ตะลอนเที่ยว : เพราะเธอไม่ใช่แค่สัตว์ แต่คือเพื่อนร่วมโลกของเรา

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/735049

ตะลอนเที่ยว : เพราะเธอไม่ใช่แค่สัตว์ แต่คือเพื่อนร่วมโลกของเรา

ตะลอนเที่ยว : เพราะเธอไม่ใช่แค่สัตว์ แต่คือเพื่อนร่วมโลกของเรา

วันอาทิตย์ ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

โครงการทำหมัน ตรวจสุขภาพสัตว์ และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้บรรดาหมาแมวและสัตว์เลี้ยงทั้งที่มีเจ้าของและจรจัด ซึ่งทำโครงการโดยความร่วมมือระหว่างคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์แนวหน้า และชุมชนต่างๆ ที่ร่วมมือทำโครงการด้วยกัน เป็นหนึ่งในโครงการที่คณะผู้จัดทำขอเล่าความในใจให้คุณผู้อ่านทราบว่า ทำแล้วมีความสุขมากที่สุดโครงการหนึ่ง 

โครงการนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 14 ปีที่แล้ว โดยออกทริปแรกไปให้บริการที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน หลังจากได้ประสานงานกันระหว่างชุมชนชาวปาย คณะสัตวแพทย์ จุฬาฯ หนังสือพิมพ์แนวหน้าและผู้บริหารสายการบินนกแอร์ (ยุคนายพาทีสารสิน เป็นผู้บริหารสูงสุด) โดยได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ SCG (บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด)

ช่วงแรกๆ ของการทำโครงการจึงใช้ชื่อว่า สัตวแพทย์ จุฬาฯ ติดปีก by นกแอร์ในยุคที่นกแอร์ให้ความร่วมมือกับโครงการ ทำให้เราสามารถเดินทางไปให้บริการในพื้นที่ห่างไกลได้ค่อนข้างสะดวก เพราะในหนึ่งปีนั้น นกแอร์ให้ที่นั่งสำหรับคณะทำงาน 30-35 ที่ต่อการทำงานหนึ่งครั้ง ปีหนึ่งให้สี่ทริป เพราะฉะนั้นในช่วงระยะการทำงานปีที่หนึ่งถึงปีที่ 5 ของการทำงานจึงทำให้เดินทางไปให้บริการได้ถึงเชียงใหม่ อุดรธานี เป็นต้น 

แต่เมื่อเปลี่ยนคณะผู้บริหารสายการบินนกแอร์ การเดินทางไปให้บริการชุมชนที่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วย เพราะคณะทำงานมีเวลาในการออกไปให้บริการค่อนข้างจำกัด ตามปกติจะออกไปให้บริการ 3 วัน 2 คืน ดังนั้นหากต้องเดินทางด้วยรถยนต์จากกรุงเทพฯไปให้บริการที่เชียงใหม่ หรือแม่ฮ่องสอน ก็ไม่สามารถทำงานได้สำเร็จเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 3 วัน เนื่องจากต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับแล้ว 2 วัน เพราะฉะนั้น โครงการจึงให้บริการได้เฉพาะในจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯเกิน 200 กิโลเมตร 

นั่นคือประวัติความเป็นมาของโครงการบริการชุมชนโดยคณะทำงานของเรา แม้วันนี้เราก็ยังคงให้บริการชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำหมันหมาแมวจรจัด รวมถึงมีเจ้าของ เพราะเรายังเชื่อมั่นว่า การลดจำนวนประชากรสัตว์จรจัดในกลุ่มหมาแมวที่ดีที่สุดคือการทำหมัน 

ล่าสุดคณะทำงานได้ไปให้บริการทำหมันหมาแมว และฉีควัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมตรวจสุขภาพสัตว์ให้ชาวบ้านในเขตเทศบาลอ่างศิลา ชลบุรี โดยออกหน่วยเมื่อวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2566 

การออกหน่วยให้บริการที่เขตเทศบาลอ่างศิลานั้นเป็นโครงการต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2565 ในหนึ่งปีให้บริการสองครั้ง แต่ละครั้งจะมีหมาแมวและสัตว์เลี้ยงไปรับบริการจากคณะทำงานโดยเฉลี่ย 150 ตัว โดยเทศบาลอ่างศิลาประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านนำสัตว์เลี้ยง รวมถึงสัตว์จรจัดที่สามารถนำไปรับบริการได้ไปทำหมัน และฉีควัคซีน พร้อมตรวจสุขภาพ

ในแต่ละครั้งที่คณะทำงานออกให้บริการชุมชน ก็จะได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากคนในชุมชน หลายคนบอกว่าหากไม่มีบริการนี้ก็อาจจะไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปทำหมันได้เนื่องจากต้องจ่ายค่าทำหมันหมาแมวเองหลายคนบอกว่าไม่มีเงินมากพอที่จะนำสัตว์ไปรับบริการตามคลินิก แต่เมื่อมีโครงการนี้ก็ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินด้วยตัวเอง เพราะบางบ้านมีหมาแมวหลายตัว โดยสัตว์เหล่านั้นมาขออาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน เมื่อเลี้ยงดูแล้วก็ผูกพัน แต่ก็ไม่มีเงินมากพอจะนำสัตว์ไปทำหมันได้ดังนั้นเมื่อมีโครงการนี้เกิดขึ้นจึงมีความยินดีที่จะนำสัตว์มารับการทำหมันและตรวจสุขภาพ

สิ่งหนึ่งที่คณะทำงานได้รับทราบจากชาวบ้านผู้มีใจรักสัตว์คือ สัตว์เหล่านี้มาขอพึ่ง ขอที่อยู่ ขออาหารกิน เมื่อเลี้ยงแล้วก็ผูกพัน ไม่สามารถทิ้งได้ เวลาเจ็บป่วยก็พยายามรักษาไปตามความสามารถ และบอกด้วยว่า สัตว์ทั้งหลายก็คือ เพื่อนร่วมโลกของเรา โลกใบนี้ไม่ได้เป็นของคนเท่านั้น เพราะยังมีสัตว์อื่นๆ ร่วมเป็นเจ้าของด้วย ดังนั้นหากใครก็ตามที่ไม่คิดจะเลี้ยงดูเขาแล้ว ก็ขออย่าได้ทำร้ายเขาเลยไม่รักเขา ก็อย่าทำร้ายเขา ไม่ให้เขากิน ก็ไม่ต้องเอาน้ำร้อนไปสาดไล่เขา เขาไม่มีที่พึ่งเขาจึงต้องมาพึ่งเรา ขอให้เมตตาเขาด้วยเถิด เพราะเขาคือเพื่อนร่วมโลกของเรา

