แหวกฟ้าหาฝัน : ส่องสมบัติตระกูล Thurn and Taxis

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/694538

แหวกฟ้าหาฝัน : ส่องสมบัติตระกูล Thurn and Taxis

แหวกฟ้าหาฝัน : ส่องสมบัติตระกูล Thurn and Taxis

วันอาทิตย์ ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวที่เยือนคฤหาสน์ Thurn and Taxis ควรเผื่อเวลาส่องสมบัติของตระกูลนี้ที่ Treasury Museum ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย ที่นี่มีของสวยงามทั้งเฟอร์นิเจอร์กระเบื้อง กล่องใส่บุหรี่ และสิ่งละอันพันละน้อยที่ทำจากทอง และเงินประดับด้วยอัญมณีมากมาย มิวเซียมที่เป็นส่วนหนึ่งของ BavarianNational Museum นี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปราสาท ณ ตำแหน่งที่เคยเป็นคอกม้าตั้งแต่ปี 1998 มิวเซียมที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neoclassic นี้ยังมีตัวอย่างของอาวุธสะสมของตระกูล Thurn and Taxis ที่เก็บมาตั้งแต่ปี 1748 ด้วย นอกจากนี้ของสะสมที่มีค่ามากมายหลายอย่างล้วนมาจากงานประดิษฐ์จากประเทศต่างๆ ทั่วยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีเอง

ตัวอย่างของจัดแสดงใน Treasury Museum ที่โดดเด่นก็คือ นาฬิกาตั้งพื้นที่เล่นดนตรีได้ซึ่งออกแบบโดย EtiennePomee นักออกแบบนาฬิกาชื่อดังชาวบาเยิร์นต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 นาฬิกาเรือนนี้ถูกออกแบบในเมือง Regensburg ราวปี 1760 โดยถูกผลิตด้วยเหล็ก ทองแดง เงิน แก้ว หิน คริสตัล นาฬิกาที่มีเสียงปลุกมากถึง 12 เสียงที่ตกแต่งตามแนวทางศิลปะแบบ Rococo นี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อไว้ตกแต่งหอประชุมด้านนอกของตัวคฤหาสน์หลังนี้ในปี 1792 อันเป็นปีที่ Prince Carl Anselm von Thurn and Taxis ย้ายมาประทับอยู่

ในสมัยโบราณที่โลกยังไม่พัฒนา และยังไม่มีการผลิตอ่างล้างหน้า ล้างมือ กษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนางและคหบดีมักต้องมีผู้รับใช้คอยบริการจัดหาชุดทำความสะอาดหน้า และมือที่เรียกว่า Sink Set อันประกอบไปด้วยเหยือกและถาดมาให้ Sink Set ที่เคยอยู่ในวังของ Prince of Augsburg นี้ถูกออกแบบโดย Johann Christoph Stenglin จากเมือง Augsburg ในราวปี 1749 โดยทำด้วยเงินชุบทอง

อัญมณีที่มีชื่อเสียงอีกชิ้นในมิวเซียมก็คือ อัญมณีแห่งภาคีขนแกะทองคำที่ทำจากทองและเพชรปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อัญมณีที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกแคทอลิกในช่วงเวลานั้นที่ถูกสั่งทำโดยเจ้าชาย AlexanderFerdinand ชิ้นนี้ประดับอยู่บนมงกุฎของราชวงศ์ Habsburg แห่งออสเตรีย ส่วนอัญมณีอีกชิ้นชื่อเดียวกันที่จัดแสดงอยู่ติดกันนี้ถูกสั่งทำจากมรกตคุณภาพสูงโดยเจ้าชาย Carl Anselm von Thurn and Taxisเพื่อนำมาติดไว้บนปกเสื้อให้เข้าคู่กันเป็นชุดยิ่งกว่านั้นที่นี่ยังมีกระดุมอัญมณีชุดใหญ่ที่ติดอยู่บนชุดกระโปรงดำของเจ้าชาย Carl Anselm ที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษอีกกว่า 75 เม็ดซึ่งหาดูได้ยากยิ่ง

งานกระเบื้องที่สวยงามที่สุดชิ้นหนึ่งในมิวเซียมก็คือ กระเบื้องรูป Cupid และ Psyche เป็นเรื่องราวตอนที่ Psycheเชื่อว่าเธอกำลังจะตาย เพราะถูกจับตัวโดย Cupidเธอจึงคุกเข่าลงร้องขอชีวิตกับเทพเจ้า Zephirผลงานของ Johannpeter Melchoir ที่ถูกว่าจ้างโดย Count vonMontgelas เคยถูกจัดตั้งไว้ในพระราชวัง Nymphenburgก่อนที่จะถูกย้ายมาจัดแสดงที่นี่นั้นมีความสวยงามละเอียดอ่อนอย่างหาที่ติมิได้ นอกจากของจัดแสดงดังกล่าวข้างต้นแล้ว นักท่องเที่ยวยังมีโอกาสได้ชื่นชมกล่องใส่ของเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายชิ้นที่มีความวิจิตรบรรจงอย่างยิ่งยวดสมกับเป็นสมบัติของคหบดีอย่างแท้จริง

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนวังเจ้าชาย Thurn & Taxis

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/693104

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนวังเจ้าชาย Thurn & Taxis

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนวังเจ้าชาย Thurn & Taxis

วันอาทิตย์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 06.10 น.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือน Regensburg สถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่ต้องเยือนให้ได้ไม่เช่นนั้นเหมือนมาไม่ถึงเมืองมรดกโลกนี้ก็คือ Princely House of Thurn & Taxis บ้านของตระกูล Thurn & Taxis ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเบอร์ 2 ของเมืองรองจากส่วนเมืองเก่า แต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดของเมืองก็ว่าได้ ตระกูล Tasso เจ้าของคฤหาสน์นี้นั้นเดิมเป็นครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่ Bergamo ประเทศอิตาลีมาตั้งแต่ราวปี 1200

เมื่อมิลานครอบครอง Bergamo ในปี 1290 Omodeo Tasso ได้รวบรวมคนในครอบครัวจัดตั้งบริษัทขนส่งเชื่อมระหว่างมิลานกับเวนิสและโรม ส่วน Ruggiero de Tassis ก็ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิ Frederick the Peaceful ในปี 1443 ให้บริหารจัดการการขนส่งระหว่าง Bergamo และเวียนนา ความสำเร็จในการทำธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเมืองทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน นอกจากนี้ Janetto von Taxis ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลการบริการขนส่งของ Innsbruck ในปี 1489 ด้วย ซ้ำ Francesco I de Tassis น้องชายของเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าด้วยเช่นกันในปี 1502

