ตื่น (เช้า) เถิดชาวไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07011010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 398

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ

ตื่น (เช้า) เถิดชาวไทย

ฝรั่งบอกว่า The early bird gets the worm นก (ที่ตื่น) ตัวแรกจะได้กินหนอนก่อน

ศรีบูรพา กล่าวไว้ในบทประพันธ์เรื่อง “อยู่กับก๋ง” ว่า การตื่นเช้าถือเป็นกำไรของชีวิต

ส่วนก๋งที่บ้านก็สอนเสมอว่า ตื่นเช้า 3 วันได้เวลาเพิ่ม 1 วัน ภาษิตคนไทยเองก็บอก อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน…

ประเทศอื่นๆ ในโลกก็คงมีภาษิตดีๆ เกี่ยวกับการตื่นเช้าเช่นเดียวกัน แปลว่า การตื่นเช้ามันต้องมีอะไรดีแน่นอน ส่วนบุคคลประเภทต่อมทัศนคติเป็นพิษ ก็มักจะเกิดคำถามค่อนแคะ ว่าตื่นเช้าหรือมาทำงานเช้าแล้วได้อะไร ไม่เห็นมีผลงานอะไรหรือสร้างผลงานอะไรได้เลยในตอนเช้า

ผลงานที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ว่ามาทำงานกี่โมง อยู่บนเตียงก็ทำงานได้ป่ะ? หรือไม่ก็ ใช่ซี้!! เธอมันบ้านใกล้หนิ!! เธอมันบ้านไกลหนิ!! หรือใช่ซี้…เธอมันต้องไปส่งลูกหนิเลยต้องไปส่งลูกไปโรงเรียนก่อนเลยได้มาทำงานเช้า

สารพัดเหตุผลที่จะนำมาเป็นข้ออ้างให้ตัวเองดูดี (ที่มาทำงานสาย) ระดับความรุนแรงของคำถากถางก็จะสะท้อนระดับสารพิษในทัศนคติด้วย คำแนะนำคือ อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับบุคคลประเภทนี้ให้เสียเวลาชีวิต ทำได้คือต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้ อย่าให้ระดับพิษของคนอื่นมาลดพลังงานดีในตัวเอง

ตื่นเช้าแล้วได้อะไร?

แน่นอน 1. ได้เวลามากขึ้น ใครที่ชอบบ่นว่าทำอะไรก็ไม่ทันลองตื่นเช้าดูหน่อยคุณได้เวลาเพิ่มขึ้นมาอีก แม้จะไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ทำให้มีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย ได้กินอาหารเช้า-อาหารมื้อสำคัญที่ชอบมองข้าม อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด กินได้เยอะที่สุด เพราะมื้อนี้กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ถือว่าเป็นการเติมพลังงานให้เต็มที่ก่อนเริ่มวันใหม่

2. ได้พบกับความสงบเงียบในตอนเช้า ไร้เสียงรบกวนใดๆ ถ้าใครคิดงานไม่ออก ลองตื่นเช้าๆ มานั่งทำงานที่ค้างไว้ รับรองจะรู้สึกได้ถึงความปลอดโปร่งของสมอง

3. มีเวลาเหลือให้ทบทวนกับเป้าหมายใหญ่ในชีวิต ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร การมีเวลาได้ทบทวน ใคร่ครวญ และตรวจสอบความคืบหน้าของเป้าหมายอย่างนิ่งๆ ในตอนเช้า เป็นสิ่งที่พึงทำที่สุด

4. ไม่ต้องรีบร้อนแข่งขันกับเวลา ตาลีตาเหลือกวิ่งเข้าห้องประชุมให้เสียบุคลิกภาพ การมีบุคลิกภาพที่ดีเป็นข้อได้เปรียบเสมอ คุณคงเคยเห็นคนที่มาประชุมไม่ตรงเวลา ซึ่งเสียคะแนนไปแล้วส่วนหนึ่ง พอเข้ามาประชุมก็เต็มไปด้วยความลุกลี้ลุกลน เพราะไม่มีเวลาได้เตรียมตัว หากเลือกได้เราเองก็คงอยากเจรจาธุรกิจกับบุคคลที่มีความพร้อมและเตรียมตัวมาดีมากกว่า

5. ข้อสุดท้ายนี้อ้างอิงได้จากข้อมูลทางการแพทย์คือ การตื่นเช้าทำให้มีเวลาได้ขับถ่ายของเสียแบบไม่รีบเร่ง-ในช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่อวัยวะเริ่มทำงาน ทั้งลำไส้เล็กและสำไส้ใหญ่ ที่เริ่มขับของเสียออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขับของเสียต่างๆ ออกได้หมด ผิวพรรณก็จะสดใส จิตใจเบิกบาน พร้อมที่จะลุยงานให้สำเร็จ

จะเก่าไปมั้ย ถ้าติ่งแก่ๆ จะขอยกตัวอย่าง ดารานักร้องเกาหลีชื่อดังระดับซุปเปอร์สตาร์ของเอเชีย เรน (Rain) ชื่อจริง Jung Ji Hoon แม้จะผ่านมากี่ปีเราก็ยังชื่นชอบอยู่ เรนไม่ได้เกิดมาด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา แถมมีชีวิตวัยเด็กที่ผ่านความแร้นแค้นและเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการฝึกฝน เรนเคยให้สัมภาษณ์ในเรื่องการพัฒนาฝีมือทั้งในด้านการเต้นและร้องเพลงที่เราไม่เคยลืมเลยว่า ถ้าเขาหมั่นเพียรฝึกฝนซ้อมเต้นให้มาก ในขณะที่นักเต้นหรือนักร้องคนอื่นๆ ยังนอนหลับอยู่ เขาก็น่าจะทำได้ดีและมาอยู่แถวหน้าได้

สุดท้าย เรนได้กินหนอนก่อนใคร คือการได้เป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้าของเอเชีย

ทุกคนเกิดมามีเวลาเท่ากัน อยู่ที่ใครจะรู้จักใช้และบริหารเวลาได้ดีกว่ากัน

เรน ทำได้ เรา ก็ทำได้นะพี่น้อง ฮา

ร้อนอะไร ไม่เท่าร้อนเงิน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07011010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

ร้อนอะไร ไม่เท่าร้อนเงิน!!