สำหรับทริปหน้า คณะทำงานจะไปให้บริการทำหมัน ฉีดวัคซีน และตรวจสุขภาพสัตว์ที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยจะออกทริปในเดือนกรกฎาคม สนใจร่วมสนับสนุนโครงการเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ กรุณาติดต่อหนังสือพิมพ์แนวหน้า หมายเลข 091-7233615 

หมายเหตุ โครงการนี้ไม่ใช่การนำนิสิตไปฝึกงาน แต่คือการออกให้บริการสังคมโดยคณาจารย์ และสัตวแพทย์ จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตะลอนเที่ยว : สรชังหรือสีชัง แหล่งสถานแห่งความรักอันใหญ่ยิ่ง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/733519

ตะลอนเที่ยว : สรชังหรือสีชัง แหล่งสถานแห่งความรักอันใหญ่ยิ่ง

ตะลอนเที่ยว : สรชังหรือสีชัง แหล่งสถานแห่งความรักอันใหญ่ยิ่ง

วันอาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 Mr.Flower เพิ่งพาสมาชิก 45 คน นั่งเรือจากปากน้ำสมุทรปราการไปเที่ยวเกาะสีชัง หลายคนเบิกบานชื่นมื่น แต่บางคนก็เมาเรือเมาคลื่นจนยืนแทบไม่อยู่

การนั่งเรือจากปากน้ำไปถึงเกาะสีชังเป็นเรื่องใหม่สุดวิเศษสำหรับคนที่นั่งเรือนานๆ แล้วไม่มีอาการเมาเรือ เพราะได้เห็นบ้านเมืองจากเขตปากน้ำ แล้วก็ได้เห็นสภาพของท้องทะเลในเขตอ่าวไทย ได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ ได้เห็นเรือสินค้านานาชนิดทั้งใหญ่และน้อยลอยล่องในท้องนที หลายคนเพลิดเพลินกับการนั่งโต้ลมบนเรือที่โต้ไปบนคลื่นขนาดเล็กๆ 

เราใช้เวลาแล่นเรือประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า(เกือบ 4 ชั่วโมง) ก็เดินทางถึงเกาะสีชัง ระหว่างอยู่บนเรือก็พูดคุยสรวลเสเฮฮาประสาทะกันสารพัดเรื่องราว ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ สังคม การบ้านการเมือง ศิลปวัฒนธรรม บทเพลงต่างๆ ทั้งไทยและเทศ รวมถึงพูดคุยถึงแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ แล้วนำเรื่องอาหารการกินสารพัดสารพันมาเล่าสู่กันฟัง 

ครั้งแรกตั้งใจไว้ว่าเมื่อเรือออกจากฝั่งได้สัก 1 ชั่วโมง หลังจากสมาชิกได้รับประทานอาหารเช้า ขนมนมเนย ของกินประดามีจนอิ่มหนำสำราญเบิกบานอุราแล้ว ก็จะชวนกันรำวง ฟ้อนรำ และเริงระบำบนเรือ แต่ปรากฏว่าเรือเกิดอาการโคลงเคลงพอประมาณ ยามต้องโต้ลมและคลื่น ก็เลยจำต้องงดการเริงระบำรำฟ้อน เพราะเกรงว่าหากมีผู้ใดพลาดพลั้งเสียหลัก หกคะเมนตีลังกาขึ้นมา จะเกิดความโกลาหลในบัดดล ก็เลยใช้การเปิดเพลง แล้วเล่าเรื่องต่างๆ ผสมผสานกันไป 

นั่งฟังเพลง ฟังเรื่องราวที่ชวนคุยสารพัดเรื่อง สมาชิกก็กินกันไปตลอดทาง จนเรือไปถึงเกาะสีชัง ก็พาไปกินข้าวเที่ยง (แต่มีบทเรียนเรื่องกินข้าวเที่ยงบนเกาะสีชัง เพราะแต่ละคนสั่งคนละแบบ เมื่อสั่งกันมากมายเช่นนี้ ก็ทำให้ต้องเสียเวลารออาหารจานเฉพาะของแต่ละคนเป็นเวลานานมาก แต่ก็ดีตรงที่ว่าได้กินของที่อยากกินจริงๆ แต่ปัญหาคือมันก็กินเวลาเที่ยวไปด้วย)  

กินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปชมพระจุฑาธุชราชฐาน (พระราชวังเกาะสีชัง) ไปตำหนักหรือเรือนที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น เรือนวัฒนาเรือนเสาวภา เรือนอภิรมย์ แล้วก็ไปชมเรือนเขียวแล้วก็พาสมาชิกที่ยังมีแรงเดินไปชมวัดอัษฎางคนิมิตรวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น วัดนี้มีความพิเศษคือมีพระอุโบสถเล็กกะทัดรัดพระอุโบสถมีหลังคาคือพระเจดีย์สีขาว เป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา

และเมื่อใครก็ตามที่ไปถึงพระจุฑาธุชราชฐาน ก็ต้องไปชักภาพกับสะพานอัษฎางค์ ด้วยกันทุกคน เพราะเป็นจุดที่เด่นที่สุดของพระราชฐาน เป็นสะพานทอดยาวลงไปในทะเล ศิลปะการก่อสร้างแบบหลังคาปั้นหยา มีแนวรั้วกันคนตกน้ำแบบโปร่งๆ ทั้งหมดทาด้วยสีขาว จึงตัดกับสีครามของน้ำทะเลได้อย่างงดงาม

หลายคนสงสัยว่าทำไมจึงพระราชทานนามว่า พระจุฑาธุชราชฐาน ตอบว่า เพราะเกาะสีชังคือสถานที่ประสูติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย 

กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย เคยทรงรับราชการเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ระยะเวลาหนึ่ง

เกาะสีชังคือเกาะเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีพระที่นั่ง และพระตำหนักก่อสร้าง ด้วยเหตุที่เกาะอยู่ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากจนเกินไปนัก จึงทรงเลือกเกาะนี้
เป็นสถานที่ใช้สำหรับทรงพักฟื้นพระวรกายหลังจากทรงหายอาการพระประชวร 

(ขอบคุณภาพสวยๆ จากสมาชิกร่วมทริปสีชัง)