หลังจากนั้นเพียงแค่ 4 ปี Francesco I de Tassis ก็มีปัญหาทะเลาะกับ Philip of Burgundy ผู้แต่งตั้งเขา เขาเลยตัดสินใจเปิดบริการขนส่งสาธารณะขึ้นในปี 1506 และย้ายไปอยู่บรัสเซลส์ในปี 1516 เมื่อ Francesco เสียชีวิตในปีต่อมา จักรพรรดิ Charles V ได้แต่งตั้ง Johann Baptista von Taxis หลานชายของเข้าขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และ Franz II von Taxis ก็มาดำรงตำแหน่งแทนในเวลาไม่นาน Leonhard I von Taxis ลูกชายคนเล็กของเขาได้เข้าดำรงตำแหน่งต่อและกลายเป็นต้นตระกูลของ Thurn and Taxis พระเจ้า Charles V ได้แต่งตั้ง Gionvanni Battista de Tassis ให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงขนส่ง เมื่อพระเจ้า Maximilian I ได้ขยายจักรวรรดิโรมัน และได้แต่งตั้งสมาชิกของตระกูลเป็นท่านเคานต์ พวกเขาเลยได้รับตำแหน่งเจ้าจากจักรพรรดิ Leopold I ตั้งแต่ปี 1695 เป็นต้นมา

หลังจากตระกูล Thurn and Taxis บริหารงานบริษัทขนส่งตัวเองได้ระยะหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัฐบาลปรัสเซียของเยอรมันก็ซื้อไปและพวกเขาก็ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เมือง Regensburg ที่ St.Emmeram Castle นับจากนั้นมาคนในตระกูลนี้ก็ได้แต่งงานกับชาวโบฮีเมียจนมีความสนิทสนมกับสาธารณรัฐเช็กทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ปัจจุบันเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้คือ Albert II, เจ้าชาย Thurn and Taxis ที่สิบสองซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดของเยอรมัน แม้พวกเขาจะขายโรงกลั่นเบียร์ไปแล้วให้กับบริษัท Paulaner จากมิวนิค แต่ยังคงมีการกลั่นเบียร์ยี่ห้อ Thurn and Taxis ขายอยู่

นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสเยือน Thurn and Taxis แห่งนี้จะทึ่งตั้งแต่การบริหารจัดการด้านหน้าที่ขายตั๋วเลยทีเดียว การเข้าชมที่นี่ต้องซื้อตั๋วพร้อมแบบมีไกด์บรรยายเป็นรอบๆ โดยไกด์จะแจกหูฟังให้ฟังทุกภาษา ไกด์จะพาเดินผ่านห้องต่างๆ ที่มีอยู่มากมายราวกับเที่ยววังหรูหราซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เรื่องราวชีวประวัติของผู้ครอบครองและสนุกสนานกับการถ่ายรูปอาคารและสิ่งตกแต่งอย่างไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว

แหวกฟ้าหาฝัน : เดินเล่นเมืองมรดกโลก Regensburg

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/691713

แหวกฟ้าหาฝัน : เดินเล่นเมืองมรดกโลก Regensburg

แหวกฟ้าหาฝัน : เดินเล่นเมืองมรดกโลก Regensburg

วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 02.00 น.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนมิวนิคและชอบเยือนเมืองมรดกโลก เมืองหนึ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือ Regensburg เมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นบาวาเรียที่อยู่ ณ ตำแหน่งที่บรรจบกันระหว่างแม่น้ำ Danube, Naab และ Regen นี้เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับสี่ของแคว้นบาวาเรีย เมืองที่เดิมมีชื่อเป็นภาษาเซลติกว่า Radasbona นี้มีประวัติย้อนไปถึงยุคหิน ในสมัยพระจักรพรรดิ Marcus Aurelius แห่งโรมได้สร้างป้อมปราการที่ชื่อว่าCastra Regina ขึ้นจนกลายเป็นที่พักสำคัญทางเหนือของแม่น้ำดานูบในช่วงปลายยุคโรมันที่นี่ยังเป็นที่ประทับของบิชอปจนมีการตั้ง Bishopric of Regensburg ในปี 739 ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 เมืองนี้ตกอยู่ภายใต้การนำของตระกูล Agilolfings จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 ที่กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นบาวาเรีย Regensburgยังคงความสำคัญจนถึงสมัย พระเจ้าCharlemagne

ในช่วงแห่งความรุ่งเรืองนี้ Regensburg กลายเป็นที่ทำพิธีล้างบาปให้กับเจ้าชายจากโบฮีเมียจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นคริสเตียนของชาวเช็ก และเมืองนี้กลายเป็นเมืองแม่ของศาสนาจักรแห่งกรุงปรากนับจากนั้นมา เมืองนี้ยังดำรงความสำคัญสำหรับศาสนจักรเรื่อยมาจนระหว่างปี 1135-46 รัฐบาลได้สร้างสะพานหินเพื่อข้ามแม่น้ำดานูปขึ้นเพื่อเปิดเส้นทางการค้าระหว่างยุโรปเหนือกับเวนิส และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองทางการค้าและศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรม

ในปี 1245 Regensburg กลายเป็นอิสระและเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการพบปะระหว่างนานาชาติ จวบจนปี 1486 ที่เมืองนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นบาวาเรีย แต่ภายหลังก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้งในอีก 10 ปีต่อมา ในปี 1542 Regensburg ได้ปฏิวัติเข้าสู่นิกายโปแตสแตนท์ทำให้ชนกลุ่มน้อยที่ยังนับถือโรมันคาทอลิคถูกปฏิเสธสิทธิพลเมือง ถึงกระนั้นก็ตามที่นี่ก็ยังเป็นที่ตั้งของบิชอปของนิกายโรมันคาทอลิกอยู่ และมีสำนักสงฆ์มากถึง 3 แห่ง ในปี 1803 Regensburg ถูกควบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Principality of Regensburg และถูกยกให้ Archbishop-Elector of Mainz และ Archchancellor of the Holy RomanEmpire Carl von Dalberg ซึ่ง Dalberg ได้ยกระดับความเท่าเทียมกันของคริสเตียนทั้งสองกลุ่ม

ประวัติศาสตร์ของเมืองไม่ได้มีแต่เรื่องดี ระหว่าง 19-23 เมษายน 1809 Regensburg กลายเป็นสนามรบในสงคราม Ratisbon ส่งผลให้บ้านถูกไฟไหม้ถึง 150 หลัง หลังจากที่นาซีครองอำนาจในปี 1933 ชาวยิวก็ถูกข่มเหงจนทำให้ชาวยิวส่วนใหญ่ต้องหนีไปโปแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองชาวยิวในเมืองก็ถูกเกณฑ์ไปเข้าแคมป์และกลายเป็นแรงงาน ส่วนหนึ่งก็ถูกฆ่าตาย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเมืองนี้เป็นโรงงานผลิตเครื่องบินจึงทำให้กลายเป็นเป้าของการทิ้งระเบิดของพันธมิตร ถึงกระนั้นก็ตามส่วนเมืองเก่ากลับไม่ถูกทำลายมากนัก

