ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07083150858&srcday=2015-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379 |
เศรษฐกิจชาวบ้าน
ภ.พชร อาจารย์พิเศษ ภาควิชาการตลาด คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา
“น่าน” ประสบการณ์ในเมืองเก่าที่มีชีวิต
ลักษณะการบินแบบเดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย สลับกับการเร่งเครื่องยนต์แบบไม่เป็นจังหวะ ในช่วงสุดท้ายของการบิน ประกอบกับเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขณะที่ยางล้อของเครื่องบินกำลังบดไปบนพื้นคอนกรีต พร้อมๆ กับเสียงดังกึกบริเวณใต้ที่นั่ง บอกให้ทราบว่าโช้กอัพที่อยู่ติดกับแกนล้อใต้ท้องเครื่องบิน คงต้องจำใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ระคนกันกับเสียงของจานเบรกที่ต้องรองรับการเสียดสีจากผ้าเบรกอย่างรุนแรง ปล่อยให้ผู้โดยสารบนเครื่องหลายคนบนที่นั่งถึงกับเซไป เหล่านี้บอกให้เราทราบว่า นักบินที่หนึ่งระดับครูการบิน คงจะปล่อยให้นักบินที่สอง ได้ทดลองนำเครื่องบินร่อนลงจอด เพื่อเพิ่มประสบการณ์การบินของนักบินมือใหม่บางคน ประสบการณ์ของผู้เขียนในฐานะนักเดินทาง ก็คงจะเพิ่มขึ้นไม่ต่างกันกับนักบินมือสองในเครื่องหางแดงลำนี้มากนัก โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจแบบฮาร์ดแลนดิ้งแบบนี้
โดยในคราวนี้ผู้เขียนบังอาจเปลี่ยนแปลงตัวเองจากนักท่องเที่ยว กลายมาเป็นนักเดินทาง ซึ่งบอกตามตรง ไม่มีอะไรจะมาวัดให้ได้อย่างเป็นทางการ เพียงแค่ความรู้สึกที่พัฒนาไป ก็เท่านั้น เพราะการมา “จังหวัดน่าน” ในครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ความตื่นเต้นที่ได้รับจากความแปลกใหม่ของสภาพแวดล้อม บรรยากาศของการใช้ชีวิตแบบชาวเมืองเหนือ และสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบายตลอดวันแบบนั้น จึงลดลง กลายมาเป็นความตื่นเต้นที่เกิดจากการที่ได้รับทราบข่าวว่า มีกลุ่มคนในชุมชนบางกลุ่ม พยายามที่จะพัฒนาตนเองให้สามารถทำมาหากินเลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมันได้กลายมาเป็นความตื่นเต้น ที่น่าค้นหา น่ายกย่อง และน่าเอาเป็นตัวอย่าง สำหรับชุมชนเข้มแข็งอื่นๆ อีกนับหมื่นแห่งทั่วประเทศ รวมถึงบุคคลผู้แสวงหาตัวอย่างในการดำเนินชีวิตตามรอยเศรษฐกิจแบบพอเพียง
ตามคำขวัญของ อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐบุรุษในใจตลอดกาลของผู้เขียน จอมพล แปลก พิบูลสงคราม “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ” เมื่อปี พ.ศ. 2481 แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ ในปี พ.ศ. 2558 สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ด้วยการบริหารบ้านเมืองแบบทุนนิยมเต็มรูปแบบในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา นายทุนต่างชาติเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรแทบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ทรัพยากรการท่องเที่ยว มีการตั้งให้คนไทยเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรมในเกือบทุกประเภท เพื่อหลบหนีกฎหมายอันคร่ำครึที่เคร่งครัดของบ้านเมือง สถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยก็กลับกลายมาเป็น “ไทยทำ ไทยใช้ นายทุนเจริญ” แต่ก็ยังมีบางองค์กรที่มองเห็นส่วนเหลื่อมในด้านนี้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” จึงเริ่มพัฒนาขึ้น เพื่อให้ในท้ายที่สุด “ชุมชน” จะได้เป็นผู้เล่นสำคัญที่จะแย่งชิงรายได้มาจากเหล่าบรรดานายทุน และนอมินีทั้งหลายเหล่านั้น
สำหรับชุมชนทั้ง 28 ชุมชนในตัวเมืองน่านและที่ใกล้เคียง (ชุมชน ตำบลในเวียง และชุมชนบ้านหนองเต่า) กับอีก 1 ชุมชนของหมู่บ้านบ่อสวก ตำบลบ่อสวก อำเภอเมือง จังหวัดน่าน นี่จะเป็นการประเมินครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของ “โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน” ซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 4 ปีที่จะต้องมีการประเมินเป็นระยะๆ ปีละ 1 ครั้ง และผู้เขียนก็ได้กลายมาเป็นอาสาสมัครนักท่องเที่ยว อย่างเป็นทางการ ของโครงการนี้ ตลอดการเดินทางตามโปรแกรมทั้ง 4 วัน ร่วมกับคณะกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกรวมทั้งหมด 7 ท่าน
ในโปรแกรมการเดินทาง ซึ่งนอกจากจะเป็นการเดินทางไปเที่ยวชมยังโบราณสถาน และสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมประเภทต่างๆ เช่น พระธาตุแช่แห้ง จิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์ เตาเผาโบราณบ้านจ่ามนัส หอประวัติศาสตร์โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษา และการฟ้อนล่องน่าน ณ วัดมหาโพธิ ซึ่งจัดการโดยชุมชนเองทั้งหมดแล้ว ยังเพิ่มขึ้นมาในเรื่องของการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการดำเนินกิจกรรมตามหลักวิชาการ ของส่วนผสมทางการตลาดในฐานะผู้ให้บริการ อันมีหลัก 4P (Product, Price, Place, Promotion) สำหรับสินค้าที่จับต้องได้ + 3P (People, Physical Evidence, Process) สำหรับงานด้านการบริการ เช่น การปั่นจักรยานชมตัวเมือง ชมวิถีชีวิตของชาวเมืองน่าน การใส่บาตรในตอนเช้า การเดินเลือกซื้อของในตลาดเช้า กิจกรรมการรำวงมะเก่า กิจกรรมการทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ กิจกรรมการทอผ้าฝ้าย กิจกรรมการทำต้นดอก กิจกรรมการทำตุงค่าคิง กิจกรรมการปั้นหม้อดิน และกิจกรรมการเยี่ยมชมโรงเพาะเห็ดภูฏานดำ เป็นต้น