ตะลอนเที่ยว : จิตรกรรมฝาผนัง วัดพระแก้ว

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/732006

ตะลอนเที่ยว : จิตรกรรมฝาผนัง วัดพระแก้ว

ตะลอนเที่ยว : จิตรกรรมฝาผนัง วัดพระแก้ว

วันอาทิตย์ ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

ขอสารภาพตามตรงว่า ทุกครั้งเมื่อมีเวลาว่าง Mr.Flower จะไปวัดพระแก้ว(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) เพราะไปทุกครั้งก็ได้พบกับความชื่นบานสราญใจทุกครั้ง เนื่องจากอิ่มอกอิ่มใจมากมายจนเกินบรรยายกับความวิจิตรบรรจงของโบราณสถานและพุทธสถานแห่งนี้ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็จะพบกับความงดงาม ความอลังการ แล้วทำให้เกิดความภาคภูมิใจกับการที่ได้เกิดเป็นคนไทย ภาคภูมิใจกับการมีบรรพบุรุษที่สร้างสรรค์ของดีของงามให้กับบ้านเมืองของเรา

ทุกครั้งเมื่อไปวัดพระแก้ว สิ่งที่ต้องกระทำอันดับแรกคือ เข้าไปกราบนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) แล้วสิ่งที่ต้องทำตามมาทุกครั้งคือ ไปชมจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียงคด ทุกครั้งที่ได้ชมก็ตื่นเต้นกับเรื่องราวของมหากาพย์ รามเกียรติ์ ตื่นเต้นไปกับตัวละครต่างๆ โดยเฉพาะหนุมาน ทหารเอกของพระราม แล้วก็มีความสุขเมื่อได้เห็นภาพแห่งจินตนาการของจิตรกรผู้รังสรรค์ภาพอันแสนงดงาม บ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างชัดเจน และแสนสมบูรณ์

คุณทราบแล้วใช่ไหมว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พระระเบียงคดนั้น เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลกของเรา ปฐมบทของภาพจิตรกรรมนี้เกิดขึ้นในครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เนื้อหาและภาพจิตรกรรมฝาผนังนำมาจากบทพระราชนิพนธ์ รามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ 1 เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางภาพที่เป็นบทพระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ 2 บ้าง

ภาพจิตรกรรมฝาผนังมีทั้งหมด 178 ห้องภาพ โดยห้องภาพแรกอยู่ที่ด้านหน้าพระวิหารยอด แล้วห้องภาพต่อไปจะอยู่ด้านขวา เวียนไปตามทักษิณาวรรต

ห้องภาพแรกคือพระชนกฤๅษีทำพิธีบวงสรวงไถ แล้วได้นางสีดา ส่วนห้องภาพสุดท้ายคือเรื่องพระพรต พระสัตรุด พระมงกุฎ และพระลบ กลับมาเข้าเฝ้าพระรามที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเล่าเรื่องการทำศึก และเรื่องที่ท้าวไกยเกษผู้สูงวัยปรารภขอฝากผีฝากไข้ให้พระรามทราบ พระรามจึงสั่งให้พระพรต พระสัตรุดกลับไปครองกรุงไกยเกษ แล้วปูนบำเหน็จให้โดยทั่วหน้าส่วนพระรามก็ปกครองกรุงศรีอยุธยาให้ไพร่ฟ้าอยู่เย็นเป็นสุขสืบมา

อยากชวนคุณๆ ไปชมภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วยกัน และหากเป็นไปได้แล้ว อยากให้คุณๆ ชวนลูกหลานที่ยังเป็นเด็กไปชมด้วย เพราะนอกจากจะปลูกฝังให้ลูกหลานของคุณได้ซึมซับกับความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ยังทำให้ได้เรียนรู้เรื่องรามเกียรติ์ และได้ภาคภูมิใจกับการเกิดเป็นคนไทย

เริ่มพาลูกหลานของคุณไปชมจิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้ว แล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ของรามเกียรติ์ให้เขาฟัง พร้อมกับปลูกฝังให้เขารักการอ่านรามเกียรติ์ไปทีละน้อย รับรองว่าลูกหลานของคุณจะรักและหวงแหนสมบัติของชาติไทย และเขาจะภาคภูมิใจที่เขาเกิดเป็นคนไทย และรักประเทศไทย

ตะลอนเที่ยว : หนังใหญ่ วัดขนอน ราชบุรี

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/730570

ตะลอนเที่ยว : หนังใหญ่ วัดขนอน ราชบุรี

ตะลอนเที่ยว : หนังใหญ่ วัดขนอน ราชบุรี

วันอาทิตย์ ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

รากของต้นไม้ ทำให้ต้นไม้ยืนต้น ดำรงอยู่ได้ ฉันใด ก็ฉันนั้น รากเหง้าของสังคมช่วยให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างยืนนานและมั่นคง สังคมใดไร้ราก สังคมนั้นผุกร่อนพังทลายได้โดยง่าย

ยิ่งโลกเปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็วมากขึ้นเท่าไร รากเหง้าของสังคมก็ยิ่งจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น เพราะช่วยทำให้คนในสังคมนั้นๆ ดำรงและดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง

รากเหง้าทางวัฒนธรรมด้านการแสดงอย่างหนึ่งของสังคมไทยคือหนังใหญ่วัดขนอน ราชบุรี ศิลปะแสดงแขนงนี้เกือบสูญสลายไปจากสังคมไทยแล้ว แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทำให้หนังใหญ่ วัดขนอน กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หนังใหญ่ วัดขนอน กลับมาโลดแล่นดำเนินไปอย่างมีสีสันและมีชีวิตชีวา เพราะว่าสังคมไทยยังตระหนักว่าสิ่งนี้มีคุณค่า และมีความสำคัญ ดังนั้น จึงมีผู้เข้าไปช่วยสนับสนุนให้หนังใหญ่ยังมีลมหายใจทางด้านศิลปะการแสดง แต่ที่น่าภาคภูมิใจเป็นที่สุดคือ มีเด็กน้อยอายุ 10 ขวบกลุ่มหนึ่งเข้าไปมีส่วนร่วมรักษามรดกชิ้นนี้ของชาติไทยไว้ เด็กกลุ่มนี้คือเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดขนอน ที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านเจ้าอาวาสวัดขนอน (พระครูพิทักษ์ศิลปาคม) ทำให้ทุกวันนี้เรายังสามารถไปชมการแสดงหนังใหญ่ วัดขนอนได้ทุกสัปดาห์ แม้บางสัปดาห์จะมีคนชมน้อยมากจนทำให้หวั่นใจว่า สุดท้ายแล้วหนังใหญ่ วัดขนอน จะยังมีลมหายใจไปได้อีกนานสักแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราก็ต้องช่วยกันเพื่อให้หนังใหญ่ดำเนินต่อไปให้จงได้