ต้นทศวรรษที่ 1960 Regensburg ลงทุนในด้านโครงสร้างและเทคนิคมากมายเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมส่งผลให้บริษัท Siemens เป็นบริษัทข้ามชาติแห่งแรกที่มาลงทุนซึ่งถือเป็นก้าวแรกของความก้าวหน้าหลังสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1965 เทศบาลได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ตั้งมหาวิทยาลัย Regensburg และในปี 1971เทศบาลก็ได้ก่อตั้ง RegensburgUniversity of AppliedSciences หลังจากนั้นเมืองนี้ก็ดึงดูดให้ BMW มาตั้งโรงงานได้ในปี 1986 และยังสามารถดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายแห่งมาลงทุนได้ อาทิ Infineon และ OSRAM ในปี 1997 Regengsburgได้รับรางวัลยุโรปทางด้านการควบรวม และในปี 2006 คณะกรรมการมรดกโลกก็ประกาศให้ Regengsburg เป็นเมืองมรดกโลก

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองโดยทางรถไฟสามารถเดินถึงใจกลางเมืองเพื่อชื่นชมเมืองเก่าได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที ส่วนที่สวยงามที่สุดของเมืองอยู่บริเวณสะพาน Eiserns ที่เชื่อมระหว่างสองฟากของแม่น้ำดานูบอันเป็นตำแหน่งที่มักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาซื้อของร้านริมทางและข้ามสะพานไปทานอาหารเพื่อชื่นชมเมืองมรดกโลกจากริมแม่น้ำอีกฟากหนึ่ง

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนมรดกโลก ปราสาทมิวเซียม Hohentubingen

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/690270

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนมรดกโลก ปราสาทมิวเซียม Hohentubingen

แหวกฟ้าหาฝัน : เยือนมรดกโลก ปราสาทมิวเซียม Hohentubingen

วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวสายมิวเซียมที่มาเยือนTubingen หากมีเวลาควรเยือน Hohentubingen Castle ปราสาทที่มีหอคอยสูงตั้งอยู่ด้วยไม่เพียงการเยือนปราสาทแห่งนี้จะเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ชมปราสาท และมิวเซียมแล้ว ยังจะได้ชมเมืองจากมุมสูงอันจะทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสยลวิวสวยระหว่างหุบเขา Neckarและ Ammer ที่ซึ่ง Goethe ปราชญ์ชั้นนำของเยอรมันถึงขนาดเขียนบทกลอนบรรยายความงดงามของสถานที่แห่งนี้ไว้เลยทีเดียว เพียงแต่นักท่องเที่ยวต้องมีขาที่แข็งแรงหน่อยเท่านั้น ปราสาทที่อยู่สูงขึ้นไปถึง 372 เมตร บนเขา Spitzberg นี้ปลูกสร้างตามแนวทางศิลปะแบบเรอเนสซองส์ที่ประกอบด้วย 4 ปีก และ 1 หอคอย

ปราสาทที่มีการกล่าวถึงครั้งแรกย้อนไปถึงปี 1078 นี้ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง จักรพรรดิ Heinrich IV ได้โอบล้อมปราสาทไว้หลังจากกลับจากสารภาพบาปที่อิตาลีในช่วงเวลาที่ Count Hugo of Tubingenเพื่อนของ Duke Rudolf คู่แข่งคนสำคัญของพระองค์ครอบครองปราสาทอยู่ พระองค์จึงตั้ง Counts Palatine ให้เป็นเจ้าผู้ครองปราสาทในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และประทับอยู่ที่นี่จนถึงปี 1342 จึงขายให้กับ Counts of Wurttembergต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 Duke Ulrichได้สั่งรื้อถอนปราสาทและทำการสร้างใหม่ให้ทันสมัยขึ้น

การสร้างปราสาทดำเนินต่อมาอีก3 สมัยเป็นเวลาร่วม 100 ปีกว่าจะเสร็จเรียบร้อยและได้ถูกขยายให้เป็นป้อมปราการทางการทหารในสมัย Duke Friedrich ที่ครอบครองอยู่ระหว่าง 1593-1608 อาคารด้านล่างที่ถูกก่อสร้างในสมัย Duke Friedrich ตามแนวทางศิลปะแบบเรอเนสซองส์นี้ถือได้ว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเมืองจากการออกแบบโดย HeinrichSchickhardt สถาปนิกชาวพื้นเมืองและตกแต่งด้วยฝีมือ Christoph Yelin นักประติมากรจาก Schwabisch Gmund ความสำคัญของปราสาทลดทอนลงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากปราสาทถูกยึดในสงคราม 30 ปีแม้ปราสาทจะไม่ถูกทำลายลงแต่ก็ได้รับการตกแต่งใหม่

กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 มหาวิทยาลัยได้รับสิทธิเป็นเจ้าของจากพระเจ้า Wilhelm I แห่ง Wurttemberg ในปี 1816 มหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนหออัศวินเป็นห้องสมุดโดยบรรจุหนังสือมากถึง 60,000 เล่ม เปลี่ยนห้องครัวเป็นห้องปฏิบัติการทางเคมี และหอคอยเป็นห้องสังเกตการณ์ดูดาวอีกต่างหาก หลังจากรัฐบาลได้ปรับปรุงปราสาทใหม่ระหว่างปี 1979-94 มหาวิทยาลัย Eberhard-Karls ก็ได้ห้องเพิ่มขึ้นเพื่อใช้สำหรับแผนกการศึกษาวัฒนธรรมและโบราณคดีซึ่งก็คือปีกทางด้านตะวันออกและเหนือที่จัดแสดงของมิวเซียมในปัจจุบัน

ส่วนของมิวเซียมและส่วนของหอคอยนั้นมีของจัดแสดงรวม 4,600 ชิ้น ซึ่งเป็นของสะสมของแผนกก่อนประวัติศาสตร์ โบราณคดีคลาสสิก การศึกษาค่าเงิน อียิปต์วิทยา การศึกษาภาคตะวันออกและมานุษยวิทยา นักท่องเที่ยวที่มาเยือนมิวเซียมที่ถือว่าเป็นมิวเซียมของมหาวิทยาลัยแห่งเดียวในโลกในเมืองมรดกโลกนี้ ไม่เพียงจะได้ยลของจัดแสดงที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในโลกถึง 40,000 ปีแล้ว ยังจะสามารถศึกษาและเพลิดเพลินกับของจัดแสดงโบราณคดีเก่าแก่หลายพันปีนานาชนิดของทั้งอียิปต์และยุโรปได้อีกต่างหากด้วย

