ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07075151058&srcday=2015-10-15&search=no
| วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 383 |
เที่ยวไปตามแผนที่
ภควิตา อัจจาธร srangbun@hotmail.com
ครั้งหนึ่งที่ “บึงกาฬ”
พูดถึง “บึงกาฬ” จังหวัดน้องใหม่ของประเทศไทย เชื่อว่ายังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัดลำดับที่ 77 แห่งนี้ ซึ่งมีอะไรโดดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งภูเขา น้ำตก ฯลฯ รวมทั้งยังเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรม และแหล่งปลูกยางพาราในอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ดังคำขวัญของจังหวัดที่ว่า
“ภูทอกแหล่งพระธรรม ค่าล้ำยางพารา
งามตาแก่งอาฮง บึงโขงหลงเพลินใจ
น้ำตกใสเจ็ดสี ประเพณีแข่งเรือ
เหนือสุดแดนอีสาน นมัสการองค์พระใหญ่
ศูนย์รวมใจศาลสองนาง”
“ภูทอก” ต้องไปให้ได้
วันก่อนมีโอกาสไปงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ จังหวัดบึงกาฬ จัดกิจกรรมปั่นจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว ภายใต้โครงการ “TOUR OF I-SAN : BUENGKAN CLASSIC อัศจรรย์ธรรมชาติที่ท้าทาย” งานนี้ คุณสมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ททท. เจ้าภาพหลัก บอกประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะมีนักปั่นจากทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และในภาคอีสาน มาร่วมประมาณ 300 คน
ทั้งนี้ ให้นักปั่นเลือกใน 2 เส้นทาง ใครชอบทางเรียบถนนดีก็ไปเส้นแรก เส้นทางเรียบพิชิตภูทอก ระยะทาง 100 กิโลเมตร เริ่มต้นจาก ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ –> สาย 212 –> แยกชัยพร เลี้ยวขวา –> ผ่านภูทอก –> ศรีวิไล –> วนกลับเข้าเส้น 212 –> แล้วย้อนกลับมาที่ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ (เส้นชัย)
ส่วนใครชอบโลดโผน ก็ไปเส้นทางวิบากพิชิตภูสิงห์ ระยะทาง 50 กิโลเมตร สตาร์ตจากศาลากลางจังหวัดบึงกาฬเช่นกัน เข้าทางสาย 212 –> แยกโคกก่อง เลี้ยวขวา –> เลี้ยวซ้าย –> ที่ทำการภูสิงห์ –> ขึ้นภูสิงห์ –> กำแพงหิน/ถ้ำฤๅษี/หินหัวช้าง/หินสามวาฬ/หินรถไฟ –> ที่ทำการภูสิงห์ –> กลับเส้นทางเดิม –> ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ (เส้นชัย)
ว่าไปแล้วยุคนี้กระแสขี่จักรยานมาแรง หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างจัดกันเป็นว่าเล่น แต่สำหรับ ททท. แล้วไม่ใช่แค่อินเทรนด์เท่านั้น เพราะมองว่าจะได้อะไรอีกเยอะแยะจากงานนี้ อย่างที่คุณสมฤดี แจงว่า เป็นแนวคิดในการเพิ่มประสบการณ์นักท่องเที่ยวยุคใหม่โดยใช้จักรยานเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเปรียบเสมือนทูตวัฒนธรรมอันจะเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายและสวยงามของภาคอีสาน ผ่านทางโซเชียลมีเดีย และเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสเอกลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณี ความมีมิตรไมตรี และเกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ภาคอีสาน ด้วยการเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมหรือต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว
สำหรับเส้นทางเรียบพิชิตภูทอก เป้าหมายปลายทางคือ “วัดเจติยาคีรีวิหาร” หรือ “วัดภูทอก” ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านคำแคนพัฒนา หมู่ที่ 6 ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้นๆ ของบึงกาฬ ประเภทครั้งหนึ่งในชีวิตของชาวบึงกาฬต้องขึ้นมาไหว้พระที่นี่สักครั้ง และในส่วนนักท่องเที่ยวมาบึงกาฬแล้วไม่ได้ขึ้นภูทอก บอกได้เลยว่ายังมาไม่ถึง
คำว่าภูทอก ในภาษาอีสาน แปลว่า “ภูเขาที่โดดเดี่ยว” ภูทอก ประกอบด้วยภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย ปัจจุบันภูทอกใหญ่เป็นป่ารกทึบไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไป ส่วนภูทอกน้อยเป็นที่ตั้งของ “วัดภูทอก”
อันที่จริงภูทอกน้อย มีความสูง 460 เมตรเท่านั้น โดยมีบันไดเรียงขึ้นตามชั้นต่างๆ 7 ชั้น เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นวัดป่าสายกรรมฐาน ที่ “พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ” ลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาสร้างไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 เนื่องจากท่านเกิดนิมิตเห็นปราสาทสวยงาม 2 หลัง อยู่ทางด้านภูทอกน้อย และเมื่อเข้ามาก็ได้พบว่าเป็นป่าที่เงียบสงัดและร่มรื่นดี เหมาะกับการปฏิบัติธรรม จึงได้ปักกลดอยู่ในถ้ำบนภูทอกแห่งนี้
ต่อมาชาวบ้านแถวนั้นอาราธนาขอให้ท่านสร้างวัด กระทั่งปี 2512 ชาวบ้านช่วยกันสร้างบันไดขึ้นภูทอก จนถึงชั้นที่ 5-6 และปลูกสร้างเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์ พอปี 2519 จัดทำทำนบกั้นน้ำในเขตวัดและจัดทำถังน้ำบนภูเขาในชั้นที่ 5 และกุฏิพระภิกษุ สามเณร กุฏิแม่ชี บนชะง่อนเขาในชั้นที่ 5
เมื่อขึ้นไปบนชั้นสูงๆ มองไปยังพื้นล่างจะเห็นวิวข้างหน้าที่เต็มไปด้วยสวนยางพาราสุดลูกหูลูกตา ส่วนที่ใกล้มาหน่อยก็เป็น “เจดีย์พิพิธภัณฑ์อัฐบริขาร พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ” ที่สวยงาม เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม สีน้ำตาลแดง ยอดสีทอง ตั้งสูงเด่น มีสระน้ำใหญ่ที่ทำให้เจดีย์แห่งนี้งามสง่า เมื่อดูจากมุมสูงเป็นวิวที่ตื่นตาตื่นใจทีเดียว
เมื่อมาถึงชั้น 5 ไฮไลต์คือ ถ้ำพระวิหาร ที่มีการก่อสร้างเป็นศาลา มีพระพุทธรูปประดิษฐาน ที่สำคัญ มีรูปเคารพพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ พร้อมทั้งมีการจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์ใส่ตู้โชว์ไว้ และมีป้ายเขียนให้คิด ข้อความว่า “…นานไปกลายเป็นฝุ่น สูญสิ้นเป็นดิน โลกนี้อนิจจัง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สัพเพ สังขารา ทุกขา, สัพเพ สังขารา อนัตตา คนเราเป็นอย่างนี้…”
อ่านแล้วได้ปลงและเห็นสัจธรรมชีวิตมนุษย์ที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้
ตะลึงความงามน้ำตกถ้ำพระ
เมื่อขึ้นภูทอกแล้ว ถ้ามาบึงกาฬในหน้าฝน สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยคือ น้ำตก โดยเฉพาะน้ำตกเลื่องชื่ออย่าง น้ำตกเจ็ดสี น้ำตกถ้ำพระ น้ำตกถ้ำฝุ่น และน้ำตกชะแนน ซึ่งน้ำตกหินทรายเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อันเป็นป่าผืนใหญ่ที่สำคัญในบึงกาฬ มีเนื้อที่ 116,562 ไร่ หรือ ประมาณ 186.5 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมในหลายอำเภอ
หากใครที่รู้จักภูมิประเทศในอีสาน ย่อมรู้ดีว่าจะต้องมาเที่ยวน้ำตกในหน้าฝนเท่านั้น ประมาณเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่ก็มีบางแห่งที่อาจจะไม่สามารถเข้าถึงตัวน้ำตกได้เพราะกระแสน้ำแรง เนื่องจากบางช่วงต้องข้ามลำน้ำ อย่างน้ำตกเจ็ดสี ปรากฏว่าคณะนักข่าวไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืน กระแสน้ำป่าไหลแรงข้ามไปไม่ได้