นอกจากการแสดงหนังใหญ่แล้ว ที่วัดขนอนยังมีพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ให้ชมด้วย เรื่องนี้มีรากเหง้ามาจากหลวงปู่กล่อมอดีตเจ้าอาวาสวัดขนอน เมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว ปัจจุบันตัวหนังใหญ่โบราณหลายตัวถูกจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ของวัด(ตัวหนังใหญ่รุ่นโบราณมีทั้งหมด 330 ตัว แต่บางตัวอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก)

ขอย้ำว่า หนังใหญ่คือการแสดงที่ถือได้ว่าเป็นศิลปะชั้นสูงชนิดหนึ่งของไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ศิลปะชั้นสูงนี้ก็ถูกทอดทิ้ง จนมาในยุคที่ ศ.พ.ต. (หญิง) ผะอบ โปษกฤษณะ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เข้าไปทำวิจัยและพยายามฟื้นศิลปะนี้ไว้ แต่ทั้งหมดก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนนำเรื่องกราบบังคมทูลให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบเมื่อปี 2532 หนังใหญ่ วัดขนอน จึงได้รับการชุบชูชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

หนังใหญ่มีความสำคัญตรงที่เป็นการรวมสรรพศาสตร์ไว้ด้วยกัน อาทิ หัตถศิลป์ ดุริยางคศิลป์ วรรณศิลป์ และยังผสมผสานความเชื่อด้านพิธีกรรมไว้ในการแสดงอีกด้วย เพราะมีการไหว้ครูก่อนแสดง

ในสมัยโบราณนั้น การแสดงหนังใหญ่ถือเป็นการแสดงชั้นสูง จะมีการแสดงในงานสำคัญที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น เนื่องจากเมื่อจัดแสดงทั่วไปแล้ว คนส่วนมากไม่ให้ความนิยม ดังนั้นจึงต้องได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก จึงพบการแสดงหนังใหญ่ในงานพระราชพิธี แต่สำหรับหนังใหญ่ วัดขนอนเป็นหนังใหญ่แบบราษฎรที่มีอยู่เพียงไม่กี่ที่ในสังคมไทย

Mr.Flower ขอเชิญชวนคุณๆ ร่วมกันสนับสนุนให้หนังใหญ่ วัดขนอน มีลมหายใจยาวนานต่อไป ด้วยการชวนคุณไปดูการแสดงหนังใหญ่ และร่วมบริจาคเพื่อรักษาศิลปะการแสดงแขนงนี้ไว้

เราจะจัดทริปชวนคุณๆ ไปชมหนังใหญ่ วัดขนอน วันที่ 28 พฤษภาคม 2566 และเที่ยวชมเมืองราชบุรี หากคุณสนใจร่วมทริปไปกับเรา กรุณาติดต่อที่ 091-7233615 งานนี้รับสมาชิก 45 รายเท่านั้น เพื่อให้เต็มจำนวนรถบัสปรับอากาศหนึ่งคัน

เชิญชวนคุณผู้รักและหวงแหนศิลปะการแสดงชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของไทยร่วมทริปด้วยกันครับ เราทุกคนมีส่วนร่วมรักษาและสืบสานศิลปะสำคัญของชาติไทยไว้ เรารู้ว่าคุณรักและหวงแหนศิลปะของไทย เรามาร่วมรักษาด้วยกันนะครับ

(ขอบคุณภาพประกอบคอลัมน์จากผู้ร่วมทริปราชบุรีเมื่อเดือนเมษายน 2566)

ตะลอนเที่ยว : 1 ศตวรรษ วันสิ้นพระชนม์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/729008

ตะลอนเที่ยว : 1 ศตวรรษ วันสิ้นพระชนม์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ตะลอนเที่ยว : 1 ศตวรรษ วันสิ้นพระชนม์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

วันอาทิตย์ ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นต้นราชสกุลอาภากร

ทรงเป็นพระราชโอรส องค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาโหมด

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ทรงวางรากฐานการบริหารกิจการกองทัพเรือสมัยใหม่ โดยทรงนำเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ มาจากประเทศตะวันตกโดยเสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ แล้วเมื่อเสด็จกลับประเทศสยาม ทรงนำวิทยาการทหารเรือสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เข้ากับกองทัพเรือสยาม หรือไทยในเวลาต่อมา ทรงได้รับการยกย่องเป็นพระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย ต่อมาเปลี่ยนเป็นองค์บิดาแห่งทหารเรือไทย

ทรงเป็นพระอาจารย์สอนนักเรียนนายเรือ โดยทรงปรับปรุงวิชาต่างๆ ในโรงเรียนนายเรือ อาทิ ดาราศาสตร์ อุทกศาสตร์ พีชคณิต ตรีโกณมิติ และการเดินเรือ ทรงโปรดให้นักเรียนนายเรือ และทหารเรือขานพระนามพระองค์ว่า เสด็จเตี่ย เพื่อให้ทรงเห็นว่าทหารเรือกับพระองค์มีความใกล้ชิดกันดุจพ่อกับลูก

เมื่อพระองค์ทรงว่างเว้นจากพระภารกิจของกองทัพเรือก็ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากตำรับยาไทยสมัยโบราณ และทรงรักษาอาการป่วยให้ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดค่ารักษา จึงได้รับการขานพระนามว่า หมอพร

พระองค์ทรงมีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 สิ้นพระชนม์วันที่ 19 พฤษภาคม 2466 วันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ท่านถูกเรียกขานว่าวันอาภากร 

ในโอกาสครบรอบ 100 ปี แห่งวันสิ้นพระชนม์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มูลนิธิราชสกุลอาภากร ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้มูลนิธิฯ จัดสร้างเหรียญที่ระลึก วาระครบรอบ 100 ปีวันสิ้นพระชนม์ โดยเหรียญออกแบบและผลิตจากกองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ โดยผลิตเหรียญทองคำเพื่อระลึกถึงงานพระราชทานเพลิง พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 24 ธันวาคม 2466 โดยจัดสร้างเหรียญเนื้อโลหะ 4 ชนิด คือ

เนื้อทองคำ 96.5 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนัก 19 กรัม จำนวน 100 เหรียญ (ปัจจุบันเหรียญชนิดนี้มีผู้จองเช่าบูชาไปทั้งหมดแล้ว)

