ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07072150858&srcday=2015-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 379 |
หมุดไมล์
โดย ผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ม่วนหลายสไตล์อีสานใต้ ตอนที่ 2
สวัสดีครับแฟนานุแฟน หวังว่าทุกท่านสบายดีนะครับ
หมุดไมล์ฉบับนี้ ยังคงพาท่านไปเที่ยวแบบม่วนหลายที่อีสานใต้กันต่อนะครับ เช้าตรู่ที่เมืองสุรินทร์ (เรามาจากศรีสะเกษครับ มานอนที่สุรินทร์) เราก็ออกไปใส่บาตรที่ตลาดใกล้โรงแรมกันครับ แล้วก็จะได้เที่ยวสุรินทร์ให้หนำใจครับ
เมืองสุรินทร์ เป็นเมืองช้างครับ ในอดีตนั้นกลุ่มบรรพชนคนสุรินทร์เรียกกันว่าพวกส่วย ซึ่งอพยพข้ามลำน้ำโขงมาตั้งชุมชนที่เมืองต่างๆ ในแถบภูมิภาคนี้ รวมถึงที่บ้านอัจจะปะนึ่งและบ้านกุดปะไท ในเขตอำเภอสังขะและอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ คนเหล่านี้มีความสามารถในการจับช้างป่าและนำมาฝึกฝนไว้ใช้งานเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2306 หลวงสุรินทร์ภักดี (เชียงปุม) หัวหน้าหมู่บ้านเมืองที ได้ย้ายหมู่บ้านมาตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านคูประทาย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีชัยภูมิเหมาะสม มีกำแพงค่ายคูล้อมรอบ 2 ชั้น และมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การประกอบอาชีพและอยู่อาศัย ต่อมาพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็น “เมืองประทายสมันต์” และหลวงสุรินทร์ภักดีได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองประทายสมันต์ในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์เป็นเมืองสุรินทร์ตามสร้อยบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองในขณะนั้น เมืองสุรินทร์มีเจ้าเมืองปกครองสืบเชื้อสายกันมารวม 11 คน จนถึงปี พ.ศ. 2451 มีการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการแผ่นดินเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลเมืองสุรินทร์ จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดสุรินทร์และทางกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งพระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม สุมานนท์) มาดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนแรก
นี่เป็นประวัติเมืองคร่าวๆ ครับ เพราะเราต้องรู้ที่มาที่ไปของตนเองก่อน มาจากไหนและจะไปไหนกันบ้าง
แต่สำหรับที่เที่ยวแล้ว สุรินทร์มีแหล่งศึกษาเรียนรู้มากมายครับ ทั้งที่ ปราสาทยายเหงา ปราสาทซึ่งเป็นปราสาทอิฐ 2 หลัง หน้าบันของปราสาทหลังใต้มีลวดลายกรอบหน้าบันและปลายกรอบซุ้มรูปนาคมีกระบังหน้า ทำให้สามารถกำหนดอายุได้ว่าควรมีอายุอยู่ในสมัยนครวัด และปราสาทแห่งนี้ยังแสดงความเป็นศิลปะขอมแบบพื้นเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างแท้จริง เพราะยังคงก่อสร้างด้วยอิฐอยู่นั่นเอง จากนั้นไปต่อกันที่ ปราสาทภูมิโปน เป็นปราสาทอิฐ 3 หลัง ที่ปัจจุบันยังหลงเหลือร่องรอยทับหลังศิลปะแบบไพรกเมงให้เห็นบ้าง สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่รับวัฒนธรรมเขมรโบราณ ที่เรียกว่าเจนละบก ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในสุรินทร์และของภาคอีสาน