เข้าสู่โหมดหน้าร้อนโดยสมบูรณ์แบบ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเราเจอกับอากาศร้อนที่สุดในรอบ 50 ปี ตลอดเดือนเมษายนนี้ก็ไม่น่ารอด อิทธิพลฮีตเวฟ หรือคลื่นความร้อนนี้น่าจะครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้าตลอดซัมเมอร์นี้

จะว่าไป ร้อนอะไร ก็ไม่เท่าร้อนเงินสินะ เวลาอากาศร้อนมักนอนไม่ค่อยหลับ อาการร้อนเงินก็เช่นกัน หลับลงซะที่ไหน หวาดระแวงว่าเจ้าหนี้จะมาตามทวงหนี้จากทุกช่องทาง ทั้งโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไลน์แชต ไม่เว้นแม้แต่บนหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊ก

เผลอๆ มาในระยะประชิดถึงหน้าบ้านหน้าออฟฟิศก็มี

หนทางหลุดพ้นจากอาการร้อนเงิน คงหนีไม่พ้นการกู้ยืม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หากบ่อยครั้งขึ้นบุคคลเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ห่างจากเราไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ดังนั้น ทางเลือกต่อไปก็คงเป็นแหล่งเงินกู้ ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ มาพร้อมกับดอกเบี้ยแบบหฤโหดหรรษา

เพื่อที่จะไม่ต้องเข้าสู่อาการร้อนเงิน นอกเหนือจากการลดรายจ่าย ประหยัด เก็บออมถนอมเงินแล้ว การหารายได้เพิ่ม คือปัจจัยสำคัญเช่นกัน ในหนังสือเรื่อง “เงินสี่ด้าน งานสี่ประเภท” ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ หนังสือที่ขายดีติดอันดับโลก เขียนถึงเรื่องรายได้ว่า มีอยู่ 2 ประเภทคือ Active Income กับ Passive Income ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงเป็น รายได้เชิงรุก กับ รายได้เชิงรับ

Active Income คือ รายได้เชิงรุก ต้องรุกถึงจะได้เงิน คือต้องลุกขึ้นมาทำงาน รายได้จะเกิดจากลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งรายรับ หากแรงหมดรายได้ประเภทนี้ก็หดไปด้วยเช่นกัน มนุษย์เงินเดือนพึงตระหนักว่าเงินที่เรารับอยู่ทุกวันนี้คือ Active Income นะพี่น้อง

แต่ Passive Income หรือรายได้เชิงรับ คือรับตลอดดดดดดดๆๆๆๆ และงอกขึ้นเรื่อยๆ เป็นประเภทของรายได้ที่ควรมีให้มากที่สุด เป็นรายรับที่ไหลเข้ามาโดยที่เราไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก หรือถ้าจะต้องลงแรงไป ก็นิดหน่อย แต่สามารถเก็บเกี่ยว เก็บกินรายได้นี้ไปได้ยาวๆ แม้ในวันที่เราไม่ได้ทำงาน หรือทำงานไม่ได้แล้ว ในวงการธุรกิจเครือข่าย หรือ MLM ชอบใช้รายได้ประเภทนี้มาเป็นจุดขายเพื่อให้คนเข้าสู่ธุรกิจ

อย่างไรก็ดี ถ้าเราไม่ชอบการขายตรงในธุรกิจเครือข่าย ยังมีตัวอย่างของ Passive Income อื่นๆ อีก เช่น เงินฝากธนาคารหรือพันธบัตรรัฐบาลที่มีดอกเบี้ยให้เรา การลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล รายได้จากค่าเช่าคอนโดมิเนียม หอพัก ที่ดิน อาจรวมไปถึงการปล่อยเงินกู้แล้วกินรายได้จากดอกเบี้ยก็ใช่เช่นกัน

ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเสมือนเครื่องปั๊มรายรับให้เราอย่างต่อเนื่องนั่นเอง อาจจะต้องมานั่งทบทวนว่าเรามีรายได้ประเภทนี้บ้างหรือยัง? เพราะถ้าไม่มีรายได้ประเภทนี้เลย อาการร้อนเงิน ชักหน้าไม่ถึงหลังจะกำเริบได้บ่อยครั้ง และอาจรุนแรงถึงขั้นการเป็นหนี้เป็นสินรุงรัง

จริงๆ แล้ว รายได้มาจากทางไหนก็ดีทั้งนั้น แต่เพื่อความยั่งยืน เราควรมองหาแหล่งที่ก่อให้เกิดรายได้โดยที่ไม่ต้องทำงานแบบหนักหน่วงเพื่อสร้าง Passive Income ให้มากขึ้น ใครจะรู้! เผลอๆ เราอาจมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี ถึงตอนนั้นอาจจะยังแข็งแรงอยู่ แต่ก็คงไม่มีใครจ้างทำงานแล้ว หรืออีกนัยหนึ่ง คือทำงานกันไม่ไหวแล้ว แต่อันที่จริง ไม่ควรต้องรอถึงวัยเกษียณแล้วค่อยมองหารายได้แบบนี้ ใครเจอได้เร็ว หาได้ก่อน โอกาสการเก็บเกี่ยวก็ยาวนานขึ้น

ไม่ว่าจะหน้าร้อนนี้…หรือหน้าร้อนไหนๆ จะได้ไม่ต้องร้อนเงิน…นะพี่น้อง

กระเป๋าตังค์จะไม่ตุงอีกต่อไป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07016010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 392

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

กระเป๋าตังค์จะไม่ตุงอีกต่อไป

ใครที่เคยบ่นเรื่อง กระเป๋าตังค์ตุงจากการพกบัตรหลายๆ ใบในกระเป๋าสตางค์ ทั้งบัตรประชาชน บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรสินเชื่อ บัตรรถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน นี่ยังไม่รวมบัตรส่วนลดต่างๆ นานาชนิด…

เรื่องนี้อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับท่าน

ด้วยแผนยุทธศาสตร์ National E-Payment ที่จะผลักดันให้คนไทยหันมาใช้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดปัญหาต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับภาคประชาชน เช่น เงินสวัสดิการจากหน่วยงานรัฐที่ล่าช้า ไม่ทั่วถึง ปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมที่สูงอย่างไม่เป็นธรรมในการโอนเงิน ปัญหาเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจนอกระบบ เป็นต้น อีกทั้งน่าจะเป็นตัวช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจไทยในตลาดโลก

ดังนั้น ไม่ว่าจะในฐานะประชาชนคนธรรมดา หรือ เจ้าของกิจการ พ่อค้าแม่ขาย ไม่ว่ารายเล็ก รายใหญ่ คงต้องคอยติดตามข้อมูลเพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับตัว ปรับใจ เพราะน่าจะกระทบกับทั้งชีวิตประจำวัน และธุรกิจของเราไม่มากก็น้อย

เห็นว่า National E-Payment จะเริ่มกันยายน ปีนี้แล้ว ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลลุงตู่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทุบโต๊ะสั่งเดินหน้า National E-Payment ให้แล้วเสร็จใน 1 ปีครึ่ง โดยยุทธศาสตร์หลักที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิตอล มี 5 ข้อดังนี้

1. Any ID : คือ เอา ID หรือชิปบนบัตรประชาชน มาใช้ในการโอนเงิน จ่ายเงิน ชำระบริการทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ โดยในตอนเริ่ม จะใช้กับ เลขบัตรประชาชนและเบอร์โทรศัพท์ โดยหลังจากนั้นก็จะมีการเปิดให้ประชาชนไปลงทะเบียนใช้ E-Payment กัน นั่นหมายความว่าต้องมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ เลขที่บัญชีธนาคาร หมายเลขกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ให้สามารถดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลได้

2. ติดตั้งเครื่องรับ E-Payment เมื่อทุกคนมีบัตร ก็ต้องมีการขยายการเข้าถึง โดยจะเพิ่มปริมาณเครื่องรูดบัตร (EDC) ให้เป็น 2 ล้านเครื่อง จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 100,000 เครื่อง ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ โดยมีการเปิดเผยเบื้องต้นว่า “มูลค่าการชำระเงินขั้นต่ำคือ 20 บาท”