เนื้อเงินรมดำพ่นทราย จำนวน 2566 เหรียญ เหรียญละ 3 พันบาท 

เนื้อทองแดงรมดำพ่นทราย เหรียญละ 500 บาท 

เนื้อทองแดง เหรียญละ 300 บาท

โดยเหรียญทั้งหมดจะถูกนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดราชบพิตรฯ  ดังนั้น ขอเชิญชวนผู้ที่รัก เคารพ ศรัทธาในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โปรดติดต่อขอเช่าบูชาได้โดยตรงที่มูลนิธิราชสกุลอาภากร โทรศัพท์ 02-4682696 และ 096-954895 และสามารถติดต่อสอบถามเพื่อข้อทราบรายละเอียดวัตถุมงคลต่างๆ ที่มูลนิธิฯสร้างขึ้นเพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการสาธารณกุศลอื่นๆทั่วประเทศ ในนามของมูลนิธิราชสกุลอาภากร

ตะลอนเที่ยว : แม้ไม่ใช่ญาติ แต่คือเพื่อนร่วมโลก

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/727597

ตะลอนเที่ยว : แม้ไม่ใช่ญาติ แต่คือเพื่อนร่วมโลก

ตะลอนเที่ยว : แม้ไม่ใช่ญาติ แต่คือเพื่อนร่วมโลก

วันอาทิตย์ ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

การสงเคราะห์เพื่อนร่วมโลก เป็นกิจที่มนุษย์พึงกระทำ เมื่อสามารถทำได้ เพราะการสงเคราะห์กันและกัน ช่วยทำให้สังคมของเรามีความรัก สามัคคี และมีความสุขใจ 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก และผู้ให้ย่อมมีความสุขใจ ส่วนผู้รับก็จะมีความยินดี และตื้นตันใจที่รับรู้ว่าโลกนี้ยังมีความเอื้ออารี มีการแบ่งปันให้กันและกัน 

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2566 สมาชิกกลุ่มหนึ่งได้ไปร่วมกิจกรรมเลี้ยงอาหาร และมอบสิ่งของให้คนชรา สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางเขน (ถนนวิภาวดีรังสิต ซอยวิภาวดี 64) โดยสมาชิก ได้แก่ ผู้อ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้า และผู้ฟังรายการ Good Time (สถานีวิทยุจุฬาฯ FM 101.5และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 95.5) 

กลุ่มของเราไปเลี้ยงอาหารและมอบสิ่งของให้คนชรา เด็กนักเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร รวมถึงถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์สามเณร และนำอาหารไปเลี้ยงสัตว์ในสถานสงเคราะห์สัตว์ต่างๆ เป็นประจำ โดยไปทำกิจกรรมดังกล่าวเกือบทุกเดือน และทุกครั้งที่เราร่วมทำกิจกรรมก็ได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากมวลหมู่สมาชิก ทั้งบริจาคเงินบริจาคสิ่งของ และที่สำคัญคือไปร่วมกิจกรรมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา 

กิจกรรมล่าสุดเมื่อ 22 เมษายน คือการนำข้าวหมูแดงจากร้านดังร้านอร่อยไปเลี้ยงคนชรา ตามคำเรียกร้องของคนชราที่บอกเราว่าอยากกินข้าวหมูแดงอร่อยๆ นอกจากข้าวหมูแดงแล้ว คณะของเรายังผัดไทยกุ้งสด โดยผัดสดๆ ใหม่ๆ ร้อนๆ จากเตาให้รับประทานอีกด้วย แล้วก็ยังมีคนใจดีนำแฮมเบอร์เกอร์ แซนด์วิช ทำใหม่ๆ สดๆ พร้อมเครื่องดื่มสารพัดชนิด และบัวลอยงาดำน้ำขิง ไปเลี้ยงทั้งคนชราจำนวน 45 คนและเจ้าหน้าที่ของสถานสงเคราะห์ทุกคน 

นอกจากเลี้ยงอาหารอร่อยๆ แล้ว ยังมอบของใช้ ของกินอื่นๆ อาทิ หมูหยอง กะหรี่ปั๊บแป้งเย็นทาตัว ข้าวซ้อมมือจากสุรินทร์ กระดาษชำระ แปรงสีฟัน ยาอมแก้ไอ ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขนมปังกรอบ และคุกกี้ รวมถึงเงินขวัญถุงสำหรับคนชรา รายละ 400 บาท และยังมีผู้ใจกุศลไปวัดสายตา ตัดแว่นให้กับคนชราและเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังมอบรองเท้าแตะให้อีกคนละคู่

แต่ที่สุดแสนสนุกสนานคือ งานนี้มีดนตรีสดๆ บรรเลงโดยพิณอีสาน จากน้องใบพลู นักเรียนโรงเรียนราชินีบน ทำให้ลุงๆ ตาๆ และเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์ครื้นเครง คึกคัก ออกมาฟ้อนมาเซิ้งกันแบบ Nonstop 

บรรยากาศของงานในวันนั้น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และคำชื่นชมจากผู้เฒ่าผู้แก่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ ทุกคนบอกตรงกันว่า ขอบคุณที่นำอาหาร และขนม เครื่องดื่ม รวมถึงของใช้อื่นๆ มาเลี้ยง และมามอบให้ เจ้าหน้าที่บอกว่า คณะของเราพิเศษมากตรงที่เลี้ยงดูเจ้าหน้าที่โดยไม่เลือกเลี้ยงดูเฉพาะคนชรา ทำให้เจ้าหน้าที่ได้อิ่มเอมกับอาหารของเรา ซึ่งเราก็ตอบไปว่า เราต้องดูแลเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะเจ้าหน้าที่คือคนสำคัญที่ช่วยดูแลคนชราให้มีความสุข เราต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เสียสละทำงานเพื่อคนชรา

ก่อนงานเลี้ยงจะเลิกรา คนชราบอกเราว่า มีความสุขมาก และอิ่มอร่อยกับอาหารแสนวิเศษในมื้อนี้ พร้อมบอกว่าครั้งหน้าขอรับประทานน้ำพริกกะปิ ผักลวกสารพัดชนิด พร้อมปลาทูทอด ไข่เจียวฟูๆ และแกงจืดเต้าหู้ขาวใส่ผักกาดขาวและหมูสับ

พวกเรารับปากคนชราโดยพลัน แล้วบอกว่าอีกสองเดือนข้างหน้าเรามาพบกันอีกขอให้ลุงๆ ทั้งหลายเตรียมท่าเต้นรำสนุกสนานรอพวกเราได้เลย

