเงินยุคดิจิตอลอย่างคึกคัก สอดรับกับการมาของธุรกิจคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่เรียกขานกันว่า สตาร์ตอัพ (Startup)

เป็นการขับเคลื่อนที่ประกาศตัวอย่างเป็นทางการของ 2 แบงก์ใหญ่ นั่นคือ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งถือว่า เป็นแบงก์ระดับชั้นนำที่มีหัวคิดทันสมัยแบบคนรุ่นใหม่ ที่ตอบรับต่อยุคดิจิตอลได้อย่างรวดเร็ว น่าประทับใจ

เริ่มจากธนาคารกสิกรไทย ภายใต้การนำของ “คุณปั้น-บัณฑูร ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดแถลงข่าวที่จังหวัดน่าน เมืองที่คุณปั้น ปวารณาตัวรับหน้าที่เป็นเสมือนเจ้าเมืองน่าน ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการฟื้นฟู พัฒนาเมืองน่าน ให้กลับมาเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำสำคัญของลำน้ำน่าน

แบงก์กสิกรไทยประกาศจัดตั้งกลุ่มธุรกิจขึ้นใหม่ เรียกว่า กสิกร บิสซิเนส เทคโนโลยี กรุ๊ป รองรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจเทคโนโลยี นัยว่า โลกการเงินกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อันเป็นผลพวงจากโลกดิจิตอล ทำให้การให้บริการทางการเงินต้องปรับไปตามเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีวิถีชีวิต ไลฟ์สไตล์ผูกติดกับการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ธุรกิจการเงินมองเห็นความจำเป็นที่ต้องเร่งพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นธุรกิจการเงินยุคดิจิตอล หรือดิจิตอล แบงกิ้ง

ในการนี้ แบงก์กสิกรไทย ประกาศจัดตั้งบริษัทในเครือขึ้นรวดเดียว 5 บริษัท หลักๆ ก็คือ บริษัทเหล่านี้ทำหน้าที่ค้นคว้ารูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อระบบดิจิตอล แบงกิ้ง สนับสนุนด้านบุคลากร ออกแบบและสร้างระบบไอทีเพื่อรองรับความต้องการของแบงก์ และนำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่คิดค้นได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจธนาคาร เป็นต้น

เช่นเดียวกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่แถลงในสัปดาห์ถัดมา ในงานสังสรรค์ขอบคุณสื่อมวลชนที่ศูนย์ฝึกอบรมของแบงก์ ณ หาดตะวันรอน อำเภอสัตหีบ โดย คุณอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการบริหาร เผยว่า แบงก์จะตั้งบริษัทใหม่ เพื่อรองรับการรุกเข้าสู่ธุรกิจเทคโนโลยีการเงิน หรือเรียกสั้นๆ ว่า ฟินเทค (Financial Technology หรือ FinTech)

ใจความสำคัญของการจัดตั้งบริษัทใหม่ของทั้ง 2 แบงก์ดังกล่าว คงไม่แตกต่างกันมากนัก โดยเน้นไปที่การคิดค้นรูปแบบบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่เชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การสร้างสตาร์ตอัพ ธุรกิจพันธุ์ใหม่ เพื่อนำมาให้บริการกับผู้บริโภคในยุคดิจิตอล ขณะเดียวกัน การจัดตั้งบริษัทขึ้นแยกต่างหากจากธนาคาร ก็เพื่อเพิ่มช่องทางในการให้การสนับสนุนทางการเงิน ทั้งในแง่ของการร่วมทุน ช่วยคิดค้นสตาร์ตอัพให้ไอเดียที่เกิดขึ้น เป็นไปได้ในแง่ธุรกิจ และมีโอกาสเติบโตเป็นองค์กรที่แข็งแรง มีอนาคตไกล

ลักษณะการทำงานเหมือนบริษัท ล้มยักษ์ จำกัด ของ คุณปพนธ์ มังคละธนะกุล และกองทุน ๕๐๐ TUKTUKS ที่ คุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล จัดตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์สนับสนุนและร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ ซึ่งนิตยสารเส้นทางเศรษฐี เพิ่งลงบทสัมภาษณ์ไปเมื่อฉบับปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม 2559 ที่ผ่านมานี่เอง