3. ระบบภาษีของกรมสรรพากร การใช้ National E-Payment จะช่วยทำให้ระบบการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลดีขึ้น ทำให้ธุรกิจที่ไม่เสียภาษี หรือเศรษฐกิจนอกระบบ (Shadow Economy) อย่างขายของออนไลน์ ต้องเข้าสู่ระบบมากขึ้น และเมื่อรวมกับนโยบายหนึ่งเอสเอ็มอี หนึ่งบัญชี ก็น่าจะทำให้ E-Payment เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

4. นำ E-Payment มาใช้กับหน่วยงานภาครัฐ การทำงานของภาครัฐ มักโดนบ่นเพราะล่าช้า แต่การนำระบบ E-Payment มาใช้กับองค์กรภาครัฐ จะช่วยให้การทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น และต่อไปสำเนาเอกสารคงไม่จำเป็นอีกต่อไป บัตรประชาชนใบเดียวจบ ปัญหาเงินสวัสดิการต่างๆ ที่เคยล่าช้า ไม่ทั่วถึง น่าจะหมดไป

5. ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจ ให้ได้เห็นประโยชน์และความสะดวกจาก E-Payment

นับเป็นอีกหนึ่งวาระแห่งชาติ ที่น่าจะทำให้คนไทยก้าวเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง

ดังนั้นวินาทีนี้ ทุกวงการต้องตื่นตัว และเตรียมตัวกันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก รวมถึงวงการการตลาดที่ตอนนี้ต้องวางแผนเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงนี้

สำหรับผู้บริโภคก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิถีชีวิตเราก็น่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เทคโนโลยีน่าจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกขึ้น เราจะพกเงินสดกันน้อยลง ปลอดภัยจากทำสูญหายหรือขโมยขโจรวิ่งราวบนท้องถนน อีกทั้งเราควรจะได้ประโยชน์จากการเสียค่าธรรมเนียมในการโอนเงินที่ถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น ดูแล้วก็น่าจะดี

แต่อย่าลืม กระเป๋าไม่ตุง แต่ก็ต้องมีตังค์นะ พี่น้อง

* ขอบคุณข้อมูลเบื้องต้นจาก ThaiGovGov

รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07017010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 388

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้?

ช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศักราชใหม่ ปีวอก 2559 หลังจากเพิ่งผ่านพ้นปาร์ตี้เฉลิมฉลองปีใหม่ และหยุดพักผ่อนยาวๆ หลายวันแบบนี้ จริงๆ เราควรจะนำแต่เรื่องดีๆ มาแบ่งปันกัน แต่คอลัมน์นี้ขอย้อนศรกันสักหน่อย เอาเรื่องที่ตอนแรกก็มั่นใจว่าน่าจะดี แต่ไปๆ มาๆ ไหงเป็นงี้ มาแชร์กันแบบขำๆ ให้ไปขบคิดเล่นๆ ทบทวนกันบ้างว่า ปีที่ผ่านมาเรามีเรื่องอะไร ที่เป็นเรื่องเข้าข่าย “รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้?” กันบ้าง

เรื่องแรกเลย มาแรงสุดๆ มนุษย์เงินเดือนบ่นกันทู้กกกคน กับการซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี LTF, RMF ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจากทุกสำนัก กล่าวว่าการซื้อ LTF, RMF ใกล้สิ้นปีราคามักแพงมาก แนะนำให้พี่น้องค่อยๆ เก็บ เลยจัดกันไป ทยอยซื้อกันมาตั้งแต่ต้นปี

แล้วคืออัลไล?? พอปลายปีเท่านั้นแหละ ราคาตกฮวบฮาบ จะไปกวาดซื้อเพิ่มก็ไม่ได้ เพราะทยอยซื้อกันไปจนเต็มแม็กซ์แล้ว

ได้ข่าวว่า ร้องไห้กันหนักมาก T_T เอาเถอะค่ะ ซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี อีกหลายปีกว่าจะขายได้ เก็บยาวๆ หวังว่าจะไม่ขาดทุน

เรื่องที่สอง ฮอต! กันบนโลกออนไลน์เหลือเกิน กับงานการประกวดมิสยูนิเวิร์สล่าสุด นอกจากกรณีการประกาศชื่อผู้ชนะผิดของโฆษกแล้ว ที่เป็นเรื่อง รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้? ของคนไทยเราคือ การไปเขียนคอมเมนต์กันบนออนไลน์เกี่ยวกับชุดประจำชาติ ตุ๊กตุ๊กไทยแลนด์ ของน้องแนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 ด่าชุดเขาซะเสียหาย ปรามาส ขนาดที่ว่า จะยอมทำโน่นทำนี่…กินโน่นกินนี่ ถ้าชุดนี้ได้รางวัล ด้วยความคึกคะนอง สนุกปาก (คีย์บอร์ด) เป็นไงล่ะ! ในที่สุดชุดนี้คว้ารางวัลยอดเยี่ยมชุดประจำชาติ สุดท้ายได้ข่าวว่า โดนเช็กบิลกันถ้วนหน้าทุกคน นี่แหละ เจ้าตัวคงได้แต่นึก! รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้?

ทีหน้าทีหลัง อย่าซี้ซั้วเขียนอะไรบนโลกออนไลน์ เพราะชาวเน็ตยุค 4G เขาตามตัวกันเร็ว และ แร็งงงงงงง!!!

เรื่อง ลืมการออมเงิน คืออีกเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะบ่นเมื่อเวลาผ่านไป คือ ไม่ได้ออมเงิน ลืมเก็บเงิน กี่ปีกี่ปีผ่านไปแม้ว่าจะทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่กลับหลงระเริงกับการใช้จ่าย มีไลฟ์สไตล์สุดเหวี่ยง กิน ช็อป เที่ยว กระเจิดกระเจิง รู้ตัวอีกทีเมื่ออายุอานามมากขึ้น แต่ไม่มีเงินเก็บเลย อันนี้เข้าข่ายอย่างจัง รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้? แต่ยังไงเสีย เรื่องนี้ก็ไม่มีวันสาย รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ให้รีบลงมือเก็บออมกันเลย มีน้อยออมน้อย มีมากออมมาก

และสุดท้าย ดิฉันอยากฝากไว้อีกเรื่องคือ อย่าลืมทำในสิ่งที่ตัวเองรักด้วย บางทีคนเราก็มักจะใช้ชีวิตอย่างมีเหตุมีผลมากเกินไป ตามกระแสสังคมมากเกินไป วิ่งวนตามสังคมเป็นหนูติดจั่น โดยอาจไม่รู้ตัวว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง แต่ที่ทำเพราะคนส่วนใหญ่เขาทำกัน ตามเพื่อนบ้าง ตามพ่อแม่พี่น้องบ้าง ต้องทำงานที่ทำอยู่เพราะเป็นความคาดหวังของคนอื่นไม่ใช่ของตัวเอง เราอาจถือโอกาสใช้เวลาในช่วงของการเริ่มต้นปีใหม่ ทบทวนและมองหาความสุขที่แท้จริงของตนเอง ฟังเสียงเล็กๆ จากภายในของตัวเองบ้าง บางทีอาจทำให้เราเจอคำตอบที่ต่างออกไป ในการมองเป้าหมายของชีวิตจากทุกๆ ปีที่ผ่านมา

อย่าให้คำว่ารู้อะไรไม่เท่ารู้งี้? ตามหลอกหลอนเราอีกในปีลิง นะพี่น้อง

สวัสดีปีใหม่ค่ะ…

กับดักเถ้าแก่ (มือใหม่)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07024011258&srcday=2015-12-01&search=no

วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 386

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

กับดักเถ้าแก่ (มือใหม่)

เคยเขียนเรื่องของกับดักมนุษย์เงินเดือนไปในคอลัมน์ก่อนหน้านี้ มีผู้อ่านซึ่งเป็นเจ้าของกิจการมาแอบถามว่า แล้วกับดักเถ้าแก่ล่ะ มีอะไรบ้างมั้ย

นั่นสินะ มีอะไรบ้างที่จะเป็นกับดักที่ทำให้การเป็นเถ้าแก่ไม่ประสบความสำเร็จ ยิ่งสมัยนี้การมีธุรกิจของตัวเองเป็นความฝันของเด็กรุ่นใหม่ ประกอบกับการเติบโตของธุรกิจสตาร์ตอัพต่างๆ ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่โด่งดังน่าสนใจมากมาย ล้วนเกิดจากไอเดียดีๆ ของคนรุ่นใหม่ เช่น UBER ธุรกิจเรียกแท็กซี่ผ่านแอพออนไลน์ หรือ airbnb ที่เปิดโอกาสให้คนเปิดบ้านส่วนตัวเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว

ไอเดียใหม่ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้คนหันมาอยากมีธุรกิจของตนเองมากมาย แม้ว่าจะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับการเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีคำเตือนที่น่าจะเป็นกับดักอยู่หลายประเด็นสำหรับคนที่อยากจะเป็นเถ้าแก่ เช่น

กับดักที่ 1 อย่าเพิ่งลาออกจากงานประจำ ถ้าโครงการของคุณยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นแค่ความฝันแต่ยังไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน หรือจับต้องได้ ความดีอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครเถียงได้ของการเป็นมนุษย์เงินเดือนคือ คุณได้เงินเดือนทุกเดือนที่คุณทำงาน ดังนั้น หากลาออกทันที เงินส่วนนี้ที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงชีวิตประจำวันก็จะหายไป เว้นเสียแต่ว่าบ้านรวย ช่วยไม่ได้ ก็ข้ามข้อนี้ไปเลย

2. อย่าเพิ่งกู้เงิน ข้อนี้เป็นกับดักที่น่ากลัวที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่เงินกู้มาถึงมือคุณ ดอกเบี้ยวิ่งทันทีและวิ่งทุกวัน ตามหลอกหลอนเถ้าแก่มือใหม่ ดังนั้น การกู้เงินไม่ว่าจะจากแหล่งไหน น่าจะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะทำ

3. อย่าเพิ่งรีบหาหุ้นส่วน การมีหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก หาคำตอบให้ได้ ทำไมเราต้องมีหุ้นส่วน เราต้องการเงินลงทุนของเขา หรือไอเดียของเขา หรือแรงของเขา หรือคอนเน็กชั่น สิ่งเหล่านี้จำเป็นจริงหรือไม่สำหรับธุรกิจใหม่ของเรา เรื่องหุ้นส่วนไม่ได้มีปัญหาแต่เฉพาะในวันที่ต้องร่วมกันขาดทุน แม้กระทั่งในวันที่ประสบความสำเร็จ รายได้ที่ต้องแบ่งกัน มีความชอบธรรมแค่ไหน เพื่อนฝูงเลิกคบกันมาเยอะแล้วเมื่อมาทำธุรกิจด้วยกัน

4. อย่ารีบจ้างพนักงาน แม้ว่าการมีทีมงานหรือบุคลากรจะเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ และหากธุรกิจเพิ่งเริ่มต้น เถ้าแก่เก่าหลายท่านมีคำเตือนมาว่า อะไรทำเองได้ทำเองก่อนเถิดพี่น้อง

5. อย่าเพิ่งลงทุนเช่าออฟฟิศสวยหรู ดูภูมิฐาน พร้อมอุปกรณ์ออฟฟิศทันสมัย เพื่อภาพลักษณ์อันทันสมัย บางคนบอกเป็นแบรนดิ้งของบริษัท อย่าลืมนะคะว่า สตีฟ จ็อบส์ ใช้โรงจอดรถที่บ้านเป็นออฟฟิศในวันที่เริ่มธุรกิจ

6. จดทะเบียนบริษัท คำขวัญมีอยู่ว่า จดทันทีภาษีมาทันใด ให้มั่นใจก่อนดีมั้ย ก่อนที่จะมีข้อผูกพันทางกฎหมาย

7. ซื้อสื่อ วางแผนโฆษณา โดยใช้งบประมาณเกินความจำเป็น ด้วยหวังว่าจะสร้างชื่อเสียงให้กับธุรกิจใหม่

8. คิดไปเองว่าเจ๋ง การมีแนวคิด หรือไอเดียที่ดี ไม่ได้รับประกันเลยว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จเสมอไป บางทีเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส ที่ต้องมีการวางแผนวางกลยุทธ์อย่างแยบคายประกอบด้วย

อย่างไรก็ดี กับดักเหล่านี้ เป็นเพียงแค่คำเตือนจากผู้หวังดี แต่หากคุณมีความมุ่งมั่น มีความฝัน มีไอเดีย เราก็ขอสนับสนุนให้คุณเริ่มลงมือทำ เพราะบางทีความกลัวเกินไป ระวังเกินไป ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุด

สู้ตายค่ะ พี่น้อง!!

เจ้าหนี้ที่รัก!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07022011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 384

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

เจ้าหนี้ที่รัก!!

สำหรับใครที่บังเอิญตกหลุมพรางพลัดหลง จะด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หน้ามืด หรือมีความจำเป็นในชีวิต และโดนลิขิตให้ไปเป็นลูกหนี้บัตรเครดิต บัตรสินเชื่อ บัตรต่างๆ ที่เคยหยิบยื่นให้เรายืมเงินไปใช้ก่อน งานนี้มีข่าวดีให้ใจชื้นขึ้นมาได้นิดหน่อย เมื่อทางรัฐบาลได้ออก พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้ทวงหนี้และหนีหนี้กันอยู่ในขอบเขต ในร่องในรอยทั้ง 2 ฝ่าย โดยเริ่มมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

เนื้อหาสาระสำคัญที่เจ้าหนี้-ลูกหนี้ควรทราบ ว่าเจ้าหนี้ต้องทวงหนี้อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ทวงหนี้แบบใดที่จะไม่เข้าข่ายคุกคามหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกหนี้ ขณะที่ตัวลูกหนี้เอง จะต้องปฏิบัติอย่างไร หากได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทวงหนี้ ถูกเจ้าหนี้จอมจิกสุดโหด ตามมาทวงเงินแบบถึงตัวในระยะประชั้นชิด หากถูกข่มขู่คุกคามจะต้องทำอย่างไร บางทีเจ้าหนี้ก็ใช้อุบายลูกไม้นานาชนิดแบบคิดไม่ถึงมาหลอกทวงหนี้ และหากการถูกปฏิบัติแบบใดที่ถือว่าไม่เป็นธรรม จงจำข้อกฎหมายเหล่านี้เอาไว้ จะได้ไม่ถูกเจ้าหนี้เอาเปรียบนะ พี่น้อง