แหวกฟ้าหาฝัน : เที่ยวเมืองมหาวิทยาลัย Tubingen

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/688961

แหวกฟ้าหาฝัน : เที่ยวเมืองมหาวิทยาลัย Tubingen

แหวกฟ้าหาฝัน : เที่ยวเมืองมหาวิทยาลัย Tubingen

วันอาทิตย์ ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือน Stuttgart และต้องการเที่ยวเมืองในแคว้นเดียวกันเพื่อประหยัดค่ารถไฟ เมืองหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลและสามารถเดินทางด้วยรถท้องถิ่น RE หรือ RB ก็คือ Tubingen เมืองที่มีชื่อแปลกแห่งนี้เป็นเมืองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของแคว้น Baden Wurttemberg เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ Stuttgart บนสองข้างของแม่น้ำ Neckar และ Ammer

เมืองที่มีหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการตั้งรกรากกันมาตั้งแต่ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล และนักประวัติศาสตร์ก็ค้นพบหลักฐานว่าที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของชาวโรมันมาก่อนในราวปีคริสต์ศักราที่ 85 นี้เป็นที่อยู่ของชนเผ่า Alamanni หรือชาวเยอรมันพื้นเมืองที่อยู่ทางเหนือของแม่น้ำไรน์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 อย่างไรก็ดีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่บันทึกในปี 1191 ไว้ว่า ส่วนที่เป็นปราสาทท้องถิ่นที่ชื่อ Hohentubingen นั้นสร้างตั้งแต่ปี 1078 ในช่วงเวลาที่เมืองถูกครอบครองโดยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 แห่งเยอรมัน โดยพระองค์เป็นคนตั้งชื่อเมืองที่ควบรวมมาจากภาษาละตินยุคกลางสองคำคือ Tuingia และ Twingia

ระหว่างปี 1146 เมื่อ Count Hugo V ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Hugo I พระองค์ก็สถาปนาเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของ County Palatine of Tubingen เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางด้านศาสนาในปี 1262 เมื่อพระสันตะปาปา Alexander IV จัดตั้งสำนักสงฆ์ Augustinianขึ้น และพระองค์ยังจัดตั้งสำนักสงฆ์ Franciscan เพิ่มขึ้นอีกแห่งในปี 1272 ต่อมาในปี 1300ที่นี่ก็ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาละตินขึ้น แต่เมื่อ Ulrich of Wurttemberg ผู้ครองเมืองเปลี่ยนศาสนาโดยหันมานับถือนิกายโปรแตสแตนท์เขาก็ประกาศยกเลิกสำนักสงฆ์ Franciscan เสียและขาดจากสำนักวาติกัน

แม้ผู้ครองนครจะเปลี่ยนนิกาย แต่ที่นี่ก็ยังเป็นเมืองที่มีและให้ความสำคัญกับศาสนา Duke Eberhard im Bart of Wurttemberg จึงได้ก่อตั้ง St. George’s Collegiate Church ขึ้นในปี 1470 พร้อมกันกับมหาวิทยาลัย Eberhard Karls จนทำให้มหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปกลางการก่อตั้งมหาวิทยาลัยทำให้เมืองนี้กลายเป็นสถานที่ที่มีอิทธิพลสูงสุดในด้านการศึกษาในยุคจักรวรรดิโรมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศาสนา และที่นี่ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเมืองจวบจนปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีด้วยโดยมีนักศึกษามากถึง 26,000 คน

ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความโกลาหลของเมืองเกิดขึ้นหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่ระหว่าง 1622-25 เมืองนี้กลับเป็นเมืองคาทอลิกอีกครั้ง เพราะศาสนจักรคาทอลิกสามารถครอบครองแคว้น Wuttemberg ในช่วงสงคราม 30 ปีหลังจากนั้นในปี 1635 ชาวเมืองก็ติดกาฬโรค และในปี 1638 เมืองนี้ก็ถูกชาวสวีเดนเข้าครอบครอง และกลายเป็นของฝรั่งเศสระหว่างปี 1647-9ซ้ำร้ายในปี 1789 ตัวเมืองเก่ายังถูกไฟไหม้โชคร้ายยังไม่หมดไปจากเมือง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 1938 ซึ่งเป็นเวลาที่นาซีเรืองอำนาจ พวกเขาได้เผาโบสถ์ยิวประจำเมืองจนก่อให้เกิดการจลาจล

อย่างไรก็ดี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมืองนี้กลับเป็นไม่กี่เมืองของเยอรมันที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย อันเป็นผลมาจากการที่เมืองนี้ไม่มีอุตสาหกรรม และจากความสามารถของ Theodor Dobler แพทย์ประจำเมืองที่เซ็นสัญญาสันติภาพไว้กับฝรั่งเศสจึงทำให้ฝรั่งไม่ทำลายเมืองแม้จะสามารถครอบครองเมืองได้ และย้ายออกจากเมืองไปก่อนสิ้นสุดสงครามเย็นในทศวรรษที่ 1990 แม้เมืองจะเคยรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางของศาสนจักรและการศึกษา แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1950 เมืองกลับถูกแบ่งแยกทางด้านเศรษฐกิจและสังคมจากการที่ชาวนาและพ่อค้าที่อยู่ริมคลองมีเศรษฐานะไม่ดีตรงข้ามกับนักเรียนที่อยู่ย่านอาคารมหาวิทยาลัย ปัจจุบัน ความแบ่งแยกแตกต่างเริ่มหมดไป

นักท่องเที่ยวจะเห็นว่า เมืองมีความสวยงามน่าประทับใจตั้งแต่ลงรถไฟ เพราะมีอาคารที่มีลวดลาย graffiti สวยงามต้อนรับตั้งแต่แรก ตลอดทางเดินเข้าเมืองเต็มไปด้วยอาคารที่มีลักษณะจำเพาะหลากสีสัน ตรอกซอกซอยก็เต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายสิ่งละอันพันละน้อย แค่ทางเดินเข้าเมืองก็ชวนให้หลงรักเมืองนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นควรค่าแก่การเยือนสักครั้งในชีวิต

แหวกฟ้าหาฝัน : ดูเครื่องกระเบื้องจากโรงงานราชสำนักบาวาเรีย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/688088