เชื่อว่า การเข้ามาของแบงก์ใหญ่ทั้งสอง จะช่วยให้บรรยากาศการสร้างสตาร์ตอัพของเมืองไทย เป็นไปอย่างคึกคัก น่าตื่นเต้น เพราะถือเป็นทุนสนับสนุนก้อนมหึมา เป็นแรงขับดันที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลเป็นที่สุด เราอาจได้เห็นธุรกิจสตาร์ตอัพคนไทยที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชาติตะวันตก คิดค้นสร้างนวัตกรรมทางการเงินที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

เปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจการเงินไปสู่ยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง!!

สารพัดเทรนด์ ปี 59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 388

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

สารพัดเทรนด์ ปี 59

โดยปกติช่วงไตรมาสสุดท้าย แต่ละองค์กร นอกจากจะวุ่นวายอยู่กับยอดซื้อขายสินค้าที่ว่ากันว่า มักจะคึกคักมากกว่าช่วงอื่นๆ ของปีแล้ว ไหนจะต้องเดินสายขอบคุณลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรธุรกิจ และผู้มีอุปการคุณที่ช่วยสนับสนุนกันมาตลอดทั้งปี

และที่สำคัญคือ ทุกองค์กรยังต้องจัดเตรียมวางแผนการทำงานปีหน้า ไหนจะต้องจัดประชุมพนักงาน ลูกทีม ร่างแผนงานว่า ปีหน้าจะตั้งเป้าหมายอย่างไร เน้นไปทางไหน ใช้กลยุทธ์และการตลาดอย่างไรถึงจะทำได้ตามเป้าหมาย

แถมจะต้องเตรียมงานปาร์ตี้ฉลองปีใหม่กันอีก เรียกว่า เป็นช่วง Work hard but play harder ก็ว่าได้!!

และอีกเช่นกัน ช่วงปลายปีเปลี่ยนผ่านไปสู่ปีใหม่ จะมีงานวิจัย ผลสำรวจ โพลล์ดีๆ ที่แต่ละสถาบันจัดทำออกมา เพื่อให้องค์กรได้นำไปใช้ประโยชน์ เป็นข้อมูลและแนวทางในการวางแผนการทำงานปีหน้า อย่างเช่นที่จะหยิบยกมาแชร์ให้เหล่านักธุรกิจเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการทำมาหากิน หรือแม้กระทั่งนักธุรกิจมือใหม่ ที่เรียกกันเก๋ๆ ในยุคดิจิตอลว่า สตาร์ตอัพ (Startup) ได้ใช้เป็นข้อมูลในการทำธุรกิจ

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เกี่ยวกับการคาดการณ์ภาวะธุรกิจปี 2559 ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 52.5 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่า ภาวะเศรษฐกิจจะยังซึมๆ ต่อเนื่องจากปี 2558 เอสเอ็มอีจะยังคงเจอปัญหาขาดสภาพคล่องต่อเนื่อง กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว นั่นหมายความว่า ปี 2559 จะยังเป็นปีที่ต้องเหนื่อยกันต่อไป

ส่วนธุรกิจที่ประเมินกันว่า จะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงสำหรับปี 2559 หนีไม่พ้นบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่รักสุขภาพ เลือกซื้อเลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งคาดเดากันได้ว่า จะมีนักธุรกิจหน้าใหม่ในวงการอาหารคลีนฟู้ดเกิดขึ้นอีกนับแสนราย เพราะยังเป็นตลาดที่สดใส และมีโอกาสสำหรับคนที่มีไอเดียสร้างสรรค์ คิดค้นเมนูอาหารคลีน เมนูออร์แกนิกถูกใจผู้บริโภค รับรองขายได้ขายดี

