มูลคดีเกิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07089010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 380

ฎีกาธุรกิจ

โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th

มูลคดีเกิด

สั่งซื้อสินค้ากับพนักงานบริษัทที่ออกเดินสายขายสินค้าในจังหวัดอันเป็นที่ตั้งร้านค้า พนักงานส่งคำสั่งซื้อสินค้ากลับไปยังบริษัทผู้ผลิตในอีกจังหวัดให้อนุมัติ เมื่อรับอนุมัติแล้วผู้สั่งซื้อเดินทางไปรับสินค้าที่โรงงานบริษัทผู้ผลิตด้วยตนเอง เกิดมีปัญหาติดค้างค่าสินค้าไม่ยอมจ่าย ต้องฟ้องศาลที่ไหน

1.

ในพื้นที่นั้น ในอำเภอนั้น ในจังหวัดนั้น ในประเทศ-นี้ มีการทำสวนหลากหลายชนิด สวนยางพารา สวนเงาะ สวนมังคุด สวนทุเรียน สวนลองกอง ฯลฯ

คุณจำนูญอยู่ในพื้นที่นั้น และด้วยความที่มีหัวทางการค้า (ไม่ใช่มีศีรษะทางการค้า) จึงดำเนินอาชีพค้าขายที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตร

คุณจำนูญเป็นพ่อค้า เปิดกิจการค้าขายปุ๋ย ขายวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตร ให้แก่เกษตรกรในย่านใกล้เคียงกับที่ตั้งของร้าน

ซื้อมาราคาเท่าไร คิดต้นทุนต่างๆ รวมเข้าไป ไม่ว่าจะเป็น ค่าขนส่ง ค่านั่งขาย ค่าไฟที่ร้าน แล้วบวกด้วยกำไรเล็กน้อยตามสมควร ตั้งเป็นราคาขาย

“เอากำไรแต่พองาม ให้มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง หลีกเลี่ยงยาเสพติด” นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคุณจำนูญที่ยึดมั่นเป็นคติในการทำมาค้าขายและในการดำรงชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย เป็นยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช อาหารสัตว์ อาหารปลา วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในงานเกษตรอื่นๆ เช่น เสียม จอบ บุ้งกี๋ และจิปาถะ คุณจำนูญมีขายครบถ้วน

แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบก็ตามเหอะ แต่วัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตรแทบทุกอย่างมีขายที่นี่

(สากกะเบือและเรือรบ คุณจำนูญไม่ได้สั่งมาไว้ขาย เรือดำน้ำยิ่งแล้วใหญ่ จะไปถามซื้อหลังร้านก็ไม่มีขาย)

แหล่งซื้อสินค้าแหล่งสั่งสินค้า ก็เป็นบริษัทจากหลายที่

แรกๆ ต้องลงทุนเดินทางไปเลือกซื้อหาสินค้านั่นนี่โน่นถึงแหล่งผลิต แต่ค้าขายมานานๆ เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน สินค้าบางเจ้าสามารถนั่งสั่งเอาที่ร้าน เพราะมีพนักงานขายของบริษัทผู้ผลิตวิ่งมาหาถึงที่

สินค้าบางรายส่งมาให้ถึงที่ แต่มีสินค้าบางชนิดบางรายการ ที่อาจต้องแย่งกันซื้อหาเพราะมีจำนวนจำกัด อาจต้องเดินทางไปรับเองถึงหน้าโรงงาน แล้วแต่ชนิด แล้วแต่ช่วงเวลา

บางทีเพื่อความสะดวกรวดเร็ว เพื่อให้ได้มีสินค้าที่ร้านค้าขายอื่นๆ ยังไม่มี คุณจำนูญถึงกับไปรับสินค้าจากโรงงาน จากแหล่งผลิตด้วยตนเอง

นี่เรียกว่าเป็นการค้าขายเชิงรุก ไม่ใช่ว่าจะคอยแต่ให้บริษัทผู้ผลิตนำส่งถึงที่ ที่อาจต้องคอยเป็นเวลานานๆ และจะได้สินค้าพร้อมๆ กับร้านค้าขายรายย่อยเจ้าอื่นๆ

แต่คุณจำนูญไม่ ไม่ใช่จะนั่งรอท่าเดียวเช่นนั้น

คุณจำนูญอยากให้มีขายก่อนใครๆ มันรู้สึกสะใจดี

ถ้าถึงเวลาต้องรุก ต้องนำรถไปขนเอง ต้องสั่งรถรับจ้างไปขนมา คุณจำนูญไม่รอช้า เพื่อว่าจะสามารถค้าขายได้ยอดที่ดีกว่ารายอื่นๆ

2.

อย่างกับอาหารสัตว์นี่คุณจำนูญเห็นว่าเป็นสินค้าที่ขายดี ทำให้มีกำไรไม่น้อย (คือมีมาก) มีผู้เลี้ยงสัตว์มาก คือจำนวนคนที่เลี้ยงสัตว์มาก และจำนวนสัตว์เลี้ยงก็มากตามไปด้วย

แม้จะมีพนักงานขายของบริษัทผลิตอาหารสัตว์มาเสนอขายถึงร้านที่นครศรีธานีแล้วก็ตาม แต่คุณจำนูญอยากได้สินค้าเร็วๆ จึงเดินทางไปรับสินค้าถึงบริษัทผู้ผลิต

