#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/likesara/544410

สัมภาษณ์พิเศษ : ข้อคิดเห็นของ‘ประชัย เลี่ยวไพรัตน์’ เกี่ยวกับแนวทางเศรษฐกิจของประเทศหลังปี 2020
วันจันทร์ ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.
มุมมองจากประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นักบริหารรุ่นเก๋า อดีตกรรมาธิการการเงิน การคลัง และอดีตอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ แผนกไฟฟ้า ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะภาครัฐตรึงค่าเงินบาทให้อ่อนลง10% อยู่ในระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเพื่อกระตุ้นการส่งออก ทำให้เกิดการจ้างงาน เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต เผยการล็อกดาวน์ประเทศและมีวันหยุดบ่อยๆ ไม่ดีต่อเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลต้องเข้มงวดการป้องกันโรค COVID-19 โดยใช้ MASK, เจลล้างมือ สบู่/แชมพู ล้างมือ อาบน้ำ ซักผ้าทุกวัน ถ้าไปในพื้นที่น่าสงสัยก็ให้ใช้ BIO KNOX ผสมน้ำเพื่อดื่มฆ่าเชื้อทางปาก และฉีด Spray ระบบทางเดินหายใจ
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ว่า การเติบโตในระดับ 3-4% อาจเป็นไปได้ยากหากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แนะนำว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐหรือดอลลาร์ เพราะจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยโดยได้ถึง 6-7% เงินบาทแข็งค่าแบบนี้คนส่งออกลำบาก ควรจะต้องให้อ่อนค่าลงอีก 10%
เพราะขณะนี้รัฐบาลไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศ 2 แสนห้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7.5 ล้านล้านบาท มีความสามารถจะตรึงค่าเงินบาทเข้ากับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในอัตรา 34 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่น่ามีปัญหา ขณะนี้เราเกินดุลการค้าอยู่เดือนละ 1 แสนล้านบาท ในการตรึงค่าเงินบาทกับดอลลาร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องจ่ายเงินบาทให้ผู้ส่งออกเพิ่มอีก 10% คือ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน หรือ 120,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะนี้ประเทศไทยมีเงินทุนหมุนเวียน M1 Money Supply อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท และเงินสำรองเงินตราต่างประเทศ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7.5 ล้านล้านบาท จึงสามารถออกบัตรเพิ่มได้โดยไม่ผิดกติกาเพื่อตรึงอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เรื่องนี้สามารถดำเนินการได้เพราะเป็นอำนาจอธิปไตยของไทยในการใช้นโยบายทางการเงินประเทศเรา เราไม่ได้เป็นประเทศราชของ IMF หรือ World Bank
เราสามารถกำหนดค่าเงินบาทต่อเหรียญสหรัฐตามที่รัฐบาลต้องการได้ โดยต้องคำนึงถึงการอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ขึ้น-ลงตามตลาด เป็นเหยื่ออันโอชะของพวกนักปั่นเงินตราซึ่งชอบอ้าง IMF และ World Bank ว่าให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ขึ้น-ลงตามกลไกตลาด เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐก็ขึ้น-ลงตามกลไกตลาดอยู่แล้ว เพียงแต่ไทยจะเกาะติดกับดอลลาร์โดยไม่ถูกพวกนักปั่นค่าเงินบาทขายชาติทำให้ประเทศเสียหายยับเยินดังที่ผ่านมาในวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง
ค่าเงินบาทตรึงอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ น่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นโดยโรงงานไม่ต้องปิดลง คนงานมีงานทำรัฐบาลไม่ต้องมาเสียงบประมาณช่วยเหลือ แต่จะเก็บภาษีอากรได้มากขึ้น ต้องยอมรับว่าการช่วยเหลือของรัฐบาลที่ช่วยไม่ให้คนจนเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หรือเป็นหนี้เสียถือเป็นตัวช่วยที่ดี รวมทั้งการเอาเงินมาช่วยเหลือคนยากจนในยามตกทุกข์ได้ยากแบบรัฐสวัสดิการ ดังที่ประเทศนิวซีแลนด์ปฏิบัติอยู่(สมัยที่ผมเรียนอยู่ภายใต้ทุนแผนการโคลัมโบ)