รองลงมาคือ ธุรกิจบูติก โฮเต็ล หรือโรงแรมขนาดเล็กราคาประหยัด ซึ่งต้องยอมรับว่า นักเดินทาง นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ หันมาให้ความสนใจเข้าพักโรงแรมขนาดเล็ก 10-20 ห้อง แต่มีไอเดียบรรเจิด ตกแต่งเก๋คลาสสิกโดนใจ ยิ่งใช้ช่องทางขายผ่านเว็บ เฟซบุ๊ก เชื่อว่า จะได้ยอดจองเข้ามาไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ที่กลายเป็นเทรนด์การเดินทางของคนยุคดิจิตอลไปแล้ว เดี๋ยวนี้แค่คลิกจองผ่านเน็ต สนนราคาค่าตั๋วบินในประเทศไม่กี่ร้อยบาท แถมเดี๋ยวนี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นแสนง่ายดาย ด้วยราคาตั๋วไม่กี่พันบาท

ล่าสุด เริ่มเห็นสายการบินโลว์คอสต์ของแถบยุโรปเริ่มเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยบ้างแล้ว ต่อไปเราคงสามารถบินไปท่องยุโรปได้ง่ายดายเหมือนกับไปภูเก็ต ด้วยราคาตั๋วไม่ถึงหมื่นบาท

ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ หรือเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ร้านกาแฟสด ร้านบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด โดยเฉพาะร้านหมูกระทะ ซึ่งได้รับความนิยมสูงมากในช่วง 3-4 ปีก่อน มีร้านกาแฟสด หมูกระทะ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แทบจะเหมือนกันไปหมด จนขาดความโดดเด่น ไม่ดึงดูดความสนใจ แม้ว่าจะยังมีคอกาแฟที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ หรือนักกินบุฟเฟ่ต์ราคาถูกตัวยงอยู่บ้าง แต่จำนวนร้านที่มีมากกว่า ทำให้ตลาดนี้ถูกลดทอนให้เล็กลงเรื่อยๆ

ขอแนะนำให้เลี่ยง ถ้าไม่อยากเผชิญกับภาวะขายฝืดตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน!!

นอกเหนือจากนั้น ยังมีธุรกิจดาวดับที่ส่อแววว่า จะล่มสลายไปตามยุคสมัย หรือเป็นธุรกิจที่ตกเทรนด์อย่างร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านโชห่วย ทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะยุคดิจิตอลที่มีสมาร์ตโฟนเข้ามาครองตลาด อะไรๆ ก็ทำได้หมดผ่านมือถือเครื่องเดียว ทั้งโทร แชต ไลน์ สั่งซื้อสินค้า จ่ายโอนเงิน ดูหนัง ฟังเพลง ถ่ายรูป แถมทำธุรกิจผ่านมือถืออีกต่างหาก

สมชื่อสมาร์ตโฟนจริงๆ!!

การบ้านส่งท้ายปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098011258&srcday=2015-12-01&search=no

วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 386

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

การบ้านส่งท้ายปี

ห้วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่น่าจะมีผลกระทบในวงกว้างเกิดขึ้นหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า จะส่งผลกระทบต่อปากท้อง ความเป็นอยู่ และการทำมาหากินของเราๆ ท่านๆ กันในอนาคตหรือไม่

เริ่มจากข่าวสะเทือนขวัญล่าสุด คือ การก่อการร้ายรวดเดียวถึง 4 จุดภายในช่วงเวลาเดียวกัน ใจกลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ของขบวนการก่อการร้ายไอซิส นำมาซึ่งความสูญเสีย สะท้านสะเทือนโลก ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งพรวดกว่า 120 คน ตามมาด้วยการโต้กลับด้วยการส่งเครื่องบินกว่า 20 ลำถล่มฐานที่มั่นของไอซิสในประเทศซีเรียในวันถัดมาของรัฐบาลฝรั่งเศส เป็นการประกาศสงครามเต็มรูปแบบระหว่างฝรั่งเศสกับไอซิส

ต้องติดตามต่อว่า เหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปีหน้าแค่ไหน!!