ปิดท้ายกันที่ ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง ปราสาทที่งดงามที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ มีลักษณะเป็นปราสาทอิฐจำนวน 5 หลัง มีการสันนิษฐานว่าได้มีการบูรณะในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง เนื่องจากได้พบจารึกอักษรธรรมอีสานที่กรอบประตู และส่วนยอดที่คล้ายกับเจดีย์ในศิลปะลาว พร้อมชมทับหลังรูปศิวนาฏราชและเสาหินทรายจำหลักสลักเป็นรูปนางอัปสราถือดอกบัว 2 ตน ที่พบเห็นได้เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
กลางวันนี้จะได้ทานไก่ย่างไม้มะดันครับ ไก่ย่างรสเด็ด ขนานแท้ ที่ต้องใช้ไม้มะดันก็เพราะว่าเนื้อไม้มะดันมีความเหนียว ไม่ไหม้ไฟง่าย เมื่อย่างแล้วจะให้กลิ่นหอม ไก่ที่คลุกเคล้าเครื่องเทศแบบ “บ้านๆ” ผนวกกับการปิ้งเตาผ่าน ยิ่งขจรกลิ่นไปไกลหลายร้อยโยชน์ ถ้าได้ทานกับแจ่วอีสานใส่ข้าวคั่วใหม่ๆ พริกป่นรสแซบ ก็ต้องบอกว่าแซบหลายสไตล์อีสานละครับ
จังหวัดในอีสานใต้นั้นมักถูกค่อนขอดว่าแห้งแล้งบ้าง ยากจนบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพราะสายตาคนที่มักมองว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นครับ เพราะเท่าที่ดูก็มีความอุดมสมบูรณ์เหลือคณานับ ที่สำคัญคือรวยน้ำใจเหลือเกินครับ ขอให้ลองมาเที่ยว ชม ชิมกัน แล้วจะประทับใจในถิ่นอีสานใต้ครับ ร้านของฝาก เช่น ร้าน 5 ดาวในเมืองนั้น มีสรรพสินค้าให้ท่านเลือกชมได้อย่างจุใจ ไม่รีบครับ ทั้งกุนเชียง หมูแปรรูป ข้าวสาร และขนมอีกมากมาย แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่าเรากลับเครื่องบินกันนะครับ
โปรแกรมทัวร์ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะมติชน อคาเดมี จะพาท่านไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ เพื่อชมประวัติความเป็นมาของเมือง เรื่องราววัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของผู้คนในบริเวณอีสานใต้ และจะได้ไปเลือกซื้อผ้าไหมราคางามที่หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าสว่าง หรือ กลุ่มทอผ้าไหมจันทร์โสมา ดูแลและสร้างสรรค์โดย อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย เลือกชมและเลือกซื้อในราคาแบบกันเองได้ตามอัธยาศัย
นอกจากนี้ ยังจะแวะไปสักการะ ปราสาทจอมพระ ปราสาทขนาดกลางที่สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาแบบมหายาน และยังเคยเป็นอโรคยศาลาในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และปิดท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯ ด้วยการไปชมความน่ารักของช้างที่ ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง พื้นที่ที่มีการเลี้ยงช้างมากที่สุดในโลก ร่วมพิธีบวงสรวง ศาลปะกำ ของหมอช้างชาวกูย กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความรู้ทางด้านคชศาสตร์เป็นอย่างดี จากนั้นร่วมเรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากที่อื่นของคนและช้าง
ท่านใดจะนอนให้ช้างเหยียบ ช้างนวด ก็ตามอัธยาศัยครับ ส่วนผมจะเป็นตากล้องให้ด้วยความยินดี
ในวันที่ 28-30 สิงหาคม 2558 นี้ เตรียมพบกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม “เที่ยวปราสาทหินถิ่นอีสานใต้ 3 จ.สุรินทร์-ศรีสะเกษ” ที่มติชน อคาเดมี จะนำพาทุกท่านได้ร่วมแสวงหาและค้นคำตอบ เกร็ดความรู้ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 954-3977-85 ต่อ 2123, 2124 (จันทร์-ศุกร์) (082) 993-9097, (082) 993-9105 (เสาร์-อาทิตย์) http://www.matichonacademy.com และ https://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand