ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07088150858&srcday=2015-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379 |
เก็บตกจาก “แท็กซี่ กูรู”
TAXI MASTER
ทำบุญหรือให้ทาน จะบอกลูกหลาน…อย่างไร?
ช่วงนี้มีข่าวสาระโฆษณาจากกรมการขนส่งทางบกออกอากาศผ่านสื่อต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะข่าววิทยุเมื่อเปลี่ยนเวลาหรือเปลี่ยนรายการ จะมีข่าวสั้นประกาศเชิญชวนผู้ใช้บริการรถแท็กซี่ให้ร่วมประเมินคุณภาพรถแท็กซี่ ส่งตรงถึงกรมการขนส่งทางบกได้ทันที เพียงโหลด Application “DLT Check in” เพิ่มความปลอดภัยใส่ใจบริการ ด้วย 3 ขั้นตอน คือเริ่มต้นเปิดแอพพลิเคชั่นของกรมการขนส่งทางบก ขั้นต่อไปคือระบบแอพพลิเคชั่น โดยลงบันทึกเลขทะเบียนรถแท็กซี่หรือถ่ายรูปทะเบียนเพื่อบันทึกเป็นข้อมูลซึ่งจะมีแบบฟอร์มให้ลงทะเบียนรายละเอียดได้ สำหรับขั้นตอนสุดท้ายคือประเมินความพึงพอใจ และตอบผลการประเมินโดยทำเครื่องหมายในช่องที่ให้ดาวไว้ เช่น ความสุภาพ ความปลอดภัย อัตราค่าโดยสาร ความสะอาด สภาพรถ และความคิดเห็นอื่นๆ ที่จะเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากนั้นสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้โดยการสแกน QR Code หรือสอบถามผ่าน Call Center 1584 ก็ได้ ทุกอย่างไม่มีค่าใช้จ่าย มีผู้ให้คำจำกัดความ DLT Check in นี้ว่า “ตัวช่วยใหม่” จัดระเบียบรถแท็กซี่
ผมเคยเกริ่นเรื่อง DLT กับพรรคพวกในชมรมแท็กซี่ปฏิบัติดีเพื่อสังคมบ้างแล้ว แต่พวกเรามีบางคนไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากนักเพราะคิดว่าเราจะตั้งใจปฏิบัติดีถูกต้องตามกฎระเบียบกติกาแล้วไม่มีอะไรน่าวิตก หมายถึงเรื่องนี้ไม่น่าจะเดือดร้อนสำหรับพฤติกรรมในชมรมเรา แต่สำหรับพรรคพวกที่ขับรถแท็กซี่เก่าๆ เกือบหมดอายุกำลังกังวลกับคำโฆษณาของบริษัทแท็กซี่รุ่นใหม่ที่โชว์ตัวว่าเป็น “แท็กซี่ในฝัน” ของคนอีกกลุ่ม และออกข่าวผ่านสื่อโด่งดัง กลบข่าวการเปิดให้บริการของแท็กซี่ทันสมัยในโลกออนไลน์ตั้งแต่ปีที่แล้วที่เรารู้จักกันว่า “อูเบอร์แท็กซี่” แม้ว่าลักษณะการให้บริการรูปแบบที่เรียกว่าเป็นแท็กซี่แบรนด์ใหม่ทั้ง 2 แบบนี้จะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าครั้งนี้แท็กซี่แบรนด์ใหม่ในฝันได้รับการเปิดตัวโดยกรมการขนส่งทางบกร่วมเป็นแม่งานด้วยจึงถูกสื่อบางช่องพูดว่า แท็กซี่รุ่นเก่าเดิมๆ คงจะต้องร้อนๆ หนาวๆ เป็นแน่ ผมจึงต้องนำข่าวคราวเรื่องนี้มาเปิดประเด็นกับเพื่อนๆ ในชมรมพวกเราให้ตระหนักถึงการปฏิบัติตัวให้ดียิ่งขึ้น อย่าให้ผู้โดยสารคิดสมน้ำหน้าในใจ
