“ตราด-มุกดาหาร” ฉลุยก่อนใคร นำร่องพร้อมลุยเขตเศรษฐกิจพิเศษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07081150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

เล็งทำเลธุรกิจ

Penny

“ตราด-มุกดาหาร” ฉลุยก่อนใคร นำร่องพร้อมลุยเขตเศรษฐกิจพิเศษ

แม้ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ซึ่งมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะมีการอนุมัติการดำเนินการโครงการต่างๆ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้การดำเนินโครงการเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ทั้งการจัดหาที่ดิน การประกาศโอนสิทธิ์ที่ดิน รวมทั้งการประกาศราคาเช่าและการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้กับนักลงทุนที่สนใจเข้าไปลงทุน หรือการใส่งบประมาณเพื่อดำเนินการไปแล้ว

แต่การดำเนินการให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมยังมีความเลือนรางอยู่!!

เพราะการที่จะลงพื้นที่ปฏิบัติงานและให้โครงการเดินหน้าได้จริง สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งหากในส่วนนี้ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จการพัฒนาก็ไม่สามารถเดินหน้าไปได้อย่างเต็มที่

โดยผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในเรื่องนี้คือ กรมโยธาธิการและผังเมือง ที่นอกจากจะต้องจัดทำผังและกำหนดการใช้ประโยชน์บนที่ดินบริเวณดังกล่าวว่า ในแต่ละเขตแต่ละพื้นที่จะต้องประกอบไปด้วยอะไรแล้วนั้น ก็จะต้องออกประกาศกฎหมายเพื่อให้ดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย

คุณมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า ล่าสุดได้มีการจัดทำผังเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก 6 จังหวัด ประกอบด้วย ตาก มุกดาหาร สงขลา ตราด สระแก้ว และหนองคาย เสร็จแล้ว ซึ่งระยะเวลาการดำเนินงานเป็นไปตามแผนหรือกรอบเวลาที่ได้วางไว้คือ ต้องดำเนินการผังให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม หลังจากนั้นทางกรมโยธาฯ ก็จะเร่งจัดทำร่างประกาศ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 จากนั้นก็จะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเพื่อให้การดำเนินการในเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกทั้ง 6 จังหวัดมีผลในทางปฏิบัติคือ สามารถเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2558

โดยผังดังกล่าวจะเป็นผังพื้นที่ที่ต้องใช้กฎหมาย 2 ฉบับในการควบคุมดูแล แทนการใช้พระราชบัญญัติผังพื้นที่เฉพาะ คือ พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยหากจังหวัดใดมีผังเมืองรวมอยู่แล้ว ก็จะร่างประกาศกรมโยธาธิการและผังเมืองเพื่อผลักดันให้สามารถใช้ประโยชน์บนพื้นที่ได้ตามกฎหมาย ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี ระหว่างนั้นก็จะออกกฎกระทรวงผังเมืองรวมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อให้ใช้ได้อย่างถาวร ซึ่งจังหวัดตาก มุกดาหาร และหนองคาย จะใช้ประกาศดังกล่าว

คุณมณฑล บอกอีกว่า ในส่วนพื้นที่หรือจังหวัดที่ยังไม่มีกฎหมายผังเมืองบังคับใช้ ก็จะใช้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ด้วยการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นออกมาใช้เพื่อกำหนดแนวทางการก่อสร้างอาคารในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดย 3 จังหวัดที่จะต้องออกประกาศกระทรวงมหาดไทยคือ จังหวัดสงขลา ตราด และสระแก้ว และหากในจังหวัดเหล่านี้มีผังเมืองรวมในภายหลังก็จะต้องจัดทำผังเมืองให้สอดคล้องหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อลดความขัดแย้งของพื้นที่

“เราไม่ใช้กฎหมายเฉพาะ เนื่องจากจะต้องออกกฎหมายใหม่ ซึ่งจะทำให้มีความล่าช้า และไม่ทันเหตุการณ์ ซึ่งสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีความคืบหน้าโดยเร็วเพื่อผลักดันเศรษฐกิจและรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)” คุณมณฑล กล่าว

คุณมณฑล กล่าวว่า จากการศึกษาในช่วงที่ผ่านมาถึงศักยภาพของแต่ละจังหวัดใน 6 เขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก เพื่อกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะรองรับการพัฒนานั้น พบว่า จังหวัดที่มีศักยภาพสามารถดำเนินการพัฒนาและเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ก่อนใน 2 จังหวัดคือ จังหวัดตราดและมุกดาหาร เพราะความขัดแย้งในพื้นที่ค่อนข้างน้อย

โดยจังหวัดตราดซึ่งได้มีการกำหนดเนื้อที่ไว้รวมกว่า 888 ไร่ ซึ่งกรมโยธาฯ ได้กำหนดให้เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าผ่านแดนหรือโลจิสติกส์ เพราะปัจจุบันมีการขนถ่ายสินค้าข้ามแดนไปกัมพูชาผ่านด่านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ ซึ่งเป็นด่านถาวรเพียงแห่งเดียวของจังหวัดตราด เป็นจำนวนมาก และหากกรมเจ้าท่าก่อสร้างท่าเทียบเรือแล้วเสร็จเชื่อว่าตราดจะเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างแท้จริง เพราะจะทำให้ตราดมีความพร้อมในเรื่องการขนส่งในทุกๆ ด้าน ทั้งถนน อากาศ และทางทะเล

ในส่วนของจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งมีเนื้อที่พัฒนาจำนวน 2 แปลงตามแนวถนนหมายเลข 3019 (บ้านโคกสูง-บางทรายใหญ่ ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร) รวมทั้งหมดกว่า 1,085 ไร่ ตามแผนนั้นจะให้เอกชนเช่า ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวนั้นประเทศไทยไม่ต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมอยู่ในฝั่งไทย เนื่องจากใน สปป.ลาว นั้นมีนิคมอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ดังนั้น ไทยจะต้องดำเนินการในลักษณะการประสานประโยชน์กับเพื่อนบ้านในแง่ของการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร เส้นทางโลจิสติกส์หรือการขนส่งและคลังสินค้า ระหว่างผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเป็นหลัก และจะต้องส่งเสริมให้นักลงทุนจากฝั่งลาวมาใช้ชีวิตหรือมาใช้บริการในฝั่งไทยจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งไทยจะต้องมีโรงแรม ที่พักอาศัยชั้นดี ศูนย์การประชุม โรงพยาบาล เพราะฝั่งไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับและสนองความต้องการของนักลงทุนจากฝั่งลาวอยู่แล้ว

“เราต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับฝั่งลาว ที่ระบบสาธารณูปโภคยังไม่พร้อมมากนัก เพราะไม่ควรจะไปพัฒนาอุตสาหกรรมแข่งกับเขาที่มุกดาหาร เพราะเขามีอยู่แล้ว แต่เราควรเข้าไปต่อยอดและประสานประโยชน์จากสิ่งที่ทางฝั่งลาวมีจะดีกว่า เพื่อเป็นการพึ่งพาพึ่งพิงกันและกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์ด้วยกันในทุกๆ ฝ่ายตามแผนและการมุ่งหวังในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ” คุณมณฑล กล่าว

เชื่อว่าอีกไม่กี่อึดใจเราจะได้เห็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ 2 เขตดังกล่าวเกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และหากจะยกให้พื้นที่ 2 จังหวัดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษนำร่องก็คงไม่ไกลจากความเป็นจริงนัก ส่วนในอีก 4 จังหวัดที่เหลือ ก็ควรต้องรีบมาดูศักยภาพของ 2 พื้นที่ดังกล่าวว่าความพร้อมเขาเป็นอย่างไร เพื่อกลับไปผลักดันให้เขตของตัวเองเดินหน้าได้ทันท่วงทีสอดคล้องกับกฎหมายผังเมืองที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้!!

Leave a comment