ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07082010958&srcday=2015-09-01&search=no
| วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380 |
บัญชีธุรกิจ
วิโรจน์ เฉลิมรัตนา virojch@yahoo.com
ภาษีมรดก
ในที่สุด สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ผ่านร่างกฎหมายภาษีมรดกและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 5 สิงหาคม 2558 มีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันถัดไป
กฎหมายฉบับนี้ใช้ชื่อว่า “ภาษีการรับมรดก” จึงมีความหมายว่า ผู้ที่ได้รับมรดกจากเจ้ามรดก ต้องเสียภาษีจากมูลค่าของทรัพย์มรดก ใครก็ตาม เมื่อได้รับมรดกก็จะมีภาระต้องเสียภาษีจากมูลค่าของมรดกที่ตนได้รับนั่นเอง
ทรัพย์สินอะไรบ้างที่ต้องเสียภาษี
มรดกที่ต้องเสียภาษี ได้แก่ ทรัพย์สิน 5 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. อสังหาริมทรัพย์
2. หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
3. เงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
4. ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน
5. ทรัพย์สินทางการเงินอื่นที่จะมีการกำหนดเพิ่มเติมในภายหลัง
มรดกที่เป็นอสังหาริมทรัพย์จะถือมูลค่าตามราคาประเมินของกรมที่ดิน หลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะใช้มูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์นั้นในเวลาสิ้นสุดเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ได้รับมรดก เงินฝากจะใช้มูลค่าตามยอดที่ฝากกับสถาบันการเงินไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากหรือบัตรเงินฝาก หากเงินฝากเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ก็ต้องแปลงค่าเป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนด (จะกำหนดในกฎกระทรวงในภายหลัง)
ยานพาหนะจะใช้ราคาตลาดในขณะที่ได้รับมรดก อาจเป็นราคาตลาดรถมือสองของรถรุ่นเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกันหรือเทียบเคียงกัน (หลักเกณฑ์ที่ชัดเจนต้องรอกฎกระทรวง)
ถ้ามีพระเครื่อง ทองคำ นาฬิกา ภาพวาดราคาแพง ศิลปะรูปปั้น ของโบราณ พระพุทธรูป ทรัพย์สินเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีมรดกทั้งสิ้น
รายละเอียดเหล่านี้คงมีออกตามมาในช่วง 180 วันก่อนที่จะบังคับใช้ โดยส่วนใหญ่จะออกในรูปกฎกระทรวง หรือแนวปฏิบัติต่างๆ จากกรมสรรพากร เพื่อระบุวิธีการและแบบฟอร์มที่จะต้องใช้ในการเสียภาษีมรดก
ในตัวกฎหมายมรดก ระบุว่า ภาษีมรดกเสียในอัตราร้อยละ 10 แต่หากถ้าผู้ได้รับมรดกเป็นบุพการี หรือผู้สืบสายเลือด (Descendants) ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 (ภาษากฎหมายเขาใช้คำว่า “ผู้สืบสันดาน”)
เงื่อนไขในการเสียภาษีมรดกนั้นกำหนดให้เสียร้อยละ 5 ของมูลค่ามรดกที่เกินกว่า 100 ล้านบาท ถ้าได้รับมรดกมูลค่า 90 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าได้มรดก 101 ล้านบาท ก็เสียภาษี 50,000 บาท (ร้อยละ 5 จากมูลค่าที่เกินกว่า 100 ล้านบาท เท่ากับ 1,000,000 x 5% = 50,000)
หากมรดกที่ได้เป็นที่ดิน และราคาประเมิน ณ วันที่ได้รับมรดกเท่ากับ 80 ล้านบาท การรับมรดกดังกล่าวก็ไม่มีภาษีต้องเสีย หากมรดกที่ได้ประกอบด้วยทรัพย์สินหลายๆ ประเภท และเข้าข่ายทรัพย์สิน 4 ประเภทที่ระบุไว้ข้างต้น ก็ต้องหามูลค่าทรัพย์สินแต่ละชนิดและดูมูลค่ารวมของทรัพย์มรดกทุกชนิดที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีว่ามีมูลค่าถึง 100 ล้านบาทหรือไม่ เกินเท่าไรก็เสียภาษีจากมูลค่าที่เกินนั้น หากมีทายาทผู้ได้รับมรดกมากกว่า 1 คน ต้องแต่งตั้งให้ทายาทคนหนึ่งเป็นตัวแทนในการเสียภาษีมรดกของทายาททุกๆ คน หากตกลงกันไม่ได้ ให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อตั้งผู้จัดการมรดกดำเนินการ
พอคำนวณออกมาเป็นตัวเลขแล้ว จะเห็นว่า ภาษีมรดกที่ออกมานี้ เสียภาษีกันน้อยมากๆ น้อยจนอดสงสัยไม่ได้ว่า จะออกกฎหมายมาเก็บภาษีมรดกทำไม เพราะผู้ได้รับมรดกมูลค่า 101 ล้านบาท รัฐเก็บภาษีได้เพียง 50,000 บาท เท่านั้น
และหากมูลค่ามรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท รัฐจะไม่ได้เงินภาษีแม้แต่บาทเดียว แล้วอย่างนี้จะสอดคล้องกับหลักการจัดเก็บภาษีข้อที่ว่า ต้องมีต้นทุนการจัดเก็บไม่มากและคุ้มกับภาษีที่เก็บได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ออกมาระบุว่า รัฐคาดหมายว่าจะจัดเก็บภาษีมรดกได้ปีละ 5-6 พันล้านบาท ต่อปี
ส่วนบทลงโทษนั้น หากไม่นำส่งภาษีจะมีเบี้ยปรับ 1 เท่าของเงินภาษีที่ไม่นำส่ง หากนำส่งแต่ส่งขาดมีเบี้ยปรับ 50% ของภาษีที่นำส่งขาด นอกจากเบี้ยปรับยังมีเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ส่งขาดแต่ไม่เกินเงินภาษีที่ต้องเสีย
นอกจากเบี้ยปรับและเงินเพิ่มยังมีโทษปรับตามพฤติการณ์อีกต่างหาก เป็นทั้งโทษจำและโทษปรับ ตั้งแต่ 1-2 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 บาท, 200,000 บาท, 400,000 บาท และ 500,000 บาท แล้วแต่กรณี
ไม่น่าสงสัยว่าทำไมกระแสต่อต้านกฎหมายฉบับนี้จึงแทบจะไม่มีให้ได้ยินเลย เพราะคนที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีมรดกฉบับนี้มีน้อยมาก แม้แต่คนที่มีทรัพย์สินเข้าข่ายต้องเสียภาษีมรดกก็ดูจะเสียภาษีในจำนวนไม่มาก เชื่อว่าในช่วงหลังจากนี้ เศรษฐีทั้งหลายคงทยอยโอนทรัพย์สินให้ลูกเพื่อให้ในอนาคตไม่ต้องไปเสียภาษีมรดกเพราะยังมี “ภาษีการให้” ที่เรียกว่า Gift Tax ที่ระบุว่าการโอนทรัพย์สินที่พ่อแม่โอนให้ลูก” ถ้าไม่เกิน 20 ล้านบาท ก็ได้รับยกเว้นภาษีอีกด้วย