พวกเราลองค้นหาเรื่องราวของแท็กซี่แบรนด์ใหม่ในฝัน ที่ใช้รถเก๋งรุ่นใหม่ Hybrid อ้างข้อดีมากมาย จนทุกคนลืมไปว่าต้องเพิ่มเงินอีก 20 บาท ทุกครั้งที่ใช้บริการ ซ้ำยังยืนยันว่าภายในเดือนกรกฎาคมได้ออกมาวิ่งบริการครบ 500 คัน พวกเรารู้ว่าจำนวนแท็กซี่รุ่นเดิมๆ ที่บริการอยู่มีจดทะเบียนไว้ไม่น้อยกว่าแสนคัน นั่นหมายถึงคนขับต้องมีแสนกว่าคน แม้ว่าจะหยุดกะหมุนเวียน หยุดซ่อม หรือหมดอายุไปบ้าง แต่ก็ใช้งานอยู่จริงๆ ไม่ต่ำกว่า 80,000 คัน พวกเรามองตากันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งที่ทางกรมการขนส่งทางบกร่วมเปิดตัว บอกว่า รถแท็กซี่แบรนด์ใหม่ที่ออกมาอีก 500 คัน คงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับแท็กซี่กลุ่มเดิม มีเพื่อนคนหนึ่งแซวว่า เราโต้แย้งไม่ออกเพราะน้ำท่วมปาก แต่อีกหลายคนในกลุ่มประชดว่า ทำอย่างไรได้ รถเก่าๆ อย่างพวกเรา ไม่ได้ติดตั้ง GPS Tracking ตรวจสอบตำแหน่งรถ ไม่มีติดตั้ง CCTV ทั้งภายนอกภายในรถ พวกเราไม่ได้แต่งฟอร์มเสริมบุคลิก เราไม่มีป้ายบอกเลขความเร็วหลังรถ เราไม่มีแอพให้ลูกค้าเรียกจองหรือเรียกบริการ พวกเราจึงต้องขับตระเวนบอกทุกๆ คนว่าพวกเรา “ว่าง” มีเพื่อนอีกคนพูดตลกเชิงน้อยใจว่า มีอยู่วันหนึ่งผู้โดยสารเรียกถามเขาว่า “พี่แท็กซี่จะไปทางไหนจ๊ะ ฉันจะติดรถไปลงทางผ่านนั้นด้วยจะได้ช่วยจ่ายค่าก๊าซ” คิดดูซิ เขากลัวว่าเราจะปฏิเสธผู้โดยสารจึงประชดประชันเรา
ทุกคนทราบข่าวรับสมัครพนักงานขับรถแท็กซี่แบรนด์ใหม่ในฝัน มีสมาชิกในชมรมเราคนหนึ่งรถหมดอายุตามระเบียบกรมการขนส่งทางบก รู้สึกเครียดกับวิถีชีวิตคงจะไปดื่มน้ำเปลี่ยนนิสัยช่วงไปสมัครงานเขาให้ลองขับรถ ปรากฏว่าในรถมีเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จึงถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงาน เนื่องจากบริษัทแท็กซี่นี้เขาจะจ่ายเงินเดือนประจำให้พนักงาน แต่ครอบครัวเขายังโชคดี ส่งภรรยาไปสมัครได้รับการพิจารณารับเข้าเพราะเขามี Lady Taxi เป็นพนักงานไว้เมื่อผู้โดยสารต้องการคนขับรถเป็นผู้หญิง ผมคิดในใจว่า เรามีคู่แข่งน่ากลัวแล้ว