เรื่องที่ใกล้ตัวเราเข้ามาอีกหน่อยก็คือ กรณีการเลือกตั้งที่ประเทศพม่า เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกจับตามองจากชาวโลก เพราะจะเป็นครั้งแรกที่นางอองซาน ซูจี ลงสมัครในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) และเป็นครั้งแรกที่พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย โดยชนะการเลือกตั้งถึงร้อยละ 78 จากทั้งสภาล่างและสภาสูง คว้าที่นั่งในสภาถึง 387 ที่นั่ง จากทั้งหมด 498 ที่นั่ง ขณะที่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ USDP ของรัฐบาล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ได้ไปเพียง 41 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งจะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หน้าตาเป็นเช่นไร มีทหารร่วมอยู่ในรัฐบาลแค่ไหน และโฉมหน้าของประธานาธิบดีพม่าคนใหม่จะเป็นใคร นางอองซาน ซูจี จะร่วมบริหารประเทศในตำแหน่งอะไร คงได้รู้กันต้นปี 2559 นี้

แต่ที่แน่ๆ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพม่า เป็นโฉมหน้าใหม่ที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างไทยจะต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะรู้กันอยู่ว่า ที่ผ่านมาการปกครองภายใต้รัฐบาลทหาร ปราศจากอิสระ เสรีภาพทางความคิด ทำให้คนพม่ามีความเป็นอยู่ลำบาก ภายใต้กรอบที่ไร้อิสรภาพ ต่างพากันทิ้งบ้านเรือน อพยพเข้ามาหางานทำในไทย จนปัจจุบันว่ากันว่า มีแรงงานพม่าในเมืองไทยถึงกว่าล้านคน

ขณะที่นางอองซาน ซูจี เป็นที่เคารพศรัทธาของคนพม่า เป็นความหวังที่จะนำพาประเทศพม่าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งนี้ กระแสความนิยมท่วมท้น คนพม่าต่างออกมาใช้สิทธิกันอย่างคึกคัก เปี่ยมไปด้วยความหวัง เป็นเหตุให้พรรคฝ่ายค้านชนะขาด บ่งบอกสัญญาณแห่งความหวังไปสู่ประเทศพม่าโฉมใหม่ ผนวกกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ทำให้เศรษฐกิจความเป็นอยู่ของคนพม่าปรับตัวดีขึ้น ความเจริญหลั่งไหลเข้าไปในพม่า เชื่อว่า ในไม่ช้าไม่นาน แรงงานพม่าในบ้านเรา ก็น่าที่จะอยากกลับไปใช้ชีวิตยังถิ่นฐานเดิม

ดังนั้น นายจ้างคนไทยควรเตรียมการรับมือกับปัญหาขาดแรงงานแต่เนิ่นๆ หากแรงงานพม่าไหลกลับ!!

ส่วนเรื่องสุดท้าย คือ การประมูลสัมปทานคลื่นมือถือ 4จี หรือคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิร์ตซ์ โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งการประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด วงเงินประมูลสูงเกือบแตะแสนล้านบาท แข่งขันกันยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง โดยค่ายทรู ชนะประมูลล็อตแรกด้วยวงเงิน 39,792 ล้านบาท ส่วนล็อต 2 ตกเป็นของเอไอเอส ด้วยราคาที่ 40,986 ล้านบาท

ผลการประมูลทำให้ผู้บริโภค หรือผู้ใช้มือถือทั้งหลาย รู้สึกดีที่อีกไม่นาน การใช้บริการมือถือที่เคยประสบปัญหาสัญญาณขาดๆ หายๆ สัญญาณอ่อน ระบบล่มบ่อยๆ คงจะหายไป เพราะค่ายทรูและเอไอเอสจะมีคลื่นมาให้บริการเพิ่มมากขึ้น เพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาการใช้สมาร์ตโฟนเป็นช่องทางในการค้าขายก็จะได้รับความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐได้เงินเข้าแผ่นดินจากการประมูลครั้งนี้ ถึงกว่า 80,000 ล้านบาท

แต่ในทางตรงกันข้าม หลายคนเป็นห่วงเรื่องเงินประมูลที่แพงลิบลิ่ว ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อการคิดค่าบริการมือถืออย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แม้ว่า กสทช. จะตั้งเงื่อนไขการประมูลเอาไว้ นัยว่า เป็นการดูแลคุ้มครองผู้บริโภค โดยกำหนดให้อัตราค่าบริการ 4จี จะต้องถูกกว่าอัตราค่าบริการ 3จี ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน

แต่เชื่อมั้ย ธุรกิจย่อมมีวิธีซิกแซกเพื่อให้ได้รายได้กลับคืนมาอยู่ดี!!