1. ข้อห้ามปฏิบัติของผู้ทวงหนี้

– ข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายหรือทรัพย์สิน ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– พูดจาไม่สุภาพ ดูหมิ่น ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– เปิดเผยความเป็นหนี้ของลูกหนี้ให้คนอื่นได้รู้ ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– ทวงหนี้ผ่านไปรษณีย์ หรือโทรสาร โดยมีข้อความแสดงการทวงหนี้ชัดเจน ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– ระบุข้อความ เครื่องหมาย หรือชื่อทางธุรกิจของผู้ทวงถามหนี้บนซองจดหมาย ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

2. ห้ามทวงหนี้แบบหลอกให้เข้าใจผิด

– ส่งเอกสารทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำของศาล เช่น ส่งเอกสารที่มีตราครุฑมาให้ลูกหนี้ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– ทำให้เชื่อว่ามีการส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม (Notice) จากทนายความ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– ใช้เอกสารที่ทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าจะถูกดำเนินคดี หรือถูกยึดทรัพย์ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

– แอบอ้างว่าเป็นการทวงหนี้จากบริษัทข้อมูลเครดิตใดๆ ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

3. การทวงถามหนี้ไม่เป็นธรรม ห้ามปฏิบัติดังนี้

– เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ในอัตราเกินกว่าที่คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้กำหนด

– เสนอให้ลูกหนี้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้ตามเช็ค ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

4. คณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการทวงหนี้ของผู้ทวงถามหนี้ โดยหากลูกหนี้หรือคนอื่นๆ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือไม่เป็นไปตามกฎหมายจากผู้ทวงถามหนี้ สามารถร้องเรียนต่อคณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด

5. ให้ที่ทำการปกครอง หรือกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีอำนาจรับร้องเรียนการทวงหนี้ผิดกฎหมาย ติดตามพฤติกรรมของผู้ทวงถามหนี้

เมื่ออ่านดูแล้ว หากมีการทวงหนี้ในลักษณะดังกล่าวเบื้องต้น ก็สามารถร้องเรียนได้ แต่ข้อเท็จจริงที่หนีไม่พ้นคือ เมื่อมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้ ดังนั้นดีที่สุดคือ อย่าเป็นหนี้เลยละกัน…พี่น้อง

ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก และ ห้ามพลาด…กอช. !!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07040151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 383

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก และ ห้ามพลาด…กอช. !!

ขอเกาะกระแสหนังไทยเรื่อง ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ซึ่งเป็นการตีแผ่ชีวิตของคนทำงานอิสระ อาชีพในฝันตามจินตนาการของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการมีอิสระ ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ไม่ต้องการอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของบริษัทหรือองค์กรใดๆ

เรื่องย่อในหนังขอไม่พูดถึง เพราะไม่ใช่คอลัมน์วิจารณ์หนัง แต่จะขอหยิบยกประเด็นทางสังคมในหนังที่น่าเอามาขบคิด เช่น ค่าใช้จ่ายแพงสุดโหดในโรงพยาบาลเอกชน และคิวที่ยาวเหยียดในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะได้พบหมอ แต่ด้วยความที่อาชีพฟรีแลนซ์เป็นอาชีพที่อยู่นอกระบบประกันสังคม จึงต้องก้มหน้ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า

ท่ามกลางกระแส ฟรีแลนซ์ ฟีเวอร์ รัฐบาลก็ได้มี กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ออกมา

กองทุนการออมแห่งชาติ กอช. คืออะไร

กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เป็นกองทุนการออมเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออยู่นอกระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐ ได้ออมเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ โดยรัฐจะช่วยจ่ายสมทบให้ส่วนหนึ่ง เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีระบบการออมเพื่อการชราภาพที่ครอบคลุมภาคแรงงานทุกประเภทได้อย่างทั่วถึง ซึ่งยังมีแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่ได้รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพ และแรงงานเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความยากจนในวัยสูงอายุ เพราะไม่มีช่องทางให้เข้าถึงเครื่องมือการออมเงินในขณะที่อยู่ในวัยทำงาน ดังนั้น รัฐบาลจึงจัดตั้งกองทุนเพื่อเป็นช่องทางการออมขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบของบำนาญ อันเป็นการสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมในการดูแลจากภาครัฐ

ดูในรายละเอียดแล้ว นี่มันกองทุนสำหรับฟรีแลนซ์ชัดๆ คือ คนที่ไม่ได้ทำงานบริษัท ไม่ได้ส่งเงินให้ประกันสังคม/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่ได้ส่งเงินให้ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และที่น่าสนใจคือ รัฐบาลประกันผลตอบแทนขั้นต่ำให้ไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารใหญ่ นอกจากนั้น รัฐบาลยังช่วยสมทบเงินให้เพิ่มอีก

ประโยชน์จากการเข้าร่วม กอช.

สิ่งที่ผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติจะได้รับนั้น ก็คือ ผลตอบแทนจากการออม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ เงินสะสม เงินสมทบ และเงินผลประโยชน์ แต่ละส่วนคืออะไรกันบ้าง

1. เงินสะสม ก็คือ เงินที่สมาชิกออมเข้าสู่กองทุน ซึ่งมีเงื่อนไขว่าการออมเงินเข้าสู่กองทุนแต่ละครั้งจะต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาท และรวมแล้วทั้งปีจะออมเงินได้สูงสุดไม่เกิน 13,200 บาท ซึ่งจะแตกต่างจากการฝากประจำกับธนาคารพาณิชย์ตรงที่สมาชิกไม่จำเป็นต้องฝากเงินเท่าๆ กันทุกครั้ง และไม่ต้องฝากเงินทุกๆ เดือน ทำให้การออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาตินั้นมีความยืดหยุ่นกว่าการฝากประจำกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเงินสะสมนี้กองทุนจะนำไปบริหารด้วยการลงทุน และจะเกิดผลประโยชน์จากการลงทุนที่เรียกว่าเงินผลประโยชน์ของเงินสะสม เงินสะสมตรงนี้จะได้รับคืนในกรณีที่สมาชิกทุพพลภาพก่อนอายุ 60 ปี หรือลาออกจากกองทุน แต่ถ้าเป็นกรณีอื่นๆ เช่น อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์จะจ่ายเป็นเงินบำนาญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียชีวิต ซึ่งส่วนหนึ่งของเงินบำนาญจะมาจากเงินสะสม หรือกรณีที่สมาชิกเสียชีวิตก็จะได้รับเงินก้อนแก่ทายาทตามที่มีชื่อระบุไว้ก็จะมีเงินส่วนหนึ่งที่เป็นเงินสะสม

2. เงินสมทบ เงินส่วนนี้เป็นเงินที่รัฐบาลจ่ายสมทบให้ตามสัดส่วนของเงินสะสมในแต่ละงวด โดยจะจ่ายให้ในสิ้นเดือนถัดไป ซึ่งรัฐบาลจะสมทบให้ทุกเดือนที่มีการออมเงินเข้ากองทุน แต่ทั้งนี้ ก็มีกำหนดเพดานการสมทบเงินเอาไว้ตามเงื่อนไขอายุของสมาชิก ดังนี้ (มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี)

– สมาชิกอายุ 15-29 ปี รัฐบาลสมทบ 50 เปอร์เซ็นต์ ของเงินสะสม แต่ไม่เกิน 600 บาท/ปี

