#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/likesara/713462

สกู๊ปแนวหน้า : มุมมองพรรคการเมือง สวัสดิการ‘ลูกจ้างงานบ้าน’
วันเสาร์ ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566, 06.00 น.
บรรยากาศการเมืองไทยช่วงนี้ต้องบอกว่าคึกคัก “นับถอยหลังสู่การเลือกตั้งใหญ่” หลังสภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 23 มี.ค. 2566 (รวมถึงอาจมีการยุบสภาก่อนหน้านั้น)ช่วงนี้ก็จะเห็นนักการเมืองพบปะประชาชนทั้งในระดับพื้นที่และการรับฟังเสียงสะท้อนจากคนกลุ่มต่างๆ ดังที่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) เวทีสาธารณะ “นโยบายขายประกันสังคม มาตรา 33 ให้ครอบคลุมลูกจ้างทำงานบ้าน” เรียกร้องให้ฝ่ายการเมืองผลักดัน “ลูกจ้างทำงานบ้าน” (หรือที่คนไทยคุ้นเคยกับคำเรียก “แจ๋ว”, “แม่บ้าน”, “คนรับใช้”) เข้าสู่ระบบประกันสังคม ม.33 ซึ่งก็มี 5 พรรคการเมืองส่งตัวแทนร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า คือเรื่องของ “เศรษฐกิจกิ๊ก (Gig Economy)” มาจาก
คำว่า “กิ๊กกะไบต์ (Gigabyte)” หมายถึงเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการทำงานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น คนขี่มอเตอร์ไซค์รับ-ส่งอาหารที่รับงานผ่านแอปพลิเคชั่น ที่ผ่านมามีการเรียกร้องกันจนบริษัทแพลตฟอร์มเริ่มปรับตัว อาทิ มีการทำประกัน มีการให้กู้เงิน แต่ไม่ต้องการไปไล่บี้ด้วยการใช้กฎหมายบังคับ เพราะจะทำให้ความเป็นอาชีพอิสระ (Freelance) หายไป
ขณะที่ลูกจ้างทำงานบ้าน ที่พรรคเองก็มีการพูดคุยกัน ตนเสนอให้เป็น “ประกันสังคมมาตรา 40+” ซึ่งเป็นไปได้มากกว่าการผลักดันเข้ามาตรา 33 ที่จะต้องสู้กับคนอีกนับล้านครัวเรือน เพราะหากครัวเรือนนายจ้างแจ้งไม่ตรงก็จะมีโทษจำคุกและปรับ โดย ม.40+ จะมีสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างทำงานบ้านควรได้รับ เช่น คลอดบุตร บำนาญ ทุพพลภาพ ฯลฯ อย่างที่ ม.33 ได้รับ โดยให้ลูกจ้างทำงานบ้านลงทะเบียนผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ระบุชื่อนายจ้าง จากนั้นนายจ้างยืนยันว่าได้จ้างลูกจ้างทำงานบ้านคนดังกล่าวจริง ซึ่งปกตินายจ้างก็สมัครใจจะเปิดเผยอยู่แล้ว
“ผมนำเสนอว่าเป็นมาตรา 40+ แล้วอะไรที่มันขาดหายไปจาก ม.33 ใส่เข้าไปให้หมด แล้วนายจ้างเป็นผู้รับรองด้วย ถ้าท่านปรับแบบนี้มันเกิดอาการที่เรียกว่า Quick Win (สำเร็จได้เร็ว) คือชัยชนะอันสั้นในสิ่งที่เราจะได้ ถ้าเราสู้ไป ม.33แล้วก็บังคับ สิ่งที่เราต้องชนคือนายจ้างมหาศาลอยู่ในบ้าน อย่าลืมนะครับสังคมไทยเราเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ปี 2564 คนแก่ต้องจ้างแม่บ้านอยู่ที่บ้านดูแล ท่านจะให้เขามีภาระที่ต้องไปแจ้ง แล้วถ้าไม่แจ้งคือเขาติดคุก อายุก็ไม่พอติดแล้ว ผมไม่อยากบังคับเพราะถ้าบังคับผมชนตอ แต่ผมจะเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน” อรรถวิชช์ กล่าว
รฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์ หัวหน้าพรรคเสมอภาค กล่าวว่า สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ในยุคที่ยังเป็นกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ช่วงปี 2544 สามารถผลักดันให้นายจ้างที่มีลูกจ้าง 1-9 คน เข้าระบบประกันสังคมได้สำเร็จ ในเวลานั้นก็มีเสียงคัดค้านจากรัฐมนตรีว่าการ แต่ด้วยการยืนหยัดจึงผลักดันให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบจนนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ดังนั้นลูกจ้างทำงานบ้านก็เช่นกัน การผลักดันเข้า ม.33 ทำได้แน่นอน ทั้งหมดอยู่ที่รัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดนโยบาย แล้วข้าราชการในส่วนของประกันสังคมจะดำเนินการต่อเอง
ทั้งนี้ ฝั่งนายจ้างได้ยินแล้วอาจกลัว ซึ่งก็เหมือนกับช่วงที่ผลักดันเรื่องลูกจ้าง 1-9 คนเข้าประกันสังคม ก็มีแรงต้านจากกลุ่มนายจ้างเช่นกัน ด้วยความกังวลว่าจะเป็นภาระ แต่เมื่อทำไปแล้วกลายเป็นการลดภาระให้นายจ้างด้วย เพราะอย่าลืมว่าหากลูกจ้างเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ การเข้าระบบประกันสังคม จะมีเงินช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน แทนที่นายจ้างจะต้องช่วยจ่ายเงินค่ารักษาจำนวนมาก
“ดิฉันขอเมตตานายจ้างทุกท่านแทนลูกจ้างทุกคนด้วย ทั้งคนไทยและต่างด้าว ให้เขาได้มีความมั่นคง มีความปลอดภัย ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายทุกฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน มองเขาเป็นคนตัดคำว่าจ้างออก ให้เหลือคำว่าลูก ทำได้ไหมนายจ้างทั้งหลาย?”หัวหน้าพรรคเสมอภาค กล่าว
วันวิภา ไม้สน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ลูกจ้างทำงานบ้าน มีกฎกระทรวง 7 ข้อ รับรองลักษณะการทำงานไม่ต่างจากคนทำงานในโรงงาน เช่น วันหยุด วันลา ฯลฯ เพียงแต่ติดบทบัญญัติในกฤษฎีกา ทำให้ไม่สามารถเข้าประกันสังคม ม.33ได้ ทั้งที่ลูกจ้างทำงานบ้านมีนายจ้างชัดเจน ดังนั้นพรรคก้าวไกลยินดีจะแก้กฎหมายที่มีปัญหานี้
ขณะเดียวกัน “ประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบถึงกว่า 20 ล้านคน” เช่น เกษตรกร แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หาบเร่แผงลอย ฯลฯ พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบาย “ประกันสังคมถ้วนหน้า” ยกระดับสิทธิประโยชน์ของประกันสังคม ม.40 ซึ่งเป็นระบบสำหรับอาชีพอิสระ มีหลักว่า “รัฐสมทบเป็นส่วนใหญ่ และหากใครมีรายได้ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำก็ให้รัฐสมทบทั้งหมด” เพื่อให้มีค่าเดินทางไปโรงพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย หรือค่าชดเชยเมื่อเกิดเหตุที่ทำให้ไม่ได้ทำงาน ซึ่งรวมถึงเมื่อลูกจ้างตั้งครรภ์แล้วต้องลาคลอด
“อย่าลืมว่าแรงงานคนหนึ่งเวลาเขาหยุดลาป่วย ไม่ได้ว่าหยุดแล้วมีค่าชดเชยอย่างเดียว เขาต้องเสียรายได้ของวันนั้นไปเลยทั้งวัน แถมจะเสียค่าเดินทางไปหาหมอด้วย เราก็เลยคิดว่าควรมีนโยบายประกันสังคมถ้วนหน้าที่จะมารองรับตรงนี้แล้วประเทศไทยถ้าเราได้นโยบายตรงนี้ก็จะไม่มีแรงงานนอกระบบอีกต่อไป เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรมหรือทำอาชีพอะไรต่างๆ ก็จะอยู่ในระบบมากขึ้น” วันวิภา กล่าว
สาวิทย์ แก้วหวาน หัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทยกล่าวว่า อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ 189เรื่องของงานที่มีคุณค่าสำหรับคนทำงานบ้าน ตนเป็นคนหนึ่งที่ร่วมผลักดัน โดยเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประชุมที่สำนักงานใหญ่ ILO เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ภายในประเทศกลับยังไม่รับรองอนุสัญญาดังกล่าว ดังนั้นเรื่องการผลักดันประกันสังคม พรรคการเมืองสำคัญก็ส่วนหนึ่งแต่อีกส่วนก็คือแรงงานด้วยกันเอง