ขยะพิษในโลกโซเชียล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 384

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

ขยะพิษในโลกโซเชียล

อย่างที่เคยย้ำนักย้ำหนาว่า ในขณะที่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก สร้างคุณประโยชน์อนันต์ ในการช่วยเปิดโลกทัศน์ ย่อโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลให้เล็กลง ทำให้การติดต่อสื่อสารของคนจากทุกพื้นที่ในโลกทำได้ง่ายดายเพียงแค่คลิกเดียว แต่ในทางตรงกันข้าม โลกออนไลน์ก็มีอันตรายมหันต์ที่คาดไม่ถึง โดยเฉพาะผลพวงจากการโพสต์ การแชร์ การแสดงความคิดเห็น หรือคอมเมนต์โดยไม่ไตร่ตรองเสียก่อน นำมาซึ่งผลกระทบ ถูกเมนต์กลับ หรืออาจลุกลามบานปลายจนทำให้เสียผู้เสียคน เสียการเสียงาน เสียอนาคต ดังที่มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วหลายกรณี

นอกจากนี้ พิษภัยที่น่ากลัวอีกด้านหนึ่งของโลกโซเชียล ก็คือ ไม่น่าเชื่อที่โลกโซเชียล เต็มไปด้วยข้อมูลลวง ข้อมูลขยะ หรือการนำเสนอข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง หากใครเสพข่าวสาร ข้อมูลจากโลกออนไลน์โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง อาจนำมาซึ่งผลร้ายถึงขั้นเสียชีวิตก็ว่าได้

ดังเช่นตัวอย่างที่หยิบยกมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นโพสต์ของ หมอจ๊วด หรือ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา นำเรื่องเล่าจากเฟซบุ๊กของหมอคนหนึ่ง ที่เล่าถึงครูยุทธ ซึ่งเป็นครูเกษียณอายุ ครูยุทธก็เหมือนคนแก่ทั่วไปในยุคสมัยนี้ที่นิยมใช้เวลาส่วนใหญ่เข้าอินเตอร์เน็ต ดูเฟซบุ๊ก อ่านโน่นอ่านนี่ และที่น่าห่วงก็คือ โลกโซเชียลมักจะมีคนชอบแชร์เรื่องราวการดูแลรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติไม่ต้องพึ่งหมอ เช่น แนะนำให้ทานน้ำผึ้งผสมมะนาว นัยว่า เป็นสูตรล้างพิษ ช่วยลดความอ้วน หรือแนะนำให้ใช้น้ำมันหมูทำกับข้าวแทนน้ำมันพืช และหุงข้าวด้วยน้ำมันมะพร้าว จะดีต่อสุขภาพ เป็นต้น

แม้ว่าหมอจะพยายามให้ข้อมูลว่า ไม่เป็นความจริง แต่คนส่วนใหญ่ในโลกโซเชียลกลับเชื่อ เช่นเดียวกับครูยุทธ ทั้งๆ ที่ครูยุทธเป็นสารพัดโรคของคนแก่ ไม่ว่าจะโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง แรกๆ อาการของโรคก็ยังไม่มากนัก หมอที่รักษายังสามารถควบคุมระดับของโรคไว้ได้ แต่ระยะหลังๆ ปรากฏว่า ตัวเลขกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ สอบถามจนได้ความว่า ครูยุทธเชื่อข้อมูลในไลน์ หรือข้อมูลที่โพสต์แชร์ต่อๆ กันมา ยาความดันไม่ดีต่อร่างกาย จะส่งผลในการทำลายตับและไต ถึงขนาดมีการแชร์กันว่า ค่าความดันสูงเป็นการหลอกลวงของฝรั่งที่จะขายยา สุดท้าย ครูยุทธเลิกทานยาความดัน