ช่วงเข้าพรรษานี้ผมยังคง “ท่องไปในเส้นทางบุญ” กับผู้โดยสารที่ใช้บริการไปทำบุญตามวัดต่างๆ ทำให้รู้จักวัดหลายแห่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยได้ยินเพียงชื่อ หลายสถานีวิทยุเปิดเพลงแนวพุทธศาสน์บ่อยๆ เช่น เพลงพระรัตนตรัย เพลงรางวัลชีวิต หรือเพลงเกี่ยวกับชะตาชีวิตบนดวงดาว ผมนึกถึงเพลงหนึ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมามากกว่า 40 ปีแล้ว ชื่อเพลง Look for a Star โด่งดังมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1960 คนขับร้องชื่อ Garry Miles ชอบเนื้อร้องทุกตอนแต่ประทับใจท่อนสุดท้ายที่ว่า “If you wish on your lucky star You”re sure to find someone to love A rich man, a poor man, a beggar. No matter whoever you are there”s a friend who”s waiting to guide you look for a star.” แล้วจึงย้อนไปถึงช่วงเด็กๆ ที่เคยได้ยินพี่ๆ ล้อเลียนแปลงบทกลอนว่า “เผย Window โผล่เห็น Moon ขึ้นขอบฟ้า ล้วน Stars ล้อมรอบขอบบุหลัน I not see your face มาหลายวัน เชิญจอมขวัญตอบ Letter อย่าเผลอเอย” ผมเผลอยิ้มคนเดียวลืมนึกถึงที่จะเข้าชมรมโชว์เนื้อเพลง พอดีมีผู้โดยสารโบกมือเรียกบอกให้ไปส่งที่วัด
ผู้โดยสารบอกว่าขอให้ย้อนเข้าในซอยเพื่อไปรับหลวงพ่อและขนปัจจัยไทยธรรม กลับวัดให้ทันก่อน 6 โมงเย็น เพื่อทำวัตรช่วงปฏิบัติศาสนกิจเข้าพรรษา พระท่านขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่คนขับบอกว่าโยมบ้านนี้ถวายของเป็นทานมากมาย จึงให้ขนขึ้นไปนั่งเฝ้าเบาะหลัง ผมแปลกใจว่าโยมถวายของทำบุญปัจจัยไทยธรรม ทำไมพระคุณเจ้าจึงพูดว่าเป็นทาน ทำไมไม่เอ่ยคำว่า “ทำบุญ” ท่านมองหน้าผมคงจะเข้าใจว่าผมสงสัยที่ท่านพูด ท่านจึงพูดต่อว่า “ไม่ต้องงงหรอกโยมแท็กซี่ เมื่อตอนเพลก็เทศน์เรื่องการทำบุญทำทานให้เข้าใจแล้ว ถ้าโยมแท็กซี่จะอาราธนาก็จะเทศน์อีก” ผมยกมือสาธุนมัสการท่านบอกว่า “ขับดีๆ เถอะไม่อาราธนา อาตมาก็จะเทศน์”
ท่านเริ่มว่า “คนเรามักจะคิดว่าการทำบุญคือการถวายของแก่พระ ส่วนให้ทานคือการให้กับคนทั่วไป ชาวบ้าน หรือคนตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งเป็นการเข้าใจที่เพี้ยนๆ กันมานานแล้ว ความจริงตามหลักพระศาสนา คำว่าทานนั้น มีความหมายกลางๆ จึงถูกแยกกันว่า ทำบุญกับให้ทาน จริงๆ แล้วการถวายของแก่พระที่เราเรียกว่าทำบุญนั้น ก็เรียกว่า “ทาน” เช่น ถวายแก่สงฆ์ ก็เรียก สังฆทาน ทำบุญทอดกฐินก็เรียกว่า กฐินทาน ทำบุญทอดผ้าป่าก็เป็น บังสุกุลจีวรทาน ถวายสิ่งก่อสร้างในวัดก็เรียก เสนาสนทาน หรือวิหารทาน เห็นมั้ยว่า เป็นการทำทานทั้งนั้น ทานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำบุญ จนลืมกันว่าวิธีทำบุญยังมีอีกหลายวิธี การให้ทานกับใครก็เป็นบุญทั้งนั้น อย่าเข้าใจว่าได้บุญต้องถวายกับพระอย่างเดียว หรือจะรู้ว่าได้บุญมากบุญน้อยก็ได้นะ”
การจราจรไม่คล่องตัวนัก รถไปได้เรื่อยๆ โยมที่ถวายสังฆทานนั่งหลับเบาะหลัง พระคุณเจ้านิ่งเหมือนจะดูว่าผมสนใจฟังต่อหรือไม่ ผมหันมาปุจฉากับท่านว่า บุญมากน้อยวัดได้อย่างไรขอรับพระคุณเจ้า ท่านหันมามองผมอย่างสมณเจ้า แล้วพูดต่อว่า “ก็อยู่ที่ตัวผู้ให้ คือทายกทายิกา คือโยมๆ นั่นแหละมีเจตนาอย่างไร และผู้รับคือ ปฏิคาหก มีคุณความดีแค่ไหน และวัตถุทาน หรือของที่ให้หรือไทยธรรม มีความบริสุทธิ์มีความสมควรยังประโยชน์ได้เพียงใด ถ้าหากว่าปฏิคาหกคือผู้รับ เป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมดี ก็จะเป็นบุญมาก แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี เป็นโจรผู้ร้าย เราก็ได้บุญน้อย เพราะเขาอาจจะนำไปใช้ในสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรได้ สำหรับวัตถุสิ่งของที่ถวายหรือให้เป็นทาน ถ้าได้มาโดยบริสุทธิ์เป็นประโยชน์ มีคุณค่าเหมาะแก่ผู้รับก็จะเป็นบุญมาก แล้วส่วนตัวผู้ให้ทานก็ต้องมีเจตนาที่เป็นบุญกุศล ตั้งใจดี และถ้าเจตนานั้นประกอบด้วยปัญญาก็ยิ่งได้บุญมากเช่นกัน ดังนั้น การให้ทาน จึงได้บุญ ไม่ใช่เฉพาะถวายพระ และคำว่าบุญ ไม่ใช่แค่ให้ทาน”
ก่อนจะถึงซอยเข้าวัด ท่านย้ำว่า ไทยธรรมแปลว่าสิ่งที่จะพึงให้หรือของที่ควรให้ แล้วบอกว่า การทำบุญเรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ” ซึ่งมี 3 อย่างคือ ทาน การให้เผื่อแผ่แบ่งปัน ศีล การประพฤติสุจริต ไม่เบียดเบียนใคร และ ภาวนา คือ ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ เจริญปัญญาทั้งทานศีลภาวนาก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง และสูงขึ้นตามลำดับด้วย ศีลเป็นบุญสูงกว่าทานภาวนาเป็นบุญสูงกว่าศีล แต่เราสามารถทำพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง จึงเรียกว่า “ทำบุญ” ที่แท้จริง
รถเข้าประตูวัดท่านหันไปปลุกโยมที่มาด้วยกัน แต่ยังพูดต่ออีกว่า “โยมทำบุญแล้วพระก็อนุโมทนาคือ แสดงความพลอยยินดีด้วยกับโยมที่ได้ทำบุญเพราะทำดีงาม ทำถูกต้อง พระจะบอกว่าบุญที่ทำนี้เกิดผลเกิดอานิสงส์ ผลดีจากทานศีลภาวนาอย่างไร ทำบุญทำที่ไหนก็ได้ ทำอะไรถ้าทำเป็นก็ได้บุญ ถวายทานที่วัดแล้วก็ให้ได้ศีลภาวนาครบบุญพร้อม อย่าลืมนะ ทางที่จะให้ทานมีเยอะ เรื่องบุญก็มีมากมาย ทำด้วยปัญญา ก็จะได้ “คุณภาพชีวิต” อยู่ในบุญนั้นด้วย โยมแท็กซี่ช่วยขนของขึ้นกุฏิก็ถือว่าทำทานรับบุญไปด้วยนะ เจริญพร”
สรุปความจาก หัวข้อ “ก้าวไปในบุญ” จากหนังสือ คู่มือชีวิต พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)