หากคนพวกนี้ฟื้นตัวได้ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจ เพราะคนเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งประสบปัญหาจากการที่ต้องปิดเมือง หรือล็อกดาวน์ เช่นเดียวกันกับที่ประเทศเวียดนามซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ เพราะรัฐบาลกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้ค่าเงินดอง (VND) ของเวียดนามต่อเหรียญสหรัฐถูกลงเพื่อให้สามารถส่งออกได้ เพราะเป็นอำนาจอธิปไตยของเวียดนาม ทุกประเทศก็ชมว่ารัฐบาลเวียดนามเก่งและรักชาติ สมควรไปลงทุนที่นั่น โดยถอนการลงทุนจากไทยและจีน
ผมขอแนะนำรัฐบาลว่าอย่าล็อกดาวน์ประเทศและหยุดงานบ่อยๆ เพราะคนจะไม่มีงานทำและเศรษฐกิจจะไม่ฟื้น ถ้ามีการว่าจ้างแรงงาน คนมีเงินจากการทำงาน จะสามารถจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้ และจะดีถ้าพยายามส่งเสริมการลงทุนในประเทศด้วยเพื่อเพิ่มการจ้างงานและค่าแรงจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ แต่ต้องไม่ลืมการตั้งสติควบคุมไวรัสโควิดให้มีประสิทธิภาพด้วย เพื่อป้องกันการระบาดของโรคร้าย
ส่วนมุมมองด้านธุรกิจพลังงานนั้น แนวโน้มพลังงานสะอาดและทดแทน ยังคงเป็นกระแสโลกที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งอีก 20 ปีข้างหน้าคาดว่าจะไม่มีรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟอสซิลวิ่งอีกแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวกับรถยนต์แบบดั้งเดิมจะต้องเปลี่ยนไปหมดตามแนวโน้มของพลังงานสะอาดเพื่อธรรมาภิบาลรักษาสิ่งแวดล้อมโลกและเพื่อสังคมที่ดี หรือ ESG (Environment Social Governance)ที่จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm Shift) สำคัญที่ภาคธุรกิจต้องทำตามแนวทางดังกล่าว
ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า อยากจะบอกไปถึงรัฐบาลว่าความต้องการใช้ไฟฟ้ายังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกหลายหมื่นเมกะวัตต์เพื่อรับ Peak Load ด้วยเหตุผลการชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้มีผู้ไม่หวังดีพยายามจะให้ชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าโดยอ้างสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั้งที่เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว ตามสถิติการใช้น้ำมัน ณ เวลานี้ ประเทศไทยมีการใช้น้ำวันละ 1 แสนตันเทียบเท่ากำลังไฟฟ้า 4.8 หมื่นเมกะวัตต์ ถ้าประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เท่ากับร้อยละ 40 จะเทียบเท่ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 19,200 เมกะวัตต์
โดยเฉลี่ยหากมีการชาร์จไฟแบตเตอรี่ Slow Charger 6 ชั่วโมงเต็มเพื่อใช้ 1 วัน ระบบไฟฟ้าต้องมีขนาด 4 เท่าของ 19,200 เมกะวัตต์ หรือเท่ากับ 76,800 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับ Peak Load ถ้าใช้ค่าเฉลี่ยของจำนวนรถที่มาชาร์จไฟพร้อมกันไม่ให้เกินครึ่งหนึ่ง ก็ต้องเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าอีก 2 เท่าของ 19,200 เมกะวัตต์ หรือ 39,400 เมกะวัตต์ เพื่อรับ Peak Load
หากใช้ Fast Charger ชาร์จแบตเตอรี่ครึ่งชั่วโมงใช้ได้ทั้งวัน หากมีรถมาชาร์จพร้อมกันทั้งหมดระบบไฟฟ้าต้องมีกำลังผลิต 48 เท่าของกำลังไฟฟ้าปกติรับ Peak Load ซึ่งหากใช้เวลาที่เหลือชาร์จแบตเตอรี่ได้ 4.1% ของรถ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้า 50% ของรถทั้งหมดใช้ Fast Charger รวมกันแล้วใช้เวลา 12 ชั่วโมง มี Margin เหลือเวลาอีก 6 ชั่วโมง ให้รถที่ใช้ค่าเฉลี่ยชาร์จไฟวันละ 2 ครั้ง เพื่อใช้ 24 ชั่วโมง ระบบไฟฟ้าต้องมีกำลังผลิต 6 เท่าของกำลังไฟฟ้าปกติเพื่อรับ Peak Load จะสามารถชาร์จได้พร้อมกัน 33.33% ของรถทั้งหมด
หากมีการเปลี่ยนรถใช้น้ำมันเป็นรถใช้ไฟฟ้า EV CARS ไป 20% ภายในห้าปี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจะต้องเพิ่มกำลังผลิตในระบบอีก 39,400 x 20%เท่ากับ 7,880 เมกะวัตต์ หรืออย่างต่ำ 39,400 เมกะวัตต์ ภายใน 20 ปี เพื่อรับ Peak Load จากที่กำหนดใน PDP18 ฉะนั้น PDP18 ต้องแก้ไขให้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าโดยด่วน มิฉะนั้นจะเกิดการ Blackout ไฟดับทั้งเมืองใน 5 ปีข้างหน้า เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่แต่ละโรงต้องใช้เวลา 5 ปีโดยทำ EIA/EHIA 2 ปี และก่อสร้างอีก 2 ปี รวมทั้งหมด 5 ปีเป็นอย่างต่ำ