ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07074011058&srcday=2015-10-01&search=no
| วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 382 |
เที่ยวไปตามแผนที่
ภควิตา อัจจาธร srangbun@hotmail.com
มุดถ้ำปะการัง ที่อุทยานฯ เขาสก ชมเหรียญสมเด็จวัดระฆัง
“เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ” คำขวัญนี้ไม่ต้องบอกใครๆ ก็รู้ว่าคือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งของภาคใต้ ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทะเล เกาะ ถ้ำ ฯลฯ และหลายแห่งมีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเกาะสมุย หรือเกาะพะงัน รวมทั้งเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ที่ได้รับการขนานนามว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย”
แม้ผู้เขียนจะไปจังหวัดสุราษฎร์ธานีนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวชมเขื่อนรัชชประภาสักครั้ง กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ กรมการปกครอง เชื้อเชิญนักข่าวจากส่วนกลางหลายสิบชีวิตไปศึกษาดูงานกิจกรรมของหลายหมู่บ้านที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ และสุดท้ายจบลงที่เขื่อนดังกล่าว ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก
ตามโปรแกรมจุดแรกไปดูหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ บ้านปากคลองน้อย ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จุดเด่นของที่นี่คือความเข้มแข็งของคณะกรรมการหมู่บ้านในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยใช้แนวทางตามพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ซึ่งเน้นการพึ่งพาตัวเอง บ้านไหนมีผลผลิตเหลือก็นำไปขาย และด้วยความขยันทำมาหากินและรู้จักเก็บออม ทำให้กลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านมียอดเงินสัจจะสะสม 24 ล้านบาท
ล่องเรือชมป่าชายเลน
เสร็จจากหมู่บ้านนี้ คณะได้เดินทางต่อไปยัง ตำบลลีเล็ด อำภอพุนพิน ซึ่งชาวบ้านมีการตั้งกลุ่มชุมชนลีเล็ดนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ เมื่อปี 2547 ภายใต้การนำของ กำนันประเสริฐ ธัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ด โดยหวังให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นเครื่องมือ เป็นกุศโลบายในการอนุรักษ์ทรัพยากร แต่ปรากฏว่าสามารถจัดการการท่องเที่ยวได้ดีจนได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรางวัล เช่น มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย
อีกรางวัลที่ยิ่งใหญ่คือ รางวัลกินรีทองคำ ประเภทการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รางวัลที่ 1 ระดับประเทศ ปี 2551 และปี 2553 ได้รับรางวัลการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ ในระดับประเทศ ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเที่ยวที่ป่าชายเลนแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ
วันที่ไปนั้นหลังจากฟังบรรยายสภาพของหมู่บ้านทั้งในอดีตและปัจจุบันเสร็จ กำนันประเสริฐก็ได้นำคณะนั่งเรือหางยาวสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็นป่าชายเลน และเลยไปยังบริเวณอ่าวบ้านดอน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ลำพู โกงกาง แสม ลำพูหิน ตะบูน ปรงทะเล จาก ลำแพน หน่อเซียน ปอทะเล ฯลฯ และยังมีพวกสมุนไพร อาทิ เหงือกปลาหมอรักษาโรคมะเร็ง และย่านขี้เดือนรักษาโรคท้องอืด
นอกจากนี้ ยังเห็นสัตว์อีกหลายชนิด อย่างเช่น ลิงหางยาว นกกระยาง ปูทะเล ปูเปี้ยว หอยจุ๊บแจง หอยกัน และหิ่งห้อย นักข่าวหลายคนตื่นเต้นกันมาก เพราะกำนันประเสริฐจับหอยกันตัวเป็นๆ มาให้ดูให้ได้ถ่ายรูปกันชัดๆ
ย้อนกลับไปในอดีตจากเดิมในปี 2534 มีป่าชายเลนเหลืออยู่เพียง 3,400 ไร่ หลังจากถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์ แต่พอชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟู ป่าชายเลนแห่งนี้ก็กลับมามีผืนป่าเกิดขึ้นใหม่ ถึง 8,000 ไร่ และยังเป็นแหล่งเกิดสัตว์น้ำอีกจำนวนมาก ทั้งกุ้ง หอย ปู และปลา ที่สำคัญ ยังเป็นแหล่งเกิดหอยแครงอีกด้วย ส่งผลให้เกษตรกรบางคนมีรายได้จากการเลี้ยงและขายหอยแครงในปีหนึ่งถึง 11 ล้านบาท
พวกเรานั่งเรือออกทะเลไปแถวอ่าวบ้านดอนเห็นเกษตรกรเลี้ยงหอยกันเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เลี้ยงหอยแครงกัน บางจุดชาวบ้านจะสร้างขนำไว้กลางทะเลเพื่อคอยเฝ้าหอย ไม่เช่นนั้นอาจถูกขโมย
ทั้งนี้ ในการมาเที่ยวป่าชายเลนที่ลีเล็ด นอกจากผู้มาเยือนจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติแล้ว ยังได้ความรู้กลับไปอีกด้วย เพราะมีศูนย์เรียนรู้และศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน และยังมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ นอกจากนี้ หากใครสนใจเรื่องการทำมาหากินของชาวบ้านแถวนี้ก็จะได้ดูทั้งในเรื่องการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากใบจาก และการทำกะปิเคย พวกเราได้ไปดูบ้านที่ทำกะปิขาย ขากลับเลยซื้อกันมาคนละสองสามกระปุก
สำหรับคนที่ชอบพักโฮมสเตย์ที่นี่ก็มีให้บริการด้วย โดยบ้านกำนันประเสริฐก็มีอยู่หลายห้อง ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นที่อยู่ใกล้ลำคลอง เป็นบรรยากาศธรรมชาติจริงๆ
หินพัดเทียบพระธาตุอินทร์แขวน
ตามโปรแกรมเป้าหมายของเราต่อไป คือไปดู หินตั้ง บ้างก็เรียกหินพัดมหัศจรรย์ขนาดใหญ่ หรือหินปู่-หินย่า อยู่ที่บ้านยวนสาว ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม ค้นพบโดยคนหาของป่าในพื้นที่นั้น แต่ก่อนจะไปถึงต้องผ่านสวนยางพาราขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ ไป สำหรับคนที่ไม่แข็งแรงหรือพวกขึ้นที่สูงไม่ไหวอาจจะลำบากหน่อย
ใครที่ไปเห็นต่างประหลาดใจว่าหินก้อนใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงได้อย่างไร คณะทัวร์จากจังหวัดภูเก็ตตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนพระธาตุอินทร์แขวนของประเทศพม่า ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่าถ้าใครมาถึงหินพัดให้เอามือลูบไล้ พร้อมโยนเหรียญไปที่ฐานที่มีช่องโหว่อีกด้านหนึ่ง พร้อมอธิษฐาน ขอให้สมหวังในเรื่องต่างๆ ที่ต้องการ คำอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิผล ปรากฏว่าชาวคณะหลายคนก็ทำตามคำแนะนำนี้ แต่ยังไม่ได้สอบถามว่าเป็นไปตามคำอธิษฐานนั้นหรือไม่ประการใด
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานทีเดียว เพราะอากาศเย็นสบายไม่ร้อน เวลาขึ้นไปตรงหินพัดมองออกไปจะเห็นสวนยางพาราของเกษตรกรสุดลูกหูลูกตา ที่นี่นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก แม้ว่ารายการทีวีหลายช่องจะมาถ่ายทำประชาสัมพันธ์ไปแล้ว