ส่วนเดือนพฤษภาคม (น่าจะสัปดาห์หลังเลือกตั้ง สส.) เราจะไปเลี้ยงอาหาร และมอบสิ่งของให้เด็กตาบอดและพิการซ้ำซ้อนที่สถานสงเคราะห์ซึ่งตั้งอยู่บนถนนนวลจันทร์ รามอินทรา 

คุณๆ ที่สนใจร่วมกิจกรรมกับพวกเรา ขอเรียนเชิญครับ คุณสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Mr.Flower091-7233615 

เรามาร่วมทำกิจกรรมดีๆ เพื่อความผาสุกของสังคม และเพื่อความสุขใจของเราทุกคน เราคิดเสมอว่า การแบ่งปันเป็นเรื่องดีเราเอื้อเฟื้อทั้งมนุษย์ และสัตว์ต่างๆ เพราะเราตระหนักว่าเขาทั้งหลายคือเพื่อนร่วมโลกของเรา

ตะลอนเที่ยว : ล่องนาวาไปพระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/726028

ตะลอนเที่ยว : ล่องนาวาไปพระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง

ตะลอนเที่ยว : ล่องนาวาไปพระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง

วันอาทิตย์ ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือ จะชังใคร

ขอแต่แม่ดวงใจ อย่าชังชิง พี่จริงจัง

คุณเคยไปเกาะสีชังหรือไม่ครับ ถ้าเคยไป ไปครั้งสุดท้ายเมื่อกี่ปีมาแล้ว แต่หากยังไม่เคยไป ก็ขอเชิญชวนคุณไปเที่ยวเกาะสีชังด้วยกันครับ

20 พฤษภาคม 2566 เราจะไปเที่ยวเกาะสีชังด้วยกัน ทริปนี้เราจะล่องเรือจากปากน้ำ สมุทรปราการ แล้วแล่นเรือตรงดิ่งไปยังเกาะสีชัง 

จุดแรกเมื่อไปถึงเกาะสีชัง เราจะพาคุณไปชื่นชมความงดงามของพระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังฤดูร้อนที่ตั้งอยู่บนเกาะ ต้องบอกว่าเป็นพระราชวังแห่งเดียวที่ตั้งอยู่บนเกาะในอาณาบริเวณของประเทศไทย

พระจุฑาธุชราชฐาน คือพระราชฐานที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในอดีตนั้น เกาะสีชังเคยใช้เป็นที่ประทับเพื่อรักษาพระวรกายของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ รวมถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ

ครั้นต่อมา พ.ศ. 2435 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชฐานบนเกาะสีชัง เนื่องจากพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระวรราชเทวี ทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรส พระนามว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก จึงพระราชทานนามพระราชฐานว่า พระจุฑาธุชราชฐาน แต่เดิมนั้น พระราชฐานแห่งนี้มีพระที่นั่งต่างๆ ดังนี้ พระที่นั่งโกสีย์วสุภัณฑ์ มันธาตุรัตนโรจน์ โชติรสประภาต์ และเมขลามณี และพระตำหนักอีก 14 องค์  

แต่ในปี พ.ศ. 2436 ได้เกิดเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสส่งกองกำลังมาปิดล้อมปากอ่าวไทย และส่งกองทหารขึ้นไปบนเกาะสีชัง จึงทรงสั่งให้ยุติการก่อสร้างพระที่นั่ง และพระตำหนักต่างๆ ลงโดยพลัน เมื่อเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ผ่านพ้นไป พระราชฐานแห่งนี้ก็มิได้ถูกใช้เป็นที่ประทับอีกต่อไป 

ปัจจุบัน ยังมีพระตำหนัก หรือเรือนหลงเหลืออยู่ เช่น เรือนวัฒนา เรือนผ่องศรี เรือนอภิรมย์ และเรือนเขียว พร้อมทั้งยังมีพระอุโบสถวัดอัษฎางค์นิมิตร และสะพานอัษฎางค์รวมถึงยังมีบ่อและสระน้ำต่างๆ กว่า 10 แห่ง ที่ทรงให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งก่อสร้างพระราชฐาน

นอกจากเที่ยวชมพระจุฑาธุชราชฐานแล้ว ยังพาคุณไปศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ชมชุมชนและบ้านเรือน ชมตลาดเกาะสีชัง และไปชมช่องเขาขาด พร้อมรับประทานอาหารกลางวันบนเกาะสีชัง

กำหนดการท่องเที่ยวคร่าวๆ มีดังนี้ เรือออกจากท่าปากน้ำ สมุทรปราการ 07.30 น. รับประทานอาหารเช้า ของว่าง น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่ม ขนม นมเนย ผลไม้ต่างๆ บนเรือ ถึงเกาะสีชัง 10.00-10.30 น.แล้วพาคุณท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง พร้อมรับประทานอาหารเที่ยง ส่วนขากลับ เรือจะแล่นออกจากเกาะสีชัง เวลา 16.30 น. รับประทานอาหารเย็นบนเรือ พร้อมชมพระอาทิตย์ลับตา โดยเรือจะถึงท่าปากน้ำ เวลาประมาณ 18.30 น. 

สนใจร่วมทริปนี้ โปรดติดต่อMr.Flower เบอร์โทร 091-7233615 รับสมาชิก 40 คน ล่าสุดยังรับได้อีก 9 ที่ 

แล้วพบกันในทริปแสนหรรษาล่องนาวาชมเกาะสีชัง 20 พฤษภาคม 2566

ตะลอนเที่ยว : แอ่วน่าน ม่วนใจ๋

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/724527

ตะลอนเที่ยว : แอ่วน่าน ม่วนใจ๋

ตะลอนเที่ยว : แอ่วน่าน ม่วนใจ๋

วันอาทิตย์ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

เมืองน่าน ยังคงติดอันดับต้นๆ ของแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่ถวิลหาความสุขแบบเรียบง่าย ไม่ต้องมีแสงสีเสียงมากมายจนรกหูรกตา

น่านมีภาพในความทรงจำของผู้คนคือเป็นเรื่องเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของไทย เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แบบล้านนาผสมล้านช้าง เป็นเมืองพี่เมืองน้องของหลวงพระบาง

แค่การได้ไปท่องเที่ยวในตัวเมืองน่าน ก็จะได้สัมผัสกับโบราณสถาน และพุทธสถานมากมาย อาทิ คุ้มเจ้าเมืองน่านซึ่งปัจจุบันคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดน่าน วัดภูมินทร์วัดพระธาตุแช่แห้ง วัดพระธาตุเขาน้อย วัดพระธาตุช้างค้ำ วัดมิ่งเมือง วัดศรีพันต้น วัดสวนตาล และหากออกไปที่อำเภอท่าวังผา ก็ต้องไปที่วัดหนองบัว ชุมชนของชาวไทลื้อที่เลื่องลือผ้าทอลายน้ำไหลที่แสนงดงามยิ่ง