ซึ่งจากประสบการณ์ที่ร่วมต่อสู้กับขบวนการแรงงานมาหลายสิบปี “นักการเมืองแรกๆ ก็ออกมาพบปะผู้ใช้แรงงาน แต่เมื่อเข้าสภาไปแล้วอย่าไปคาดหวัง” โดยอีกด้านหนึ่ง ตนก็อยู่กับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) ที่เพิ่งมียุทธศาสตร์แรงงานกับการต่อสู้ทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า แม้จะมีตัวแทนเครือข่ายแรงงานเข้าไปอยู่ในพรรคการเมือง แต่ด้วยจำนวนที่น้อยย่อมไม่อาจสู้มติใหญ่ของพรรคได้ จึงทำอะไรไม่ได้เลย ท้ายที่สุดจึงนำมาสู่การตั้งพรรคการเมืองเสียเอง คือพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ซึ่งตนเป็นหัวหน้าพรรครุ่นที่ 3
“นโยบายของพรรคเขียนขึ้นจากปัญหาของขบวนการแรงงาน เรื่องประกันสังคมนั้นพรรคเขียนเรื่องการปฏิรูปประกันสังคม พูดทุกเรื่อง ประกันสังคมถ้วนหน้าทุกคน ทำไมเราต้องแยกแรงงานนอกระบบ-ในระบบ ทั้งๆ ที่เราเป็นคนทำงานด้วยกัน มันไม่มีเส้นแบ่ง มันต้องไม่มีอะไรที่เป็นข้อจำกัดสำหรับสิทธิ อุดมการณ์ของพรรคเขียนไว้ชัด คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียมและความเป็นธรรม และต้องมีมาตรการ มาตรฐานคุ้มครองทางสังคมอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยหรือแรงงานข้ามชาติ” สาวิทย์ กล่าว
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาพรรคพยายามรวบรวมเสียงจากแรงงานกลุ่มต่างๆเพื่อมาออกแบบนโยบายร่วมกัน ซึ่งลูกจ้างทำงานบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ความที่เป็นทางแรงงานนอกระบบและแรงงานหญิงนั้น กลายเป็นความเปราะบาง ทั้งการไม่ได้รับสวัสดิการ รวมถึงปัญหาความปลอดภัยในการทำงาน สำหรับพรรคไทยสร้างไทยมีนโยบายที่เรียกว่า “2 แก้-3 สร้าง” โดย 2 แก้ นั้นคือ 1.กฎกระทรวงฉบับที่ 14 ที่เป็นปัญหามานาน กับ 2.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานอิสระ ซึ่งปัจจุบันติดอยู่ในขั้นกฤษฎีกา โดยพรรคพร้อมร่วมผลักดัน
ส่วน 3 สร้าง ประกอบด้วย 1.สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน แม้จะมีภาคเอกชนลงมือทำไปแล้วแต่เข้าใจว่ายังไม่ครอบคลุม จึงเสนอให้เชิญผู้เกี่ยวข้อง
ทุกฝ่าย รวมถึงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมาพูดคุยกันว่าจะผลักดันประกันสังคม ม.33 ได้อย่างไร 2.กองทุนคนตัวเล็ก สำหรับช่วยให้คนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบปกติ เบื้องต้นคิดว่าจะใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน และ 3.บำนาญประชาชน 3,000 บาทต่อเดือน
“วัยเกษียณซึ่งเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็อยากให้มีกองทุนบำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท ทำไม 3,000 บาท? อันนี้คนถามมาเยอะ เพราะว่าเส้นแบ่งความยากจนของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณเดือนละ 2,700 บาท เราก็เลยบอกอยากให้ผู้สูงอายุได้รับเงินมากกว่าเส้นแบ่งความยากจน ก็คือประมาณเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งอันนี้ก็น่าจะสามารถช่วยเหลือแรงงานตรงนี้ (ลูกจ้างทำงานบ้าน) ได้ด้วย” โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM