เที่ยวปราสาทหิน ในดินแดนเขมร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07076150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 381

หมุดไมล์

โดย คณินพงศ์ บัวชาติ

เที่ยวปราสาทหิน ในดินแดนเขมร

สวัสดีท่านผู้อ่านหมุดไมล์ทุกท่านครับ เมื่อฉบับที่แล้ว เราไปเลาะริมโขงตามรอยนิทานอุรังคธาตุ พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตของวัฒนธรรมของแอ่งอีสานเหนือกันมาที่สกลนครและนครพนม ฉบับนี้เราจะพาไปเที่ยวต่างประเทศกันครับ แต่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้เอง นั่นคือ ประเทศกัมพูชา หรือที่เรามักเรียกประเทศนั้นกันจนติดปากว่า “เขมร” ครับ หลายท่านอาจบอกว่าเคยไปมาหลายครั้งแล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้เราจะไปเพื่อชมงานศิลปะและเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเขมรโบราณกันครับ

รับรองได้ว่าหลายท่านอาจจะอุทานออกมาว่า “เป็นแบบนี้จริงหรือ???”

การเดินทางไปเขมรครั้งนี้เอาใจผู้ชื่นชอบฟังประวัติศาสตร์และศิลปะเขมรครับ เพราะเราจะไปทำความรู้จักกับอดีตเมืองหลวง หรือหากใช้คำพูดสวยๆ ก็คือ “ราชธานี” ของเขมรถึง 2 แห่งด้วยกัน แต่ละแห่งมีกลุ่มปราสาทที่งดงามมากหลายหลังด้วยกันครับ และบางหลังเองก็มีเอกลักษณ์จนกลายเป็นชื่อรูปแบบศิลปะที่เราเรียกกันมาจนทุกวันนี้

เริ่มจากจุดแรกที่ เมืองหริหราลัย ซึ่งแปลว่า ที่อยู่ของพระวิษณุ (หริ) + พระศิวะ (หระ) ครับ ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูหลายๆ ท่านมากนัก แต่ที่นี่เคยเป็นราชธานีในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 และมีกษัตริย์สืบมาอีกหลายรัชกาล ก่อนจะย้ายมาตั้งเมืองใหม่ที่เมืองพระนครแทน

ภายในเมืองนั้นประกอบด้วยปราสาทสำคัญ 3 หลังคือ ปราสาทพระโค ซึ่งเป็นปราสาทที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ทรงดำริให้สร้างขึ้น เพื่ออุทิศถวายแก่บรรพบุรุษและบรรพสตรีครับ ส่วนสาเหตุที่เรียกชื่อนี้คงเป็นเพราะมี รูปสลักโคนนทิ ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะ ทำจากหินตั้งอยู่ด้านหน้าของปราสาท

ถัดไปไม่ไกลกันนักเป็นที่ตั้งของ ปราสาทบากอง ครับ ปราสาทหลังนี้เป็นศาสนสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ครับ โดยสร้างตามคติเกี่ยวกับจักรวาล ที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางจักรวาล เพื่อประดิษฐานเทวราชหรือเทพเจ้าประจำพระองค์ เช่น ศิวลึงค์ หรือ เทวรูปของพระวิษณุ นั่นเอง และปราสาทหลังสุดท้ายคือ ปราสาทโลเลย ปราสาทอิฐที่ตั้งอยู่กลางบารายของเมืองหริหราลัยที่มีชื่อว่า “อินทรตฏากะ” ปราสาทหลังนี้สร้างในรัชสมัยของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เพื่ออุทิศให้กับพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ ก่อนจะทรงย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองพระนคร อันเป็นต้นกำเนิดของยุคพระนครในเวลาต่อมา

นอกจากประเด็นนี้แล้ว เรายังจะพาท่านเดินทางไปชมปราสาทที่เรียกได้ว่าเป็น “แก้วประดับเรือนแหวนแห่งเมืองพระนคร” ครับ นั่นคือ ปราสาทบันทายสรี หรือในภาษาเขมรออกเสียงว่า บันเตียยเสร็ย ปราสาทหลังนี้สร้างขึ้นโดยพราหมณ์ยัชญวราหะ พระราชครูปุโรหิตในรัชกาลของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 แม้จะเป็นปราสาทหลังเล็กๆ แต่ที่นี่กลับมีภาพสลักที่ประณีตงดงามมากประดุจว่ามีชีวิตขึ้นมาเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นภาพของตรีมูรติ หรือมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะตอนต่างๆ ที่อาจทำให้เพลินตาจนลืมเวลากันเลยทีเดียว

ส่วนระหว่างทางกลับนั้น ถ้ามีเวลาก็สามารถแวะซื้อน้ำตาลโตนดไม่ใส่สาร ที่ยังคงมีกรรมวิธีทำแบบโบราณดั้งเดิม รวมทั้งยังมีเครื่องจักสานจากไม้ตาลและไม้ไผ่ ให้ได้เลือกซื้อกันในราคาสบายกระเป๋ากันอีกด้วย

