ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07091011058&srcday=2015-10-01&search=no
| วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 382 |
ไร้โรคาพาร่ำรวย
นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
จะทำอย่างไร เมื่อใช่โรคแพ้ภูมิตนเอง
เมื่อเกิดมีอาการไข้ มีผื่น ปวดข้อ หรืออาการอื่นที่หาคำอธิบายไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร แพทย์จะส่งเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการว่าเป็นโรคในกลุ่มโรคแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune disease) หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นโรคเอสแอลอี (SLE) หรือไม่ ซึ่งโรคในกลุ่มโรคแพ้ภูมิตนเอง เป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง ที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเอสแอลอี ดังนั้น การดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง จึงเป็นหัวใจของการรักษาโรคแพ้ภูมิตนเอง มีความสำคัญพอๆ กับการรักษาด้วยยา ผลของการรักษาจะเป็นอย่างไร คุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นโรคนี้จะดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองที่ถูกต้องของผู้ป่วย ดังนั้น เมื่อทราบว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง ควรจะทำอย่างไรดี
ผู้ที่ได้รับการบอกจากแพทย์ว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง ไม่ว่าจะมีอาการเล็กน้อยหรือมีอาการรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นมาไม่นานหรือนานก็ตาม จะรู้สึกตกใจ เกิดความไม่มั่นใจ เกิดความเครียด เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หาทางออกไม่ถูก บางคนมีความโกรธ เช่น โกรธคนที่มีสุขภาพดี เพราะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่ตนต้องมาป่วย บางคนโกรธตัวเองที่ไปรับการตรวจล่าช้า โกรธโรงพยาบาลที่วินิจฉัยล่าช้า ฯลฯ บางคนรู้สึกผิดที่เจ็บป่วย กลัวตกงาน กลัวเป็นภาระของครอบครัว ทำให้มีความรู้สึกโกรธ ซึมเศร้า กลัวตาย สลับกันไปมา เกิดคำถามกับตัวเองมากมาย เช่น “ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” “ฉันจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร” “จะมีชีวิตอยู่อีกทำไม” “ถ้ามีลูก ลูกจะเป็นโรคนี้ด้วยไหม” ทำให้กินไม่ลง นอนไม่หลับ กลับมีอาการทรุดหนักได้ ดังนั้น เมื่อได้รับการบอกว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง สิ่งแรกที่ควรทำคือ มีสติ ควบคุมอารมณ์ จิตใจ และร่างกายให้สงบ รับฟังรายละเอียดของโรคที่เป็น แนวทางการรักษา และการปฏิบัติตัวที่จะต้องทำ จากแพทย์ให้ชัดเจนที่สุด กระจ่างที่สุด พยายามซักถามให้ได้ข้อมูลที่จำเป็น ในขณะนั้นให้เข้าใจที่สุด พยายามเปิดใจอย่างมีสติให้มีการเรียนรู้ เพื่อหาทางออกของการเจ็บป่วยที่เหมาะสม พยายามมองโลกในแง่บวก และยอมรับว่าตนเองจะต้องมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเพื่อการรักษาโรค ต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองพิเศษกว่าคนทั่วไป เรียนรู้การปรับการดำเนินชีวิตให้กิจกรรมการดูแลตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันตามปกติ
ความเครียดทางร่างกายและจิตใจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคกำเริบ ดังนั้น เมื่อเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง จึงจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายเนื่องจากผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตนเองต้องเผชิญกับความเครียดหลายอย่าง ตั้งแต่โรคเรื้อรังที่รักษายาก การดำเนินโรคที่ไม่แน่นอน มีระยะสงบและกำเริบสลับกัน มีความแข็งแรงของร่างกายที่อ่อนแอลง มีการเปลี่ยนแปลงของรูปลักษณะภายนอกของตัวเองจากตัวโรคเองและผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษา มีผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตนเองซึ่งมักเป็นวัยรุ่นเคยให้ความหมายของการเจ็บป่วยด้วยโรคเอสแอลอี ว่า
1. เป็นชีวิตที่อยู่กับความทุกข์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ทุกข์เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน บางครั้งก็ทุกข์จากสังคมรังเกียจ
2. เป็นชีวิตที่มีแต่ความไม่แน่นอน ตั้งแต่รอการวินิจฉัย การรักษา การดำเนินโรค
3. ต้องดำเนินชีวิตเหมือนคุณหนูผู้เปราะบาง ต้องระมัดระวังสิ่งต่างๆ เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดด หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด
4. อยู่ในโลกของคนแพ้ ทั้งแพ้แสงแดด แพ้ยาง่าย แพ้งานหนัก แพ้สังขารตัวเอง
นี่เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงการรับรู้และให้คุณค่าการเจ็บป่วยในแง่ลบ ซึ่งมีแต่ก่อให้เกิดความเครียด บั่นทอนขวัญและกำลังใจ จนในที่สุดจะอ่อนล้าเกินกว่าที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้
เมื่อทราบว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง ควรพยายามทำจิตใจให้ปล่อยวางในเรื่องต่างๆ ไม่คิดหมกมุ่น พยายามทำใจให้สงบ ฝึกทำสมาธิหรือปฏิบัติธรรม หาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หาการพักผ่อนที่ง่ายๆ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำเมื่อมีเวลาพัก แต่การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ ควรฝึกนิสัยให้เข้านอนเป็นเวลา ตื่นนอนเป็นเวลา นอนหลับสนิทอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน ไม่ควรรับประทานยานอนหลับทุกวัน เพราะจะทำให้ติดยาและต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นเรื่อยๆ ควรแบ่งงานเป็นส่วนๆ และหยุดพักเป็นช่วงๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายตึงเครียดมากเกินไป
ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้โรคเอสแอลอีกำเริบคือ แสงแดด การหลีกเลี่ยงแสงแดด จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันโรคกำเริบ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงแสงแดดแรงคือ 09.00-16.00 น. หากมีความจำเป็นควรกางร่ม ใส่หมวกปีกกว้าง สวมเสื้อแขนยาวและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF (Sun Protection
Factor) มากกว่า 20 โดยเลือกชนิดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB ควรทาผิวบริเวณที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดด เช่น ใบหน้า ต้นคอ หน้าอก แขนด้านนอก ควรทาซ้ำหลังอาบน้ำ ล้างหน้า หรือมีเหงื่อออกมาก นอกจากนี้ ควรระวังแสงแดดที่สะท้อนจากผิวน้ำหรือพื้นที่เป็นมันด้วย
การติดเชื้อ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่สำคัญในผู้ป่วย เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจากตัวโรคแพ้ภูมิตนเอง การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการป้องกันการติดเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัดหรือแหล่งชุมชน สถานที่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เพราะมีโอกาสรับเชื้อจากผู้อื่นได้ง่าย เช่น ตลาดนัด ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ หลีกเลี่ยงคนเป็นหวัด ไอ จาม รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะทำความสะอาดในช่องปากเป็นอย่างดี
ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตนเองไม่ควรแสวงหาการรักษาตามความเชื่อที่อาจไม่ถูกต้องตามหลักวิชา เช่น ยาต้ม ยาหม้อ การรักษาทางไสยศาสตร์ หรือซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการรักษาโรคแพ้ภูมิตนเองคือ ผู้ป่วยต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง สงบ มั่นคง พยายามประคับประคองอารมณ์ให้เป็นปกติ มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตอยู่กับโรคแพ้ภูมิตนเองอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โรคแพ้ภูมิ รุมเร้า ไม่เศร้าหนัก
ให้รู้จัก รักชีวิต คิดสู้หนา
ทำอย่างไร ให้อยู่ได้ ไม่โศกา
ไม่คณนา โรคาสงบ พบสุขเอย