โดยหลังจากที่กิจกรรมท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่มเสร็จสิ้นลง ก็จะมีการพูดคุยกันในเชิงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการถามตอบข้อสงสัย โดยเมื่อพูดถึงคณะกรรมการ ก็คือบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ตรงในด้านการจัดการชุมชน ซึ่งเป็นผู้ให้คะแนนในด้านต่างๆ ผู้ทรงคุณวุฒิ ก็คือผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่มาจากหลากหลายกิจการ กิจกรรมการท่องเที่ยว ทั้งแบบอินเซ็นทีฟ แบบท่องเที่ยวดูงาน และแบบเชิงนิเวศน์ รวมผู้เขียนอีก 1 หน่วย โดยสิ่งที่คณะกรรมการทั้ง 3 ท่านลงคะแนนก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพของการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งมีมากมายหลายข้อ แต่ผู้เขียนจะยกเรื่องมาตรฐานการท่องเที่ยวแบบสร้างสรรค์ ทั้ง 10 ข้อมาให้ดูกัน เผื่อมีท่านผู้อ่านที่เป็นสมาชิก อบต. อบจ. ที่ไหนจะสนใจ
คุณสมบัติของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ มีดังนี้ 1. ผู้ท่องเที่ยวและเจ้าของบ้านมีความผูกพันระหว่างกัน 2. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม 3. มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทางวัฒนธรรมของพื้นที่ท่องเที่ยว 4. ประสบการณ์จากการมีส่วนร่วม 5. มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน/ส่งผ่าน-ส่งต่อประสบการณ์ 6. เป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่าเป็นผู้ชม 7. นักท่องเที่ยวมีโอกาสพัฒนาศักยภาพในการสร้างสรรค์ของตนเองและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 8. ความจริงแท้ทั้งในกระบวนการการผลิตและผลิตภัณฑ์, ประสบการณ์จริง 9. จดจำประทับใจ, เข้าใจ 10. การท่องเที่ยวแบบจำเพาะเจาะจง
และสำหรับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง หลังจากได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน กับ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในครั้งนี้ ก็ค้นพบว่า ชุมชนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ในฐานะของ การสร้างความแตกต่างทางการตลาด (Differentiation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างมีประสิทธิผล ให้เป็นจุดเด่นเหนือชุมชนอื่น โดยในแก่นแกนของความรู้หลักที่อาจจะหลงลืมไปก็คือ ในเรื่องทางสายกลาง ซึ่งประกอบไปด้วย ห่วงที่ 1 คือ พอประมาณ ห่วงที่ 2 คือ ความมีเหตุผล ซึ่งทั้ง 2 ห่วงนี้ต้องใช้หลักการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างเข้มข้น ในการกำหนดคุณภาพ ขอบเขต และปริมาณ ของกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ห่วงที่ 3 คือ การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง ซึ่งก็คือการมีความรู้อย่างเท่าทันในศาสตร์ต่างๆ ของระบบทุนนิยม และต่อยอดด้วยการนำศาสตร์ต่างๆ เหล่านั้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาได้อย่างเหมาะสม
แต่ไม่ว่าผลการประเมินจากคณะกรรมการทั้ง 3 ท่าน จะส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 กลุ่มอย่างไร ผู้เขียนก็เชื่อว่าผลสะท้อนที่ส่งกลับมายังแต่ละชุมชนเอง รวมถึงสังคมที่อยู่รอบด้าน ในด้านการพัฒนาตนเองเพื่อให้อยู่รอด และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ในกระแสทุนนิยมอันเชี่ยวกราก ประกอบกับนโยบายขององค์กรในรูปแบบของ การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ไม่กระจุกตัวอยู่กับทุนใหญ่ ย่อมเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญ ที่มีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และมีความยั่งยืน ยิ่งไปกว่าตัวเลขกลมๆ ที่ได้จากค่าจีดีพี ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดที่มีแต่ประสิทธิภาพ แต่ไร้ซึ่งประสิทธิผลของฝ่ายทุนนิยม เพียงแต่ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องจะเลือกยืนอยู่ในฝั่งใด…ขอขอบคุณ คุณสุเทพ เกื้อสังข์ ผู้อำนวยการสำนักท่องเที่ยวโดยชุมชน องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) และ คุณกันตพงษ์ ธนเนืองโรจน์ ที่ปรึกษาประธานด้านตลาดในประเทศ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
มีคำถามเรื่องอาชีพ ยินดีตอบทุกประเด็น ฝากคำถามมาได้ที่ อีเมล p.bhachara@gmail.com