ความจริงที่บ้านยวนสาวยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุด โดยเฉพาะน้ำตกยวนสาวที่สูงถึง 15 ชั้น มีหินช้างและคลองกะเปา แต่เสียดายพวกเรามีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องไปที่อื่นต่อ เลยดูได้แค่หินพัดเท่านั้น
มนต์เสน่ห์เขื่อนเชี่ยวหลาน
เสร็จจากดูหินพัดมหัศจรรย์แล้วพวกเราก็ต้องนั่งเรือไปยังเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ฯ ไปประมาณ 90 กิโลเมตร เพื่อไปนอนพักที่แพภูตะวัน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ทำเป็นแคปซูล สวยงามทีเดียว แพแห่งนี้เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครดังที่มีณเดชน์กับนางเอกสาวแต้ว เป็นคู่พระ-นาง
ด้วยความที่พวกเราไปหน้าฝน ช่วงที่อยู่ 2 วัน กับ 1 คืน เลยเจอฝนตลอด แม้กระทั่งตอนนั่งเรือเพื่อไปยังถ้ำปะการัง จนต้องสวมเสื้อกันฝนตลอดทาง เลยถ่ายรูปวิวไม่ค่อยสวยนักเนื่องจากท้องฟ้าครึ้มเมฆครึ้มฝน
ความจริงอุทยานแห่งชาติเขาสกมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายจุด ทั้งถ้ำและน้ำตก รวมทั้งการเดินป่า
อย่างที่ คุณสมปราชญ์ ปราบสงคราม นายอำเภอบ้านตาขุน เล่าว่า ที่ผ่านมามีละคร ภาพยนตร์ ทั้งไทยและต่างชาติมาขอถ่ายทำจำนวนมาก เนื่องจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมยังอุดมสมบูรณ์ และมีการจัดเส้นทางเดินป่า ซึ่งฝรั่งจะมากันเยอะเพราะมีสัตว์ป่าหลายชนิด อาทิ กระทิง ช้าง และนกเงือก สำหรับอ่างเก็บน้ำของเขื่อนเชี่ยวหลาน มีจุดที่เป็นไฮไลต์คือ เขาสามเกลอ ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยบอกว่า ที่นี่สวยกว่าเขื่อนที่อื่นในประเทศไทย เพราะถ้ามาช่วงกลางวัน ที่แดดดีๆ น้ำจะเป็นสีเหมือนมรกตสวย ทั้งๆ ที่เป็นน้ำจืด แต่สีสวยเหมือนน้ำทะเลเลย
ตรงบริเวณเขาสามเกลอมีเรือท่องเที่ยวจอดกันหลายลำ เนื่องจากลูกเรือต่างพากันถ่ายรูปกันยกใหญ่ทั้งรูปหมู่รูปเดี่ยว
ด้วยความที่มีเวลาไม่มากและเจอปัญหาฝน เจ้าภาพเลยให้ไปเฉพาะไฮไลต์สำคัญอย่างเขาสามเกลอ และถ้ำปะการัง แต่ก่อนจะไปถ้ำดังกล่าว คณะเราก็เดินป่ากันจนเมื่อย เพื่อไปขึ้นแพไม้ไผ่แล้วเดินไปอีกหน่อยก็ถึงถ้ำนี้ ซึ่งไปแล้วความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็หายไป เพราะมัวแต่ตะลึงพรึงเพริดกับความสวยงามของถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยรูปทรงละลานตา ไม่ว่าจะเป็นรูปช้าง รูปม่าน รูปปลัดขิก รูปดอกเห็ด หรือแม้กระทั่งรูปเหรียญสมเด็จวัดระฆัง ซึ่งมองดูแล้วก็เหมือนจริงๆ
พวกเราใช้เวลาอยู่ในถ้ำปะการังเป็นชั่วโมงเพราะเป็นถ้ำขนาดใหญ่และมีอากาศปลอดโปร่ง และเจ้าหน้าที่ของอุทยานก็นำไฟมาฉายส่องให้ตลอดเพราะรู้ว่าสื่อมวลชนหลายแขนงจะนำเรื่องไปเผยแพร่ให้ ต้องบอกว่าถ้ำนี้เป็นถ้ำที่น่ามาเที่ยวจริงๆ เนื่องจากยังเป็นถ้ำที่สมบูรณ์อยู่
แม้วันทั้งวันจะเหน็ดเหนื่อยกับการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งนี้ แต่ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและอากาศบริสุทธิ์ก็ทำให้พวกเรายังมีแรงกายแรงใจเต็มร้อย ประกอบกับได้ทานอาหารอร่อยๆ สไตล์คนใต้ เติมเต็มด้วยทุเรียนพื้นบ้านในพื้นที่ แถมด้วยเงาะและมังคุด
สรุปได้ว่ามาเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสกครั้งแรกก็ประทับใจมิรู้ลืม และหากมีใครเชิญมาอีกก็คงไม่ปฏิเสธ เพราะอย่างที่บอกยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้ไปสัมผัส