แหวกฟ้าหาฝัน : ดูเครื่องกระเบื้องจากโรงงานราชสำนักบาวาเรีย

แหวกฟ้าหาฝัน : ดูเครื่องกระเบื้องจากโรงงานราชสำนักบาวาเรีย

วันอาทิตย์ ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวสายมิวเซียมที่ได้มีโอกาสมาเยือนพระราชวัง Nymphenburg ไม่เพียงจะมีโอกาสได้เยือนมิวเซียมรถม้าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกแล้ว ที่นี่ยังมีมิวเซียมเครื่องกระเบื้องพระราชสำนักให้เยือนอีกต่างหากด้วย มิวเซียมที่มีของสะสมเป็นเครื่องกระเบื้องของราชสำนักตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18-20 แห่งนี้ตั้งอยู่ชั้นบนของมิวเซียมรถม้า

หลังจากที่พระเจ้า Maximilian III Joseph เจ้าชายผู้ครองนครบาวาเรียเสด็จมาครองเมืองพระองค์ก็มีพระกระแสรับสั่งให้ก่อตั้งโรงงานผลิตกระเบื้องขึ้นด้วยเงินพระคลัง ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1747 โรงงานผลิตที่มีทั้งช่างปั้นหม้อและผู้ออกแบบทรวดทรง รวมทั้งห้องเขียนสีได้ถูกจัดตั้งขึ้นที่ Grune Schlossl ต่อมาในปี1754 Joseph Jakob Ringler ผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานกระเบื้องที่ทำงานทั้งในออสเตรียและเยอรมนี ได้พยายามปั้นให้โรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานที่ประสบความสำเร็จทางด้านกระเบื้องที่สำคัญของยุโรปตอนกลาง ภายในเวลาเพียงแค่ปีเดียว ในปี 1755 โรงงานก็ได้รับคำสั่งสินค้าจากราชสำนักบาวาเรียเป็นครั้งแรก และปีต่อมาโรงงานก็สามารถผลิตเครื่องกระเบื้องแบบมีสีสันลวดลายให้ราชสำนัก

ในปี 1758 โรงงานได้แต่งตั้งให้ Count Sigmund von Haimhausen ขุนนางผู้อำนวยการคณะกรรมการเหมือง และผลิตเหรียญกษาปณ์และประธาน Bavarian Academy of Sciencesมาเป็นประธานบริหารโรงงานแห่งนี้ เขาได้ย้ายโรงงานเข้าไปยังตึก 2 ชั้นที่เคยเป็นคอกม้าเดิมของพระราชวัง Nymphenburg หรือตำแหน่งของมิวเซียมในปัจจุบันจนทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งผลิตกระเบื้องที่สำคัญของยุโรป ต่อมาในสมัยพระเจ้า Ludwig I พระองค์ได้มอบหมายให้Dominik Auliczek the elder ประติมากรและจิตรกรชาว Bohemia และ Johann Peter Melchior นักปั้นกระเบื้องชาวเยอรมันเป็นผู้มาออกแบบชุดอาหารกระเบื้องที่มีอัตลักษณ์เป็นของบาวาเรียที่ภายหลังถูกลอกเลียนแบบไปใช้ทั่วยุโรป นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จ้าง Franc Anton Bustelli ศิลปินชาวสวิสยุครอคโคโคมาร่วมออกแบบงานอีกต่างหากด้วย

แม้โรงงานจะประสบความสำเร็จอย่างดีมาหลายสิบปี แต่ในปี 1856 โรงงานกลับประสบปัญหาทางด้านการเงินจนต้องเลิกจ้างศิลปินและหยุดผลิตส่งผลให้รัฐบาลกลางสมัยนั้นทำการแปรรูปกิจการโดยการปล่อยให้เช่าครั้งแรกในปี 1862 ผู้บริหารใหม่ได้ปรับปรุงโรงงานโดยเน้นไปผลิตสินค้าทางด้านสุขภัณฑ์และการแพทย์
มากขึ้น ต่อมาในปี 1887 Albert Bauml คหบดีจากอุตสาหกรรมทอผ้าได้เช่าโรงงานต่อโดยหันมาให้ความสำคัญกับการผลิตกระเบื้องที่เน้นศิลปะร่วมสมัยอีกครั้งด้วยการทำงานร่วมกับ Hermann Gradl, Adelbert Niemeyer, Hans Behrens ศิลปินร่วมสมัย พร้อมกับลงทุนไปมากมายกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิตกระเบื้องที่เพิ่มสีสัน

เมื่อ Albert Bauml บริหารจนลงตัวแล้วในปี 1909 เขาจึงได้ตั้งร้านขายสินค้าจากโรงงานบนถนน Odeonsplatz โดยให้ Emauel von Seidlสถาปนิก วิศวกร และนักออกแบบภายในชื่อดังแห่งยุคเป็นผู้ออกแบบร้านให้ ส่วนสินค้ากระเบื้องที่ขายในร้านมีตั้งแต่ถ้วยกาแฟ ตะกร้า แจกัน ของตกแต่งและโต๊ะโดยมีลูกค้าเป็นทั้งราชสำนักทั่วทั้งยุโรป ศาสนจักร และคหบดีทั้งในและต่างประเทศ หลังปี 1975 รัฐบาลบาวาเรียได้ให้ Wittelsbach Compensation Fund เป็นผู้เช่าโรงงานต่อ และยกให้ Prince Luitpold of Bavariaเช่าในปี 2011

นักท่องเที่ยวจะเห็นว่าของจัดแสดงในห้องต้นๆ จะออกโทนสีขาว และมีการเพิ่มสีสัน ความทันสมัยและความละเอียดลออมากขึ้นหลังจากที่เจ้าของโรงงานได้เชิญศิลปินร่วมสมัยในเวลานั้นมาออกแบบงานจนทำให้ชิ้นงานไม่ว่าจะเป็นแก้วกาแฟ ตุ๊กตาดูวิจิตรบรรจงมากขึ้นสมกับเป็นโรงงานกระเบื้องที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเลยทีเดียว

แหวกฟ้าหาฝัน : ชมความหรูหราของรถม้าราชสำนักบาวาเรีย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/686669

แหวกฟ้าหาฝัน : ชมความหรูหราของรถม้าราชสำนักบาวาเรีย

แหวกฟ้าหาฝัน : ชมความหรูหราของรถม้าราชสำนักบาวาเรีย

วันอาทิตย์ ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวสายมิวเซียมที่มาเยือนพระราชวัง Nymphenburg และเผื่อเวลาทั้งวันมาแล้วย่อมอยากเข้าชมมิวเซียมด้วย มิวเซียมหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Marstallmuseum หรือ Museum of Carriages and Sleighs หรือมิวเซียมรถม้านั่นเอง มิวเซียมแห่งนี้ของพระราชวัง Nymphenburg ถือเป็นมิวเซียมรถม้าของราชสำนักที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