ต่อมาอีกปี ครูยุทธมาโรงพยาบาลด้วยภาวะน้ำตาลสูงปรี๊ด และไตวาย สาเหตุเกิดจากครูยุทธเชื่อข้อมูลที่แชร์กันมา แนะนำให้ทานน้ำผึ้งกับน้ำมะนาว จะช่วยเรื่องเบาหวาน แถมยังเลิกทานยาเบาหวานอีกต่างหาก ด้วยเพราะครูยุทธเห็นผลจากการทานน้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ทำให้น้ำหนักลดตั้ง 10 กิโลกรัม แม้ว่าหมอจะพยายามชี้แจงเหตุว่า น้ำหนักลดเพราะภาวะน้ำตาลพุ่งสูงจนทำให้ร่างกายเสียน้ำไปทางปัสสาวะ และเหตุที่ไตวายเพราะหยุดยาเบาหวาน

นี่ยังไม่รวมข้อมูลผิดๆ อีกเป็นหางว่าวที่ครูยุทธได้รับมาจากไลน์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องแหกตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะแนะว่า ทานทุเรียนช่วยลดน้ำหนัก ถ้าเส้นเลือดแตกในสมองให้เอาเข็มจิ้มนิ้วก่อน หรือแม้แต่หากถูกไฟชอร์ต ห้ามปั๊มหัวใจ แต่ให้นำตัววางบนสังกะสีแล้วราดน้ำ เพื่อคายประจุไฟฟ้า

สุดท้าย ครูยุทธเสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก หมอไปตรวจสภาพศพ พบที่นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว ถูกจิ้มด้วยเข็ม เพราะภรรยาครูยุทธก็เชื่อข้อมูลที่แนะให้ใช้เข็มจิ้มนิ้วถ้าเส้นเลือดแตก แต่เข็มไม่ได้ช่วยชีวิตครูยุทธได้อย่างที่แชร์กันมา

น่าเศร้าที่เรื่องราวนี้ไม่ได้ถูกนำมาเป็นข่าวครึกโครมเพื่อเตือนสติเหล่านักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย ได้แต่หวังว่า จะมีคนแก่อีกหลายคนที่ได้อ่าน และได้ตระหนักถึงข่าวมั่วๆ ในโลกโซเชียลที่ว่ากันว่า แทบจะ 80 เปอร์เซ็นต์ของเรื่องที่แชร์กันมา เป็นเรื่องลวงทั้งสิ้น

และโปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล!!

ช้า…ถือว่าผิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07098151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 383

ก่อนปิดร้าน

วิมล ตัน Monmati13@yahoo.com

ช้า…ถือว่าผิด

เมื่อประมาณปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีข่าวที่ถือว่าช็อกวงการออนไลน์ที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง นั่นคือ การประกาศเลิกกิจการใน 7 ประเทศของกรุ๊ปปอน (GROUPON) ซึ่งการเลิกกิจการนำมาซึ่งการเลิกจ้างพนักงาน 1,100 คน มีการจ่ายค่าชดเชยไปเป็นเงินกว่าพันล้านบาท โดย 7 ประเทศที่ว่า ประกอบด้วย โมร็อกโก ปานามา ฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก ไต้หวัน อุรุกวัย และสุดท้ายก็คือ สาขาของกรุ๊ปปอนในไทย ที่โดนหางเลขไปด้วย ซึ่งไม่รู้ว่า มีพนักงานคนไทยกี่มากน้อยที่ต้องตกงาน

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับกรุ๊ปปอนดี แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้จัก กรุ๊ปปอนเป็นเจ้าของเว็บไซต์สัญชาติอเมริกันที่นำเสนอดีลพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่นช็อป ชิม ชมในราคาหรือข้อเสนอพิเศษผ่านเว็บ http://www.mygroupon.co.th ซึ่งธุรกิจเว็บในลักษณะแบบนี้มีอยู่หลายเว็บที่เป็นที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็น เอ็นโซโก้ (ensogo) ออลไทยคูปอง (AllThaiCoupons) วอชเชอร์ไทย (VoucherThai) หรือไทยทูทิคเก็ต (Thai2ticket) แต่กรุ๊ปปอนถือว่าเป็นเว็บดีลต้นตำรับที่ทำธุรกิจด้านนี้ เรียกได้ว่า เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจ และได้ชื่อว่า เป็นเว็บดีลที่มีการเติบโตเร็วที่สุดของโลก ดังนั้น การประสบปัญหาจนถึงขั้นทยอยเลิกกิจการในหลายประเทศ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตาม

นายริช วิลเลียมส์ ซีอีโอของกรุ๊ปปอน ให้คำตอบกับสาธารณชนต่อเรื่องนี้ว่า “เราเชื่อว่าเพื่อให้การเดินทางตามรอยเท้าเดิมของเราใหญ่ขึ้นและก้าวหน้ามากขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องมุ่งไปที่พลังและงบประมาณ เพียงแค่ 2-3 ประเทศเท่านั้น” เป็นคำตอบที่บ่งบอกถึงวิกฤตที่บริษัทกำลังเผชิญ อันเป็นผลพวงจากกระแสธุรกิจตลาดโลกออนไลน์ที่แข่งขันสูง ทำให้กรุ๊ปปอนเพลี่ยงพล้ำในหลายประเทศ อย่างเช่นกรณีของไทย ที่กรุ๊ปปอนยอมรับว่า เข้ามาบุกตลาดไทยช้าเกินไป โดยกรุ๊ปปอนเพิ่งเข้ามาทำธุรกิจในไทยเมื่อปี 2555 ขณะที่ตลาดเต็มไปด้วยคู่แข่งทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะเอ็นโซโก้ที่เข้ามาก่อน และครองส่วนแบ่งตลาดเกือบทั้งหมดไปก่อนแล้ว

แม้กระทั่งในตลาดโลก ธุรกิจเว็บดีลก็มีการแข่งขันสูงมาก จนกรุ๊ปปอนถอดใจ จำต้องถอยร่น พร้อมๆ กับการพยายามพลิกฟื้นธุรกิจ ด้วยการรุกบริการใหม่ ทั้งการรับส่งอาหาร หรือดีลิเวอรี่ และการรับส่งสินค้า เพื่อที่จะฟื้นฟูแบรนด์ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง แต่คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะถึงจะเป็นบริการใหม่ แต่ก็มีเจ้าเก่ายักษ์ใหญ่ที่ยึดตลาดอยู่แล้ว การจะเข้าไปเบียดส่วนแบ่งตลาดย่อมยาก และเหนื่อยกว่าหลายเท่าตัว

คำถามคือ กรณีของกรุ๊ปปอนสอนให้เราเรียนรู้ได้ว่า โลกออนไลน์เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว การอัพเดตให้ทันสถานการณ์เป็น “กลยุทธ์จำเป็น” ที่ทุกคนต้องท่องให้ขึ้นใจและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพราะโลกออนไลน์เข้าง่าย ออกก็ง่ายเช่นเดียวกัน เผลอแค่กะพริบตา หรือตามติดภาวะตลาด ภาวะการแข่งขัน ช้าไปแค่เสี้ยววินาที มีโอกาสที่สินค้าหรือธุรกิจจะเอาต์ หรือตกกระแส ถูกคู่แข่งเบียดตกเวทีค้าไปได้ง่ายๆ

เหมือนอย่างที่ คุณเหมียว-ดุจธนนันท์ เกียรติเชิดแสงสุข เจ้าของธุรกิจคอนแทกต์เลนส์แฟชั่น ยี่ห้อ “คิตตี้ คาวาอิ” สินค้าแฟชั่นอินเทรนด์ที่โดนใจเหล่าวัยรุ่น ด้วยยอดขายทะลักปีละกว่าร้อยล้านบาท ได้ให้ข้อคิดในงานสัมมนา “One Stop Shop on Mobile ค้าขายบนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างไรให้เป็นเศรษฐี” จัดโดยนิตยสารเส้นทางเศรษฐี เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า “การทำธุรกิจผ่านออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจคือ ความรวดเร็วในการตอบคำถามลูกค้า ต้องอัพเดตข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การพัฒนาไม่ควรหยุดนิ่ง ต้องรู้ใจลูกค้า ถ้าทำได้ตรงจุด ลูกค้าก็ยังคงอยู่กับเราตลอด”

โลกออนไลน์ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ ไม่ง่ายเลย!!