– สมาชิกอายุ 30-49 ปี รัฐบาลสมทบ 80 เปอร์เซ็นต์ ของเงินสะสม แต่ไม่เกิน 960 บาท/ปี

– สมาชิกอายุ 50 ปีขึ้นไป รัฐบาลสมทบ 100 เปอร์เซ็นต์ ของเงินสะสม แต่ไม่เกิน 1,200 บาท/ปี

3. เงินผลประโยชน์ เป็นเงินส่วนเพิ่มจากการที่กองทุนนำเงินสะสมที่เราออมเข้ากองทุน และเงินสมทบที่รัฐบาลจ่าย โดยนำเงิน 2 ส่วนนี้ไปลงทุนผ่านการมอบหมายให้สถาบันการเงินหรือนิติบุคคลซึ่งมีความเชี่ยวชาญดำเนินการแทน ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ซึ่งเมื่อลงทุนแล้วก็จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมาเรียกรวมๆ ว่า เงินผลประโยชน์ คล้ายๆ กับดอกเบี้ยหรือเงินปันผล แต่การออมกับกองทุนการออมแห่งชาตินี้รัฐบาลมีการรับประกันผลตอบแทนว่าจะไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ

หากสมาชิกอายุ 60 ปีบริบูรณ์ก็จะได้รับเงินบำนาญเรื่อยไปจนกระทั่งเสียชีวิต เงินบำนาญนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินผลประโยชน์ของเงินสะสมและเงินสมทบ แต่ถ้าหากสมาชิกทุพพลภาพก่อนอายุ 60 ปี นอกจากจะได้รับเงินสะสมทั้งหมดครั้งเดียวแล้ว ก็ยังได้รับเงินผลประโยชน์จากเงินสะสมในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วย ส่วนเงินสมทบและเงินผลประโยชน์จากเงินสมทบจะทยอยจ่ายในลักษณะเงินบำนาญหลังจากที่สมาชิกอายุครบ 60 ปีแล้ว การลาออกจากกองทุนสมาชิกจะได้รับเงินสะสมและเงินผลประโยชน์จากเงินสะสม แต่ไม่ได้เงินสมทบและเงินผลประโยชน์จากเงินสมทบ และเมื่อเสียชีวิตทายาทที่มีชื่อตามที่สมาชิกระบุจะได้รับเงินก้อนซึ่งรวมเงินผลประโยชน์เอาไว้แล้ว

บอกได้เลยงานนี้ ฟรีแลนซ์ ห้ามพลาด !! จะมาก จะน้อย อย่างน้อยก็มีหลักประกันในยามเกษียณนะ พี่น้อง

กับดักมนุษย์เงินเดือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07020011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 382

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

กับดักมนุษย์เงินเดือน

มนุษย์เงินเดือน น่าจะเป็นกลุ่มมนุษย์ที่มีจำนวนมากที่สุดในกลุ่มของคนที่อยู่ในวัยทำงาน พบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็แล้วแต่ ล้วนเป็นอาชีพที่ดูเหมือนว่าน่าจะมั่นคงสุดๆ เพราะมีรายได้ประจำ มีเงินให้ใช้ทุกสิ้นเดือน แถมเผลอๆ มีโบนัสให้อีกตอนสิ้นปี หากได้อยู่บริษัทดีๆ สวัสดิการต่างๆ เพียบพร้อม ทั้งประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ฯลฯ

แต่ความมั่นคงเหล่านี้แหละที่ทำให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนชะล่าใจ และติดกับดักระหว่างชีวิตการทำงาน กับดักที่ว่าคือ

1. ติดกับดักกับสังคมสร้างภาพ ในยุคที่ชีวิตติดโพสต์ มีอะไรก็ต้องแชร์ผ่านออนไลน์ให้โลกรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไปเที่ยวไหนก็ต้องโชว์ กินข้าวก็ต้องโพสต์ ซื้อเสื้อผ้า ทำหน้า ทำผม โพสต์หมด และเข้าใจไปเองว่าการนำตัวให้อยู่ในสถานที่ดีๆ Check in ในร้านอาหารที่หรูหราเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง เรามาถึงจุดที่มีธุรกิจการขายพวงมาลัยรถยนต์ เพื่อไว้ถ่ายรูปสร้างโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดีย ให้ตัวเองดูรวยว่าขับรถหรูราคาแพง เราซื้อกระเป๋าตามแบบที่ดาราฮอลลีวูดเขาถือกัน โดยลืมคิดไปว่ารายได้เราเท่ากันกับเขาหรือเปล่า เราสาละวนอยู่กับการสร้างภาพ เพื่อทำให้โปรไฟล์ตัวเองดูดี โดยที่การสร้างภาพเหล่านี้มีต้นทุน มีราคาที่เผลอๆ เกินกว่ารายได้ที่เรามี

2. คิดไปเองว่าความมั่นคงมีจริง คิดไปเองว่าบริษัทที่เราทำงานด้วยจะมั่นคงไปตราบเท่าอายุขัยของเราและลูกหลาน ดังนั้น จึงฝากอนาคตของตนเองไว้ที่บริษัททั้งหมด ฉันจะตายที่นี่!! ไม่ไปไหนแล้ว ติดกับดักความมั่นคง เลยไม่ได้พัฒนาความสามารถด้านอื่นไว้เลย เมื่อศักยภาพไม่ถูกพัฒนา ความสามารถจึงมีจำกัด บวกกับการติดนิสัยรักสบาย ถือคติที่ว่า ลำบากวันนี้สบายวันหน้า แต่ถ้าขี้เกียจวันนี้ สบายวันนี้เลย 555+ ก็เลยทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม วันใดฟ้าผ่าเปรี้ยง ต้องเปลี่ยนงาน ชีวิตก็จะอยู่ยากขึ้น เพราะปัจจุบันงานไม่ได้หาง่าย เมื่องานไม่มี รายได้ก็ไม่มา

3. เงินเดือนหมด ตั้งแต่ยังไม่กดออกมา เพราะได้ใช้จ่ายล่วงหน้าไปหมดแล้ว หักเงินกู้บ้าน กู้รถ กู้สหกรณ์ กู้บริษัท ตัดยอดเงินผ่อนบัตรเครดิต บัตรสินเชื่อทุกชนิด ดังนั้น เมื่อถึงสิ้นเดือน จึงไม่มีเงินเหลือให้ใช้จ่าย ใช้จ่ายในแต่ละเดือนด้วยการหมุนผ่านบัตรเครดิต ยอมเสียดอกเบี้ยแพงๆ

4. ลืมจัดสรรเงินออม เงินเดือนเพิ่มขึ้นทุกปี แต่เงินเก็บไม่เคยมีเข้าบัญชี ด้วยข้ออ้างสารพัน จริงๆ แล้วการออมเงินถือเป็นหนทางแห่งความมั่นคงที่สุดของมนุษย์เงินเดือน

หากใครอ่านดูแล้ว คิดว่าตัวเองยังอยู่ในวนเวียนอยู่ในกับดักเหล่านี้ ดิฉันมีคาถามาแนะนำ คาถาที่ว่าคือ ลด ละ เลิก

1. ลด หนี้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบ หรือในระบบ ค่อยๆ ปลดไปทีละก้อน เลือกก้อนที่เล็กที่สุดก่อน เพราะปลดง่ายสุด ลดหนี้เก่า ไม่สร้างหนี้ใหม่ เลิกซื้อของเงินผ่อน

2. ละ กิเลส แยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือการสร้างภาพ อะไรคือเนื้อแท้ ให้ความสำคัญกับเนื้อแท้ มุ่งพัฒนาความสามารถในการทำงาน มากกว่าการทำตัวเองให้ดูดีด้วยวัตถุราคาแพง

3. เลิก สบาย ออกจากพื้นที่ความสบาย (Comfort zone) บ้าง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม การไม่เสี่ยงอะไรเลยคือ เสี่ยงที่สุด ในชีวิตจริงไม่มีอะไรรับประกันหรอกว่าอะไรจะมั่นคงที่สุด โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ถ้ามัวแต่คิดว่าอยู่แบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้วนี่ เมื่อคลื่นลูกใหม่หรือเด็กใหม่ๆ ไฟแรงกว่า เข้ามาแทนที่ คุณก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือแย่ยิ่งกว่าคือ ถูกทิ้งไปเลย เลิกจ้าง ว่างั้น!