มีอาหารสัตว์อยู่รายหนึ่ง มีโรงงานผลิตอยู่ที่จังหวัดหนึ่ง บริษัทนี้ส่งผู้แทน หรือพนักงานขายมาขาย มารับคำสั่งซื้อถึงจังหวัดนครศรีธานีที่ร้านคุณจำนูญ

เมื่อคุณจำนูญต้องการอาหารสัตว์ก็สั่งกับพนักงานขาย พนักงานขายส่งคำสั่งไปยังบริษัทให้อนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วคุณจำนูญจะส่งรถไปขนถึงบริษัทกลับมายังร้านค้าไว้รอบริการลูกค้า

ค้าขายกันไปค้าขายกันมา ส่งสินค้าไป ชำระค่าสินค้ากัน แต่มีบางรายการที่คุณจำนูญยังคงค้างไม่ได้ชำระ

สรุปสุดท้าย คุณจำนูญยังไม่ได้ชำระค่าอาหารสัตว์กับบริษัทผู้ผลิตจำนวน 1,050,267 บาท

ทั้งๆ ที่การทำมาค้าขายเคยเดินไปได้ด้วยดี แต่ไม่ทราบท่าไหน ไม่ชัดเจนว่าคุณจำนูญได้ใช้เงินผิดประเภทหรือไม่

ปรากฏว่า คุณจำนูญไม่ยอมชำระค่าสินค้าอาหารสัตว์จำนวนนี้

ทางบริษัทผู้ผลิตจึงเริ่มทวงถาม แต่ไม่ว่าจะทวงถามอย่างไร กี่ครั้งแล้วก็ตาม ทางคุณจำนูญยังไม่ยอมชำระ

เมื่อเวลาล่วงเลยนานเข้าบริษัทจึงต้องใช้วิธีการฟ้องคดี เพื่อให้คุณจำนูญชำระค่าสินค้าที่ส่งไปให้

3.

บริษัทผู้ผลิตและขายอาหารสัตว์ยื่นฟ้องคุณจำนูญที่ศาลจังหวัดอันเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์นั้นเอง ขอให้ศาลพิพากษาให้คุณจำนูญชำระเงิน 1,050,267 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

คุณจำนูญเห็นคำฟ้อง เห็นศาลที่ฟ้องแล้วจึงให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้องไป

ประเด็นหนึ่งที่คุณจำนูญหยิบยกขึ้นมาต่อสู้คือ บริษัทฟ้องผิดศาล

ศาลชั้นต้นรับฟ้อง พิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้คุณจำนูญชำระเงิน 1,050,267 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

คุณจำนูญ ยังข้องใจอยู่จึงอุทธรณ์คดี

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

คุณจำนูญฎีกาคดีอีก

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของคุณจำนูญว่า มูลคดีเกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลชั้นต้นหรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ บริษัทฟ้องขอให้บังคับคุณจำนูญชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นหนี้เหนือบุคคล บริษัทจึงมีสิทธิที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่คุณจำนูญมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1)

คำว่า มูลคดี ตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิ อันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องแก่บริษัท

ทางนำสืบของบริษัทได้ความว่า คุณจำนูญสั่งซื้อสินค้าที่บริษัทผลิตผ่านพนักงานขายของบริษัทที่จังหวัดนครศรีธานีซึ่งเป็นภูมิลำเนาของคุณจำนูญ เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้า

จากนั้นพนักงานขายของบริษัทได้ส่งใบสั่งซื้อมายังบริษัทที่จังหวัดสาครบุรี เพื่อพิจารณาอนุมัติ

เมื่อบริษัทอนุมัติก็จะจัดส่งสินค้าไปให้คุณจำนูญยังจังหวัดนครศรีธานี

กรณีจึงเป็นการทำคำเสนอ ต่อบริษัทที่ไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า หากบริษัทประสงค์จะทำสัญญาซื้อขายกับคุณจำนูญก็ต้องแสดงเจตนาบอกกล่าวสนองรับไปถึงคุณจำนูญ

แต่อย่างไรก็ตาม ได้ความจากคำเบิกความของพนักงานขายของบริษัทว่า ในการสั่งซื้อสินค้า คุณจำนูญเป็นผู้จัดรถมารับสินค้าไปจากบริษัท

สอดคล้องกับสำเนาใบส่งของชั่วคราวแนบท้ายใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ ที่ระบุว่าคุณจำนูญเป็นผู้รับสินค้าเอง

โดยคุณจำนูญมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้าง

ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า คุณจำนูญเป็นผู้รับสินค้าตามฟ้องจากบริษัทที่จังหวัดสาครบุรี ซึ่งการรับมอบสินค้าของคุณจำนูญ ถือว่า เป็นการรับไว้แทนการบอกกล่าวสนองรับ

ดังนั้น สถานที่ที่คุณจำนูญรับมอบสินค้า จึงเป็นสถานที่ที่มูลแห่งคดีได้เกิดขึ้นตามบทบัญญัติดังกล่าว

เมื่อสำนักงานใหญ่ของบริษัท อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้

ที่ศาลอุทธรณ์ภาค พิพากษามานั้นชอบแล้ว

ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

ศาลฎีกาพิพากษายืน

เป็นการยืนยันว่า มูลคดีเกิดขึ้น ณ ที่ที่คุณจำนูญไปรับสินค้า จึงสามารถยื่นฟ้องต่อศาลอันเป็นที่ที่คุณจำนูญไปรับสินค้านั้นได้

คุณจำนูญจึงต้องจ่ายค่าสินค้าตามที่บริษัทฟ้องมา

(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6580/2557)

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1) คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

(2) คำร้องขอ ให้เสนอต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

Leave a comment