มิวเซียมที่ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งคอกม้าเก่าทางตอนใต้ของพระราชวัง Nymphenburg ที่เคยเป็นคอกม้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของ MaxEmanuel ผู้ปกครองแคว้นบาวาเรียโดยเป็นสถานที่เก็บม้าที่มีค่าที่สุดของพระองค์ในช่วงฤดูร้อน ส่วนในฤดูหนาวม้าและรถม้าสำคัญของพระองค์จะถูกย้ายไปที่ประทับของพระองค์ในเมืองมิวนิค ที่นี่ได้ถูกทำให้เป็นมิวเซียมตั้งแต่ปี 1923 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ของจัดแสดงได้ถูกย้ายไปเก็บไว้ในพระราชวัง Nymphenburg แทน หลังจากที่คอกม้ากลางเมืองมิวนิคถูกทำลายลงจากสงครามในปี 1944 รัฐบาลได้ย้ายของจัดแสดงส่วนหนึ่งกลับมาที่นี่และเริ่มเปิดทำการใหม่ในปี 1952

ของจัดแสดงที่สำคัญของมิวเซียมก็คือ รถม้าที่ประทับในวันขึ้นครองราชย์ของพระเจ้า Charles Albert ในปี 1742 ในวันขึ้นครองราชย์เพื่อปกครอง Roman Empire ของพระเจ้า Maximilian I Joseph และพระเจ้า Ludwig II นอกจากนี้ ยังมีรถม้าที่หรูหราประทับอีก 5 คันของพระเจ้า Ludwig IIที่นำมาเก็บที่นี่ในปี 1886 หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ยิ่งกว่านั้นที่นี่ยังมีรถม้าของเจ้าชาย Regent Luitpold หลานชายของพระเจ้า Ludwig II และเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้า Ludwig II ในเวลาที่พระองค์ประชวรและไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ระหว่างปี 1886-1912 ด้วย หลังปี 2012 รัฐบาลได้นำเลื่อนของ Max Emanuel ผู้ครองนครและเจ้าหญิง Maria Antonia มาจัดแสดงไว้ที่นี่ด้วย

นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสมาเยือนมิวเซียมที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1923 บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นโรงเรียนสอนขี่ม้าเก่าด้วยแห่งนี้ไม่เพียงแต่ได้มีโอกาสชื่นชมกับยานพาหนะที่หรูหราที่ใช้ในงานราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์และทันสมัยที่สุดในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17-19 ของทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมันแล้ว ยังจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงพัฒนาการของยานพาหนะทั้งรถม้าสี่ล้อขนาดใหญ่ รถเลื่อน และสัมภาระทหารในยุค Wittelbachs ราชวงศ์ซึ่งปกครองแคว้นบาวาเรีย เอกสารเกี่ยวกับการสร้างรถม้าและวัฒนธรรมการขี่รถม้าของราชวงศ์อีกร่วม 300 ปีด้วย นับได้ว่าคุ้มค่ากับการเผื่อเวลาทั้งวันสำหรับการเยือนพระราชวัง Nymphenburg เลยทีเดียว

แหวกฟ้าหาฝัน : ลองส่อง Hunting Lodge

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/685229

แหวกฟ้าหาฝัน : ลองส่อง Hunting Lodge

แหวกฟ้าหาฝัน : ลองส่อง Hunting Lodge

วันอาทิตย์ ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนพระราชวัง Nymphenburg สามารถเผื่อเวลามาทั้งวันทั้งนี้เพราะ นอกจากพระราชวังแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินชมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นได้อีกด้วย อาทิ Amalienburg ที่นี่จะว่าไปก็อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับพระราชวัง แต่อยู่กลางสวนไปทางทิศตะวันตกโดยห่างไปเพียง 500 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าไปได้ในเวลาเพียงแค่ 7 นาที ยิ่งในฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิ เรียกได้ว่ายังไม่ทันเหงื่อออกก็ถึงแล้ว ระหว่างทางมีดอกไม้และต้นไม้ใหญ่มากมาย ร่มรื่น เดินได้ไม่เบื่อ

ในปี 1734 Karl Albrecht ผู้ปกครองมิวนิคในยุคนั้นได้เริ่มต้นสร้าง Amalienburgไว้สำหรับเป็นที่ประทับเพื่อล่าสัตว์สำหรับ Maria Amalia พระราชธิดาของจักรพรรดิ Joseph Iภรรยาของเขาโดยสร้างอยู่ตรงข้ามตึกMagdalenenklaus บ้านพักตามชื่อเจ้าของบ้านที่ปลูกสร้างตามแนวทางศิลปะแบบ Rococo อย่างวิจิตรพิสดารที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปแห่งนี้ถูกออกแบบด้านสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในโดยช่างและสถาปนิกที่ทำงานในแคว้นบาวาเรียในช่วงเวลานั้น อาทิ Francois Cuvilliesthe Elder สถาปนิกชาวเบลเยียม ส่วนตกแต่งปูนปั้นได้รับการรังสรรค์โดย Johann Baptist Zimmermann จิตรกรยุครอคโคโคชาวเยอรมัน ส่วนงานไม้แกะสลักได้รับการสร้างสรรค์โดย Johann Joachim Dietrich ประติมากรและนักออกแบบยุครอคโคโคชาวบาวาเรีย และตกแต่งสีสันโดย Joseph Pasqualin Moretti สถาปนิกชาวอิตาเลียน

เมื่อเดินผ่านสวน นักท่องเที่ยวอาจเห็นว่าภายนอกของบ้านพักแห่งนี้ดูเรียบๆ คล้ายบ้านคหบดีทั่วไป แม้จะประดับด้วยโดมนิดเหน่อยก็ตาม แต่เมื่อย่างก้าวเข้าไปภายในจะเห็นความหรูหราอลังการที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นตั้งแต่ห้องแรก แต่ละห้องจะมีความแตกต่างกันตามอย่างแนวทางศิลปะรอคโคโคจากฝรั่งเศสที่เน้นความวิจิตรตระการตา ที่นี่มีห้องอยู่หลายห้อง อาทิ ห้องที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Hall of Mirrors ที่ถือเป็นศูนย์กลางของบ้านพัก ส่วนทางใต้ประกอบด้วยห้องสีเหลืองหรือห้องนอน และห้องสีฟ้า ส่วนห้องล่าสัตว์ และห้องไก่ฟ้าหรือห้องอินเดียนจะอยู่ทางทิศเหนือ นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีห้องแต่งตัวห้องเก็บปืน ห้องพักผ่อน และห้องครัวรวมอยู่ด้วยซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวได้ประสบการณ์กับการอยู่บ้านพักแบบนี้ของกษัตริย์หรือคหบดีอย่างแท้จริง