ออกจากกับดักกันเถอะนะ!! พี่น้อง

เอาที่สบายใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07043150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

เอาที่สบายใจ

บางทีป้าก็คิดนะ…ใครๆ ก็มักจะบอกว่าโลกกำลังขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่ Gen M, Gen Y, Gen Z เจเนอเรชั่นอะไร ก็แล้วแต่จะบัญญัติศัพท์กันมา ซึ่งมักจะหมายถึงคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบและเพิ่งเริ่มต้นทำงาน อายุอานามอยู่ที่ช่วง 20-30 ปี คนเหล่านี้จะเต็มไปด้วยพลัง ความฝัน ความหวัง และแรงบันดาลใจ พร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลก

ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจอย่างแท้จริง แล้วเขาจะเอา Gen XYZ แบบเราไปไว้ไหนกัน??? ฮา พร้อมเช็ดน้ำตาแพล็บ…โดยเฉพาะคนรุ่น (ที่) XYZ (กำลังดัง) ที่ทำงานเป็นลูกจ้างในองค์กร เมื่ออายุอานามย่างเข้าเลข 5 ขึ้นไป พวกลุงๆ ป้าๆ ก็ต้องเริ่มคิดนะว่า มีเงินออมสะสมไว้ไช้ ได้เท่าไหร่แล้ว?

แจ็ค หม่า นักธุรกิจชาวจีน เจ้าของ อาลีบาบา อีคอมเมิร์ซ ผู้กำลังโด่งดัง และเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลกไปแล้ว ซึ่งกว่าจะมาเป็นอภิมหาเศรษฐีนั้น ได้ล้มลุกคลุกคลานแบบชีวิตเปื้อนฝุ่นมาแล้ว เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับช่วงอายุของคนเรากับการทำงานไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งตรงนี้ต้องขออนุญาตขอบคุณใครก็ตาม ซึ่งหาต้นตอไม่เจอ ที่ได้ถอดความจากบทสัมภาษณ์แล้วโพสต์ส่งต่อกันในโซเซียลเน็ตเวิร์ก และป้าขอนำมาเล่าต่อให้ผู้อ่านเส้นทางเศรษฐีฟังดังนี้

แจ็ค หม่า บอกว่า “ช่วงก่อนอายุ 20 ปี ให้พยายามเป็นนักเรียนที่ดี และเมื่อเข้าสู่ช่วงทำธุรกิจก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ จากการทำงานและสร้างธุรกิจ ก่อนอายุ 30 ปี พยายามตามหรือมองหาใครบางคนเพื่อเอาเป็นแบบอย่าง (Idol) และให้เลือกเข้าไปทำงานในบริษัทเล็กๆ ซึ่งสำหรับบริษัทใหญ่ๆ นั้น เหมาะสำหรับการเรียนรู้ระบบต่างๆ เพราะคุณจะเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรอันใหญ่ แต่ถ้าคุณได้เข้าไปทำงานที่บริษัทเล็กๆ คุณจะได้เรียนรู้ถึงความน่าหลงใหล เรียนรู้กับความฝัน คุณจะได้เรียนรู้หลายๆ อย่างในการทำงานนี้ และก่อนอายุ 30 ปี มันไม่ใช่คุณจะเลือกว่าคุณจะไปทำที่ไหน แต่ควรจะเลือกเจ้านายคนไหนที่คุณควรที่จะตามเขาไปมากกว่า มันสำคัญมากเลยนะครับ เพราะเจ้านายที่ดีจะสอนสิ่งต่างๆ ให้กับคุณแตกต่างออกไป

ส่วนระหว่างอายุ 30 ปีถึง 40 ปีนั้น ต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่า คุณทำงาน เพื่อตัวคุณเอง ถ้าคุณจะเป็นนักธุรกิจก็เริ่มต้นซะช่วงนี้แหละ

เมื่ออายุ 40 ปี ถึง 50 ปี คุณต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณถนัดและเชี่ยวชาญ ไม่ต้องสลับเปลี่ยนงาน ไปเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ เพราะมันค่อนข้างสายไปด้วยโอกาสสำเร็จ ที่มันน้อยมากๆ และล้มเหลวนี่ เยอะมากๆ ซึ่งอายุ 40-50 ปีนั้น ควรคิดว่า คุณจะโฟกัสสิ่งที่คุณถนัดหรือเชี่ยวชาญอย่างไรจะดีกว่า

และเมื่อคุณอายุ 50-60 ปีแล้วนั้น ให้เด็กๆ ทำงานแทนคุณ เพราะว่าคนที่หนุ่มสาวกว่า ทำงานได้เก่งกว่า ไวกว่า และรวดเร็วกว่า จงเชื่อใจ จงไว้ใจพวกเขา ลงทุนให้พวกเขา แสดงสิ่งที่ดีๆ ให้แก่พวกเขา

และเมื่อคุณอายุ 60 ปี คุณควรใช้เวลาให้กับตัวเอง และควรที่จะไปนอนอาบแดด พักผ่อนนะ”

นั่นคือสิ่งที่แจ็ค หม่า แนะนำ ใครอยู่ในอายุช่วงไหน ก็พิจารณากันเอาตามความเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเชื่อเขานะจริงๆ เพราะเส้นทางชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลายคนอายุย่างเข้า 60 ปีแล้ว แต่ไม่สามารถเลิกทำงานได้ เพราะไม่มีเงินเก็บพอที่จะไปใช้ชีวิตแบบสุขสบายอย่างนั้น ยังคงต้องอดทนทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่ แบบนี้น่าเห็นใจ ซึ่งไม่อยากซ้ำเติมว่า เป็นเพราะไม่เห็นความสำคัญในการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ แต่ก็ยังมีคนวัยเกษียณอีกมาก ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ยังมีพลังแห่งความมุ่งมั่นในการทำงาน พลังงานยังล้น พลุ่งพล่าน ยังไม่อยากไปนอนอาบแดด พักผ่อน ก็จงสนุกกับการทำงานต่อไปเถอะ อะไรที่มีความสุขก็ทำไป

เอาที่สบายใจค่ะ พี่น้อง

เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07024010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380

ชักหน้า…ให้ถึงหลัง

ป้านะยะ Pranaya.n@ktc.co.th

เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

จุดที่ค่าห้องพักในโรงพยาบาลแพงกว่าค่าห้องพักในโรงแรม จุดที่น้ำดื่มแบบขวดในร้านอาหารถูกกำหนดราคาไว้แพงกว่าน้ำอัดลม จุดที่กาแฟบางร้านแก้วละร้อยกว่าบาท ในขณะที่เดินไปอีกไม่กี่ก้าวขายแก้วละ 20 บาท จุดที่อาหารบางมื้อแพงกว่าเงินเดือนของคนทำงานบางคนทั้งเดือน และที่น่าประหลาดใจคือ สินค้าหรือบริการที่ตั้งราคาแพงๆ แบบนี้ กลับขายได้และผู้บริโภคยอมรับ

อะไรคือกฎเกณฑ์ในการตั้งราคาของเจ้าของธุรกิจเหล่านี้?