แล้วถ้าหากไปน่านเพื่อได้สัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติก็มีมากมายสุดพรรณนา เช่น บ่อเกลือ น้ำตกสะปัน วังศิลาแลงอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ดอยเสมอดาว และอีกสารพัดดอย

แต่วันนี้ Mr.Flower นำภาพสถานที่ท่องเที่ยวเฉพาะในตัวเมืองน่าน รวมถึงภาพของการแต่งกายของชาวพื้นเมืองน่านมานำเสนอ อันที่จริงในน่านมีชนชาติพันธ์ุต่างๆ มากมาย อาทิ ไทกาว ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทพวน ไทใหญ่ ส่วนผู้ที่อยู่ในเขตที่สูงได้แก่ ลัวะ ก่อ ม้ง เมี่ยน ขมุ และมลาบรี

หลายคนอาจจะถามว่า แล้วไปเที่ยวน่านในช่วงนี้จะไม่เผชิญกับปัญหา PM2.5 ขั้นสาหัสหรือ ตอบว่า ต้องเผชิญปัญหานี้แน่นอน แต่เราจะยังไม่ไปเที่ยวช่วงนี้ เพราะจะไปช่วงต้นฤดูฝนเพราะจะได้ชื่นชมกับสภาพเริ่มเขียวขจีของบ้านเมืองและป่าดงพงไพร

Mr.Flower ตั้งใจจะชวนคุณๆ ไปแอ่วน่าน ในช่วงปลายฤดูร้อนปีนี้ พอเข้าสู่ต้นฤดูฝนเราไปเที่ยวน่านกันนะครับ

สนใจร่วมทริปที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความเป็นกันเอง รวมถึงมิตรภาพที่แสนอบอุ่นในกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ จำนวน 14-16 คน โปรดติดต่อ Mr.Flower หนังสือพิมพ์แนวหน้า 091-7233615 ครับ

ตะลอนเที่ยว : อยุธยา ยังเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/723097

ตะลอนเที่ยว : อยุธยา ยังเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง

ตะลอนเที่ยว : อยุธยา ยังเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง

วันอาทิตย์ ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

มีคำถามว่า คุณไปเที่ยวอยุธยามาแล้วกี่ครั้ง แล้วแต่ละครั้งไปเที่ยวที่ไหนบ้าง

คุณเชื่อไหม ว่าหลายคนตอบว่าไปอยุธยามาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน ไปไหว้พระมาแล้วหลายครั้ง ไปกินกุ้งเผาหมดไปแล้วรวมๆ หลายสิบกิโลกรัม ไปซื้อโรตีสายไหมมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน 

แต่เมื่อเจอคำถามว่า แล้วเคยไปไหว้พระวัดหน้าพระเมรุราชิการาม หรือวัดหน้าพระเมรุมาแล้วหรือยัง บางคนถามกลับว่า อยู่ตรงไหน ไม่รู้จัก อยู่ห่างจากอยุธยาไกลมากไหม 

เมื่อได้ทราบคำตอบว่า วัดหน้าพระเมรุอยู่ติดกับบริเวณท้ายวังเก่ากรุงศรีอยุธยา ห่างเพียงไม่กี่ร้อยเมตร มีแค่คลองสายหนึ่งกั้นระหว่างวัดกับกำแพงวังเท่านั้น เมื่อได้ทราบคำตอบแบบนี้ ทุกคนที่ไปอยุธยาบ่อยๆ แต่ไม่เคยไปวัดหน้าพระเมรุถึงกับเกาหัว แล้วถามว่าจริงหรือ แล้วถามต่อไปว่า วัดนี้มีอะไรดีหรือ ทำไมต้องไป

เมื่อได้รับคำตอบว่า วัดหน้าพระเมรุคือสถานที่ตั้งของทัพหลวงของพระเจ้ามังระแห่งพม่า เมื่อครั้งทรงยกทัพมารบกับกรุงศรีอยุธยา ครั้นเมื่อมีชัยเหนือกรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็มิได้เผาทำลายวัดหน้าพระเมรุเนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นสถานที่ตั้งทัพหลวง ดังนั้นวัดแห่งนี้จึงถือได้ว่ายังมีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง

ส่วนอีกสถานที่หนึ่งซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากนักท่องเที่ยวว่า ไม่เคยไปดูเลยก็คือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาคำตอบเพิ่มเติมที่มักจะได้รับก็คือ ไม่มีเวลาไป และไม่รู้ว่าภายในพิพิธภัณฑ์ฯ มีของสวยของงามที่ควรชม

ถ้าเช่นนั้น วันนี้ Mr.Flower ขอพาคุณไปเที่ยวชมวัดหน้าพระเมรุ และพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา ด้วยกันครับ

วัดหน้าพระเมรุราชิการาม เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตั้งอยู่ริมคลองสระบัว (แม่น้ำลพบุรีเดิม) วัดนี้ได้รับการยอมรับว่ามีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก ส่วนหน้าบันไม้สักทำเป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณอยู่เหนือนาค ส่วนเท้าของสุบรรณเหยียบบนหัวยักษ์ แล้วล้อมรอบด้วยเทพชุมนุม ส่วนพระประธานมีพระนามว่าพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช ส่วนด้านข้าง (ขวามือ) พระอุโบสถมีวิหารน้อย เป็นที่ประดิษฐานพระคันธารราฐ พุทธศิลปะสมัยทวารวดี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดแล้วเชิญพระคันธารราฐจากวัดมหาธาตุไปไว้ที่วัดหน้าพระเมรุ พระคันธารราฐองค์นี้ทำจากหินสีเขียว ปางประทับนั่งห้อยพระบาท เป็นพระพุทธรูปปางประทับนั่ง จำนวน 1 ใน 5 องค์ที่ค้นพบในประเทศไทย

ส่วนอีกที่หนึ่งคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ณ ที่แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาโบราณวัตถุล้ำค่ามากมาย แต่ที่ตั้งใจพาคุณๆ ไปชมคือเครื่องทองจากกรุวัดราชบูรณะโดยศิลปวัตถุที่นำมาจัดแสดงนี้ เป็นแค่เพียง 1 ส่วนใน 10 ส่วนที่เรียกคืนมาได้จากกลุ่มผู้โจรกรรมขุดกรุวัดราชบูรณะ เมื่อ 66 ปีก่อน 