ห้องที่ตกแต่งสวยที่สุดก็คือ Hall of Mirrors ซึ่งสีหลักที่ใช้เป็นสีขาวและสีฟ้าตกแต่งด้วยเงินที่ได้รับการสะท้อนจากแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเสริมความหรูหรา ส่วนห้องนอนก็เป็นอีกห้องที่มีการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงโดยใช้สีมะนาวเป็นพื้นตกแต่งด้วยปูนปั้นสีฟ้า สำหรับฝาผนังโดยรอบก็ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักฝีมือ Johann Joachim Dietrich นักประติมากรงานไม้ที่ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งแห่งยุค งานจิตรกรรมที่ตกแต่งเหนือเตียงนอนเป็นภาพของ Karl Albrecht ผู้ดำริสร้างบ้านพัก และภาพ Maria Amalia เจ้าของบ้านพัก

ห้องล่าสัตว์ติดกับห้องนอนตกแต่งเป็นห้องเล็กๆ ด้วยงานจิตกรรมยุครอคโคโคจากผลงานของ Peter Jakob Horemans ส่วนห้องไก่ฟ้าก็ตกแต่งด้วยบรรยากาศแบบต่างประเทศให้สมกับชื่อห้องโดยตกแต่งฝาผนังด้วยผ้าลินิน และขี้ผึ้งตามแนวทางศิลปะแบบจีน ส่วนห้องหมาและห้องปืนก็ตกแต่งด้วยงานจิตรกรรมเกี่ยวกับการล่าสัตว์ และถ้วยรางวัลจากการล่าสัตว์

นักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสเยี่ยมเยือนอย่างใกล้ชิดเพียงบางห้องเท่านั้น ห้องที่นักท่องเที่ยวชอบมากที่สุดคงไม่พ้นห้องที่หรูหราที่สุด นั่นคือ Hall of Mirrors แต่ห้องที่น่าเป็นที่ชื่นชอบรองลงมาไม่น่าจะเป็นห้องนอน แต่น่าจะเป็นห้องครัวมากกว่า เพราะมีผนังที่ตกแต่งหรูหราดูดีมีระดับ แม้จะใช้อุปกรณ์ที่ยังไม่ทันสมัย แต่ที่สำคัญก็คือสามารถถ่ายรูปได้อย่างใกล้ชิดจนถึงกับแสดงเป็นแม่ครัวได้เองเลยทีเดียว

แหวกฟ้าหาฝัน : เที่ยววังเยอรมัน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/683732

แหวกฟ้าหาฝัน : เที่ยววังเยอรมัน

แหวกฟ้าหาฝัน : เที่ยววังเยอรมัน

วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวสายวังที่มาเยือนมิวนิกสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบไปกันก็คือNeuschwanstein หรือปราสาทที่สวนสนุกชอบสร้างเลียนแบบ แต่มิวนิคไม่ได้มีปราสาทแห่งนี้แห่งเดียวที่น่าสนใจ มิวนิคยังมี Nymphenburg Palace พระราชวังฤดูร้อนที่อยู่ใกล้กับเมืองมากกว่า Neuschwansteinเสียอีกให้เยี่ยมเยือนด้วย การเดินทางไปพระราชวังนี้ก็ง่ายกว่า Neuschwanstein ด้วยซ้ำ เพราะที่นี่สามารถเดินทางโดยรถS หนึ่ง หรือ 2 ต่อแล้วแต่นักท่องเที่ยวจะเลือกเพื่อเดินต่อไปยังพระราชวังได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 20 กว่านาทีเท่านั้น นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายุโรปโดยสายการบินไทยลงมิวนิคตอนเช้าและมาเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปประเทศอื่นตอนบ่ายหรือเย็นก็สามารถเที่ยวได้โดยไม่เสียเวลามากนัก

Nymphenburg Palace เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นจากคำบัญชาของ Ferdinand Maria และ Henriette Adelaide of Savoy โดยมอบหมายให้กับ Agostino Barelli สถาปนิกชาวอิตาลีเป็นคนออกแบบในปี 1664 หลังจากที่Maximillian II Emanuel พระราชบุตรพระองค์แรกพระราชสมภพเพื่อใช้เป็นที่ประทับของพระองค์ หลังจากสร้างอยู่ 10 ปี ในปี 1675 ส่วนกลางของพระราชวังก็เสร็จเรียบร้อยโดยใช้วัสดุหินปูนมาจาก Kelheim หลังจากนั้น พระองค์ก็ต่อเติมพระราชวังเรื่อยๆ จนแทนที่ Blutenburg Castle ในแง่ความใหญ่โตในปี 1701 Maximilian Emanuel รัชทายาทของบาวาเรีย ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองก็ได้ต่อขยายพระราชวังเพิ่มขึ้นทางด้านเหนือและใต้โดยมอบหมายให้ Enrico Zucalli สถาปนิกชาวสวิสเป็นผู้ออกแบบ และให้Giovanni Antonio Viscardi สถาปนิกชาวสวิสยุคบาโรคอีกผู้หนึ่งเป็นผู้ออกแบบส่วนเชื่อมต่อทั้งสองทิศเข้ากับส่วนกลาง

ในปี 1716 Joseph Effner ได้ออกแบบหน้าบันของอาคารส่วนกลางใหม่ให้เป็นแบบFrench Baroque และเพิ่มส่วนของอาคารสีส้มทางตอนเหนือเพื่อให้เกิดความสมดุลมากขึ้นในปี 1758 ซึ่งเท่ากับเป็นการก่อสร้างที่เสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ในปี 1795 Charles Theodoreผู้ปกครองแคว้นบาวาเรียยังต้องการขยายความใหญ่โตของวังอีกจึงได้เพิ่มส่วนสวนขึ้นในปี 1826 เมื่อพระเจ้า Ludwig I ขึ้นครองราชย์พระองค์ได้ให้ Leo von Klenzeสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในสมัยนั้นออกแบบตกแต่งส่วนหน้าบันใหม่ให้มีความอลังการมากขึ้นด้วยการประดับสัญลักษณ์ประจำพระองค์เพิ่ม หลังการตกแต่งเรียบร้อย พระราชวังแห่งนี้กลายเป็นพระราชวังฤดูร้อนที่กษัตริย์ทุกพระองค์ที่มาปกครองแคว้นโปรดปรานมาก แม้แต่ พระเจ้า Charles Albert และ พระเจ้า Max I Joseph ก็เลือกมาสวรรคตที่นี่ และที่นี่ยังเป็นที่ประสูติของพระเจ้า Ludwig II ในปี 1845 ด้วย