ในการทำธุรกิจนอกจากจะต้องคิดให้ออกแล้วว่าจะขายอะไร ขายที่ไหน แล้วจะขายที่ราคาเท่าไหร่ เป็นกลยุทธ์สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องคำนึงถึง ซึ่งเป็นการตั้งราคา (Price) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของส่วนผสมการตลาดพื้นฐานของ 4 P”s (Product, Price, Place, Promotion)

การกำหนดราคา นั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ก่อให้เกิดรายได้ให้กับธุรกิจของเรา และนอกจากนี้ การตั้งราคาสินค้ายังถูกใช้เพื่อเป็นการบ่งบอกคุณภาพและคุณค่าของสินค้าไปในตัวได้อีกด้วย บ่อยครั้งที่เราเห็นสินค้าที่มีราคาสูง เราก็มักที่จะรับรู้ได้ด้วยตนเองไปก่อนว่า สินค้าแบรนด์นี้น่าจะมีคุณภาพที่ดีกว่าสินค้าที่มีราคาถูกกว่า หรือบางทีการตั้งราคาที่ต่ำจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกว่าคุณภาพคงไม่ดีจนไม่กล้าใช้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าของเรานั้นเหมาะสมกับราคาที่ตั้งไว้ กลยุทธ์การตั้งราคาสินค้าจึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจที่จะทำให้สินค้าและราคาสอดคล้องกันตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังเป็นการเชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาสนใจเลือกซื้ออีกด้วย

สิ่งสำคัญของการกำหนดราคาคือ 1. หาจุดคุ้มทุน เจ้าของธุรกิจต้องหาจุดคุ้มทุนให้เจอก่อน ภาษาบ้านๆ คือ “จุดเท่าทุน” โดยส่วนที่เลยจุดเท่าทุนคือ ผลกำไรที่ธุรกิจจะได้ พูดง่ายๆ รายได้ทั้งหมด-ต้นทุนทั้งหมด=จุดคุ้มทุน จุดคุ้มทุนที่ว่านี้ก็คือ ตัวเลขที่ต่ำที่สุดที่เราสามารถไปตั้งราคาขายได้โดยที่ไม่ขาดทุน ซึ่งถ้าเรายิ่งอยากได้ผลกำไรต่อสินค้า 1 ชิ้นมากขึ้นเท่าไรก็ต้องเพิ่มราคาขายให้มากกว่าจุดคุ้มทุนเท่านั้น

แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อการตั้งราคามีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างประกอบอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าใหม่ที่บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าสู่ตลาดด้วยราคาที่สูงตั้งแต่ต้นเพราะผู้คนจะไม่กล้าทดลองเสี่ยงกับราคาที่สูงเกินไปกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่พวกเขาเคยใช้ ทำให้เราอาจต้องเริ่มตั้งต้นที่ราคาไม่สูงมากนักหรือเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูก่อน จนกระทั่งพวกเขาเริ่มเกิดความจงรักภักดีกับแบรนด์และแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้วก็ค่อยเพิ่มมูลค่าของสินค้าและราคาตามเข้าไปในภายหลัง อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่าราคาสินค้านั้นนอกจากจะเป็นตัวกำหนดผลกำไรแล้ว ยังเป็นตัวช่วยกำหนดความรู้สึกรับรู้ของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าได้ด้วย

2. ตรวจสอบความต้องการของตลาดและผู้บริโภค การกำหนดราคานั้นมักเป็นไปตามกลไกของตลาดที่ว่า ถ้าสินค้านั้นมีความต้องการของผู้บริโภคสูงก็ย่อมกำหนดราคาสูงได้ตาม ในทางกลับกัน ถ้าหากสินค้านั้นไม่ค่อยเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากนัก อำนาจในการกำหนดราคาของเราก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้น ราคาของสินค้าอาจต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวขึ้นลงได้ตามตลาดอยู่เสมอ โดยในบางครั้งเมื่อเราไม่สามารถปรับลดราคาลงมาได้เพราะกลัวเสียแบรนด์ก็อาจใช้การจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้า หรือแจกของแถมมากขึ้นทดแทนจนกว่าสินค้านั้นจะเป็นที่ต้องการของตลาดอีกครั้งก็ได้

3. ดูคู่แข่ง นอกจาก 2 ปัจจัยข้างต้นแล้วเรายังต้องคำนึงถึงราคาสินค้าของคู่แข่งเพิ่มเข้าไปด้วย เนื่องจากราคาสินค้าของคู่แข่งมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าค่อนข้างมาก ลองคิดดูว่าหากมีสินค้าที่มีคุณภาพและทำจากวัตถุดิบที่มีความใกล้เคียงกัน แต่ทว่ามีเจ้าหนึ่งราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด ลูกค้าก็มักจะเลือกสินค้าชิ้นที่ถูกกว่าเพราะคุณภาพต่างกันไม่มาก แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าวิธีแก้ปัญหาจะเป็นการตัดราคาตนเองลงมาเสมอไป เพราะสิ่งสำคัญคือ การศึกษาคู่แข่ง รู้เขารู้เราแล้วค่อยนำมาวิเคราะห์ว่าจะตั้งราคาอย่างไร จะทำให้สินค้าดูมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อตั้งราคาสูงขึ้น หรือหาวิธีลดต้นทุนเพื่อใช้ราคามาแข่ง

การตั้งราคาขายเป็นกลยุทธ์ที่ต้องให้ความสำคัญ เป็นกระบวนท่าที่ต้องออกแบบ แต่สูงสุดของกระบวนท่าคือ ไร้กระบวนท่า 555…ไม่ได้พูดให้ขำ ดิฉันได้เคยมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จ มีสาขาหลายร้อยสาขาทั่วประเทศ ท่านจะเป็นผู้กำหนดราคาอาหารแต่ละเมนูเอง แล้วไม่ต้องใช้โมเดลทางการเงิน (Feasibility) มาคำนวณให้ปวดหัว ถามท่านว่าท่านใช้กลยุทธ์อะไร ท่านบอกใช้เซนส์ (Sense) เดาๆ กะๆ เอาว่าจานนี้ต้องขายเท่าไหร่ เงิบบบบ!!! มั้ยคะ? และท่านยังไม่สนใจด้วยนะคะว่าคู่แข่งจะขายเท่าไหร่ ฉันจะขายของฉันเท่านี้แหละ แต่ดิฉันเลยได้ข้อสรุปว่า ท่านใช้ ความเก๋า หรือประสบการณ์ในวงการนั่นเอง

คำเตือน! ไม่เก๋าพอ ทำไม่ได้นะคะพี่น้อง