ศิลปวัตถุทั้งหมดทำจากทองคำแล้วประดับตกแต่งด้วยอัญมณีต่างๆ แบ่งเป็นศิลปวัตถุจำพวกเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และเครื่องยศต่างๆ พระแสงขรรค์
ชัยศรี และเครื่องต้นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ และยังมีศิลปวัตถุที่ทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 

ความน่าสนใจอีกประการของพิพิธภัณฑ์ฯแห่งนี้คือได้จำลองกรุของพระปรางค์วัดราชบูรณะมาจัดแสดง เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจว่ากรุพระปรางค์วัดราชบูรณะแบ่งเป็นสามส่วนชั้นที่ 1 บรรจุพระพุทธรูปและพระพิมพ์ต่างๆ ชั้นที่ 2 บรรจุเครื่องทอง (ชั้นนี้คือส่วนที่ถูกโจรกรรมเมื่อ 66 ปีก่อน) และชั้นที่ 3 ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ โดยพระบรมสารีริกธาตุถูกบรรจุไว้ในครอบที่ทำจากโลหะต่างๆ ถึงเจ็ดชั้น คือ เหล็ก ชิน สำริด (สัมฤทธิ์) เงิน ทองคำ แก้วผลึก และผอบทองคำ

เขียนมาถึงตรงนี้ Mr.Flower มั่นใจว่าคุณผู้อ่านคอลัมน์นี้คงสนใจไปชมความงามของวัดหน้าพระเมรุฯ และพิพิธภัณฑ์ฯเจ้าสามพระยา และคงต้องการไปเที่ยวชมดูความงามในมุมต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยา อดีตราชธานีของไทย 

หากคุณสนใจร่วมทริปพิเศษไปกับ Mr.Flower เพื่อชมความงดงามวิจิตรตระการตาของพระนครศรีอยุธยาในมุมต่างๆ โปรดติดต่อ 091-7233615 เราท่องเที่ยวแบบเจาะลึกด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม โดยเน้นการเที่ยวแบบกลุ่มเล็กๆ รับสมาชิกไม่เกิน 20 คน

ตะลอนเที่ยว : ความสุขที่หัวลำโพง

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/721425

ตะลอนเที่ยว : ความสุขที่หัวลำโพง

ตะลอนเที่ยว : ความสุขที่หัวลำโพง

วันอาทิตย์ ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2566, 06.00 น.

หัวลำโพงคือสถานีรถไฟเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยที่ยังคงมีชีวิตชีวาแม้วันนี้หัวลำโพงจะไม่ได้ให้บริการผู้โดยสารรถไฟสายยาวๆ เหมือนเช่นในอดีต แต่หัวลำโพงยังคงมีประวัติศาสตร์ที่มีลมหายใจ

ใครที่ได้ไปร่วมสนุกสุขใจในงาน Unfolding Hua Lam Phong (คลี่ขยายหัวลำโพง) ซึ่งจัดเมื่อ 18-26 มีนาคม 2566 ต้องยอมรับตรงกันว่า หัวลำโพงมีเสน่ห์มากจริงๆ เพราะเมื่อคลี่ขยายหัวลำโพงให้เห็นในมุมต่างๆ แล้ว ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า นอกจากจะเป็นโบราณสถานที่มีความงดงามตามแบบของตะวันตกที่มีอายุนับศตวรรษแล้ว สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนผสมเรอเนสซองส์  แล้วยังผสมผสานความงดงามแบบไทยไว้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเรื่องราวอันเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสยามประเทศในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ด้วยการนำระบบขนส่งทางรางจากตะวันตกเข้ามาพัฒนาประเทศ

หัวลำโพงในอดีตนับได้ว่าเป็นย่านธุรกิจสำคัญแห่งหนึ่ง เพราะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญของประเทศ และเป็นสถานที่หรูหราอันดับต้นๆ ของสยาม เพราะมีโรงแรมสุดหรูของยุคสมัยนั้นตั้งอยู่ คือโรงแรมราชธานี เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ที่คาดว่าเป็นฝีมือการออกแบบของสถาปนิกชาวอิตาเลียน ชื่อ มาริโอตามัญโญ ผู้ออกแบบสถานีรถไฟกรุงเทพ

ในช่วงยามค่ำที่จัดงาน Unfolding Hua Lam Phong นั้น หัวลำโพงเจิดจรัสด้วยแสงสีที่สวยงามของไฟประดับ แถมยังมีดนตรีหลากหลายสไตล์ขับกล่อม แต่มีคืนหนึ่งที่หัวลำโพงคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะในคืนนั้นมีคนสูงอายุกลุ่มใหญ่รวมตัวกันไปลีลาศแบบ Ballrom Danceกับวงดนตรีสุนทราภรณ์ หลายคนที่ไปร่วมงานบอกว่าเมื่อมางานนี้แล้วทำให้คิดถึงหัวลำโพงมากขึ้น แล้วเรียกร้องให้จัดงานลีลาศในหัวลำโพงอีก 

อันที่จริงขอบอกว่า Mr.Flowerพาคุณผู้อ่านแนวหน้ากลุ่มเล็กๆ ไปเดินเที่ยวชมความงามของหัวลำโพงมาโดยตลอด พร้อมๆ กับพาเดินเที่ยวตรอกซอกซอยต่างๆ ของกรุงเทพฯในช่วงบ่ายถึงค่ำของวันเสาร์ หลายคนบอกว่า แม้จะเคยเข้าไปใช้บริการของหัวลำโพงเป็นประจำเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ไม่เคยซึมซับความงามวิจิตรของหัวลำโพงเลย เนื่องจากเร่งรีบตลอดเวลาเมื่อไปใช้บริการ แต่เมื่อได้กลับมาชมความงดงามของหัวลำโพงแล้ว ทำให้ต้องบอกกับตัวเองว่าใกล้เกลือกินด่าง มาโดยตลอด 

วันหน้าเราจะไปเที่ยวชมความงามวิจิตรของหัวลำโพง และเดินเที่ยวชุมชมรอบๆ หัวลำโพง รวมถึงย่านตลาดน้อยด้วยกันครับ

สนในร่วมทริปเดินท่องกรุงเทพฯกับ Mr.Flower เพื่อสัมผัสความงามของพระนครที่ซ่อนอยู่ โปรดติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ 091-7233615 ขอบอกว่า หากคุณได้สัมผัสความงามของกรุงเทพฯแล้ว คุณจะรักกรุงเทพฯมากกว่าเดิม