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนพระราชวังแห่งนี้ จะสามารถสัมผัสถึงความใหญ่โตทั้งอาคารและสวนได้ตั้งแต่ยังอยู่ไกลจากพระราชวังหลายสิบเมตร เมื่อผ่านประตูเข้าไปก็จะประทับใจกับห้องรับรองด้านหน้าที่หรูหราสวยงามสมกับความเป็นพระราชวังของแคว้นที่ยิ่งใหญ่ และจะได้เยี่ยมชมห้องบรรทม ห้องทรงงาน และห้องอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งที่มากมายนัก เพราะที่นี่เป็นพระราชวังฤดูร้อนสำหรับพักผ่อนแต่ก็เพียงพอที่จะสะท้อนความยิ่งใหญ่และหรูหราสมกับความมั่งคั่งของแคว้นเลยทีเดียว

แหวกฟ้าหาฝัน : เพลิดเพลินกับทะเลสาบคอนสแตน

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/682177

แหวกฟ้าหาฝัน : เพลิดเพลินกับทะเลสาบคอนสแตน

แหวกฟ้าหาฝัน : เพลิดเพลินกับทะเลสาบคอนสแตน

วันอาทิตย์ ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเยอรมนีทางตอนใต้ ในฤดูร้อนไม่เพียงสามารถมีประสบการณ์กับมิวเซียม วัง วัด เฉกเช่นการเยือนยุโรปเหนือทั่วไปที่ทำในฤดูหนาวแล้ว ยังสามารถมีประสบการณ์กับทะเลสาบได้อย่างไม่ยากเย็นด้วย นั่นคือ การไปเยือนทะเลสาบคอนสแตน ทะเลสาบทางตอนใต้ของเยอรมนีที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอีก 2 แห่ง นั่นคือ สวิสและออสเตรีย

ทะเลสาบคอนสแตนนี้ถือกำเนิดจากธารน้ำแข็งไรน์ตั้งแต่ยุคน้ำแข็ง หลังสิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อ 1 หมื่นปีก่อน ส่วนของทะเลสาบประกอบด้วย Obersee และ Untersee ส่วนที่เชื่อมต่อเรียกว่า Seerhein ส่วนของแม่น้ำไรน์ตรงตำแหน่งเทือกเขาแอลป์ หรือ Alpine Rhine นั้น เป็นจุดเริ่มต้นของเขตแดนระหว่างออสเตรียและสวิส โดยน้ำจะไหลเข้าไปยังทะเลสาบจากทางใต้ ส่วนทางเหนือหรือ High Rhine จะไหลจากทิศตะวันตกออกไปยังน้ำตก Schaffhausenซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตแดนระหว่างเยอรมนีกับสวิสจนถึงเมือง Basel ของสวิส

ทะเลสาบที่ชาวเยอรมันใช้ชื่อว่า Bodensee ที่มาจากหมู่บ้าน Bodman นี้ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยุโรปตอนกลางและตะวันตกโดยเป็นรองแค่ทะเลสาบเจนีวา และ Balaton เท่านั้นโดยมีขนาดกว้าง 14 กิโลเมตร ยาว 63 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่536 ตารางกิโลเมตร โดยอยู่เหนือระดับน้ำทะเล395 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทะเลสาบแห่งนี้มีเวลาต่างกัน 5 ช่วงตามความรับผิดชอบของแต่ละประเทศแม้จะมีความยาวเพียงแค่ 46 กิโลเมตร ก็ตามอันเป็นผลมาจากที่นี่เป็นจุดนัดพบของกษัตริย์ของแต่ละประเทศในช่วงที่แต่ละประเทศต่างไม่ลงให้แก่กัน นาฬิกาที่ท่าเรือของแต่ละประเทศจึงต้องมีถึง 3 เรือนโดยตั้งเวลาตามแต่การเข้า-ออกของแต่ละประเทศส่งผลให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติการเดินทางในทะเลสาบอย่างมาก อย่างไรก็ดี ภายหลังประเทศทั้งหมดรอบทะเลสาบได้หันมาใช้เวลาใน time zone เดียวกัน การตั้งนาฬิกาที่ต่างกันตามท่าเรือจึงสิ้นสุดลง

ส่วน Obersee ที่มีพื้นที่ 473 ตารางกิโลเมต รในฝั่งเยอรมนีมีเมืองท่องเที่ยวอยู่หลายเมืองที่เป็นที่นิยม อาทิ Friedrichshafen, Bregenz, Lindau, Meersburg เมืองที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดคือเมือง Meersburg ส่วนเมืองที่เดินทางไปเที่ยวง่ายที่สุดจากเมืองมิวนิกคือ เมือง Lindau

เมือง Lindau เป็นเมืองสำคัญบนเกาะทางทิศตะวันออกของทะเลสาบคอนสแตนซึ่งอยู่ในแคว้นบาวาเรีย เมืองนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยต้นโรมันราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 แต่อยู่ในชื่อ Aeschach ก่อนที่จะมีชื่อปรากฏว่า Lindau ในปี 882 โดยพระสงฆ์จาก St.Gallenในปี 1274 Lindau ก็ได้รับการสถาปนาเป็นรัฐอิสระภายใต้รัชสมัยของพระเจ้า Rudolf I ต่อมาในปี 1528 พลเมืองของเมืองนี้ก็ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปโปรแตสแตน ในปี 1802 Lindau สูญเสียความเป็นรัฐอิสระและเข้าสู่การปกครองของ Karl August von Bretzenheim ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรียก่อนที่ Lindau จะกลับมาเป็นของแคว้นบาวาเรียเยอรมัน ในปี 1853 รัฐบาลแคว้นบาวาเรียตัดสินใจสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมเกาะเข้ากับแผ่นดิน และอีก 3 ปีต่อมาก็ตัดสินใจสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ และสร้างประภาคาร รวมทั้งให้รูปปั้นสิงโตเป็นสัญลักษณ์ของเมือง หลังสงครามโลกครั้งที่สองLindau กลายเป็นส่วนหนึ่งของฝรั่งเศส ก่อนที่จะได้กลับเข้ามาเป็นของแคว้นบาวาเรียใหม่อีกครั้งในปี 1955

นักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนที่ Lindau สามารถเพลิดเพลินกับสิ่งละอันพันละน้อยของเมืองตั้งแต่ บรรยากาศริมทะเลสาบ ประภาคาร ศาลาว่าการเมือง สวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ รวมทั้งร้านไอติมที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทะเลสาบเต็มไปหมด

Town Hall

Town Hall

Lake Constance

Lake Constance