มาเขมรกันทั้งทีหากพลาดจุดสำคัญอย่าง นครวัด ไปก็เหมือนมาไม่ถึงครับ ปราสาทหลังนี้สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อใช้เป็นที่บูชาพระวิษณุและบรรจุพระอัฐิของพระองค์ โดยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกครั้งแรกเมื่อ อองรี มูโอต์ (Henri Mouhot) นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ที่เขียนหนังสือชื่อ Voyage dans les royaumes de Siam, de Cambodge, de Laos et autres parties centrales de l”Indochine และจากวลีอมตะของ อาร์โนลด์ โจเซฟ ทอยน์บี (Arnold Joseph Toynbee) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่แปลเป็นภาษาไทยไว้ว่า “ยลนครวัดแล้วตายตาหลับ” ครับ

นอกจากความยิ่งใหญ่อลังการของตัวปราสาทและภาพแกะสลักของนางอัปสรานับหมื่นองค์แล้ว ด้านในระเบียงคตยังมีภาพสลักของฉากสงครามทุ่งกุรุเกษตร จากมหากาพย์มหาภารตะ, รามายณะ, การกวนเกษียรสมุทร ยังมีภาพของกองทัพละโว้ หรือ ลพบุรี และกองทัพสยาม หรือ เสียมกุก อีกด้วย แบบนี้จะไม่เข้าไปชมได้อย่างไร

จากนครวัดเรามุ่งหน้าสู่ นครธม ครับ ที่นี่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เมืองพระนครศรียโสธรปุระที่ 2” สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรเขมรโบราณ เมื่อครั้งพระองค์มีชัยชนะเด็ดขาดเหนือจามปาที่เข้ามายึดเมืองพระนครเดิม จุดที่น่าชมเห็นจะเป็นประตูเมืองด้านทิศใต้ครับ เพราะนอกจากสะพานนาคที่มีเทวดาและอสูรดึงอยู่ 2 ข้างแล้ว ยอดของประตูยังมีส่วนที่เรียกว่า “พรหมพักตร์” ด้านบนครับ ส่วนจะเป็นใบหน้าของเทพองค์ไหนนั้นต้องลองหาคำตอบกันเองครับ

ถ่ายภาพสวยๆ เสร็จแล้ว เราจะมุ่งสู่ ปราสาทบายน ศูนย์กลางของเมืองพระนคร และเป็นจุดที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า นครธม ครับ สิ่งที่น่าสนใจของปราสาทหลังนี้คงหนีไม่พ้นยอดปราสาทที่มีใบหน้าและรอยยิ้มที่คอยจ้องมองผู้คนอยู่ตลอดเวลา ใบหน้านี้มีการตีความกันไปว่าเป็นหน้าของพระพรหมบ้าง พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรบ้าง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บ้าง ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของท่านแล้วล่ะครับ

นอกจากรอยยิ้มแห่งบายนแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่น่าดูชมคือ ภาพแกะสลักที่ระเบียงปราสาทครับ เพราะมีภาพเรื่องราวสงครามระหว่างเขมรกับจามปา ที่สู้กันทั้งทัพบกและทัพเรือ หากลองสังเกตดีๆ จะเห็นวิถีชีวิตของชาวเขมรแทรกอยู่ เช่น การหุงหาอาหาร และการละเล่นต่างๆ ทั้งชนหมู, ชนไก่ และหัวล้านชนกัน

ปิดท้ายการเดินทางด้วย 2 ปราสาทในยุคเดียวกันครับ ระหว่างทางยังมี ปราสาทบาปวน, ปราสาทพิมานอากาศ, ลานช้าง ลานครุฑ, สนามหลวง ที่ตั้ง 12 ศาลา, ลานพระเจ้าขี้เรื้อน ให้ได้เก็บภาพสวยๆ และให้ทำความรู้จักอีกด้วย

ปราสาทหลังแรกคือ ปราสาทตาพรหม ครับ นอกจากจะเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider แล้ว ปราสาทหลังใหญ่หลังนี้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระราชมารดาของพระองค์ในรูปฉลองพระองค์ของพระนางปรัชญาปรมิตา ตามความเชื่อในพุทธศาสนานิกายมหายานนั่นเอง ส่วนอีกหลังคือ ปราสาทพระขรรค์ ที่สร้างเพื่ออุทิศถวายให้กับพระราชบิดาของพระองค์ ภายในนอกจากจะมีบรรณาลัยเสากลมและสถูปทรงลังกาแล้ว ยังมีเรื่องของจารึกปราสาทพระขรรค์ที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันเรื่องอำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ว่าแผ่ขยายไปถึงตรงไหนแน่ เพราะในจารึกปรากฏชื่อเมืองต่างๆ ที่สันนิษฐานว่าอยู่ในประเทศไทยครับ

ปูพรมแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในเขมรมาพอหอมปากหอมคอแล้วนะครับ ลองเช็กตารางเวลาของท่านและนัดเพื่อนร่วมเดินทาง เก็บกระเป๋าแล้วไปกันได้เลย

เตรียมพบกับทัวร์ศิลปวัฒนธรรม “เที่ยวปราสาทหิน ในดินแดนเขมร” ประเทศกัมพูชา ที่มติชน อคาเดมี จะนำพาทุกท่านได้ร่วมแสวงหาและค้นคำตอบ เกร็ดความรู้ในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 954-3977-85 ต่อ 2123, 2124 (จันทร์-ศุกร์) (082) 993-9097, (082) 993-9105 (เสาร์-อาทิตย์) หรือที่ http://www.matichonacademy.com และ https://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand

Leave a comment