คณะสื่อจากส่วนกลางจึงต้องเบนเข็มไปที่น้ำตกถ้ำพระ ตัวน้ำตกตั้งอยู่ที่บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา ซึ่งแม้อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว แต่ อบต. เป็นผู้ดูแลและจัดการด้านการท่องเที่ยว การไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ต้องนั่งเรือเข้าไป ใช้เวลาสัก 10 นาที ค่าเรือคนละ 20 บาท รวมทั้งไปและกลับ จากนั้นต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร เรียกว่ายังไม่ทันได้เหนื่อยก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว
ตัวน้ำตกชั้นแรกเป็นแอ่งกระทะใหญ่ มีเด็กและผู้ใหญ่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางพวกก็เล่นสไลเดอร์กันอย่างสนุกสนาน ทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ขยับขึ้นไปอีกนิดเป็นช่วงกลาง ซึ่งมีการกั้นน้ำเป็นลักษณะฝาย (เดิมไม่มี) จุดนี้ก็มีคนเล่นน้ำเยอะเหมือนกัน ดูแล้วไม่ลึกอะไรเพราะเด็กๆ ก็เล่นกัน จุดนี้มองไปข้างหน้าตรงริมเพิงผาจะเห็นพระพุทธรูป 2 องค์ ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างไปกราบไหว้กัน
ส่วนที่เป็นไฮไลต์ของน้ำตกถ้ำพระอยู่ที่ชั้น 3 อันเป็นชั้นบนสุด ต้องเดินขึ้นบันไดสูงหลายขั้นอยู่เหมือนกัน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ส่วนหนึ่งคงเป็นไอร้อนจากลานก้อนหินใหญ่ที่มีอยู่ทั่วไป
ความแรงและความสวยงามของสายน้ำที่รวมตัวกันจากผาหินสูงลงสู่เบื้องล่าง เป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก เมื่อส่งภาพจากมือถือไปให้พรรคพวก ล้วนพูดตรงกันว่าช่างงามเหลือเกิน ไม่คิดว่าอีสานจะมีน้ำตกสวยๆ แบบนี้
น้ำตกอีกแห่งที่ได้ไปกันคือ น้ำตกถ้ำฝุ่น อยู่ที่บ้านภูสวาท ตำบลหนองเดิ่น อำเภอบุ่งคล้า อันเป็นส่วนหนึ่งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว การเข้าไปที่น้ำตกแห่งนี้ไม่ไกลเลย ยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว แค่ 200-300 เมตรเอง
จุดเด่นของน้ำตกถ้ำฝุ่นคือ มีน้ำตกถึง 4 สายแยกจากกัน บางสายเป็นแอ่งน้ำใหญ่ให้คนลงไปเล่นน้ำ ขณะที่บางสายมีหลุมไต่ระดับ ประเภทมีอ่างจากุซซี่ของใครของมัน เนื่องจากมีหลุมหรือมีแอ่งหลายหลุมลดหลั่นกันมา
2 จุดแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำของโลก
ความที่ว่าพวกเรามาบึงกาฬหลายวันจึงมีโอกาสได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งของที่นี่ โดยเฉพาะได้นั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินที่บึงโขงหลง ซึ่งสวยงามมาก แม้การไปตอนเย็นจะไม่ได้เห็นนกอพยพที่เขาว่ากันว่ามีนับร้อยนับพันชนิดก็ตาม
บึงโขงหลงมีเนื้อที่ 8,000 กว่าไร่ กินพื้นที่ทั้งในอำเภอเซกาและบึงโขงหลง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ เมื่อปี 2544 ตัวบึงมีความยาวประมาณ 13 กิโลเมตร ถือเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบแม่น้ำสงคราม ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำไหลก่อนลงสู่แม่น้ำโขง ในบึงมีเกาะแก่งหลายแห่ง อาทิ ดอนแก้ว ดอนโพธิ์ ดอนน่อง ดอนสวรรค์ บางจุดเป็นป่าดิบแล้งที่อุดมสมบูรณ์
ถ้าใครได้อ่านตำนานของบึงแห่งนี้จะรู้ว่าแต่ก่อนบึงโขงหลงเป็นนครใหญ่ที่มีผู้ปกครองนคร ชื่อ “รัตพานคร” แต่ตอนหลังถูกพระยานาคราชในเมืองบาดาลโจมตีเพราะไม่พอใจที่ขับไสไล่ส่งลูกสาวที่ปลอมเป็นหญิงสาวจนได้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายของนครแห่งนี้ ผลของการทำลายล้างทำให้นครนี้กลายเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ขณะที่ในยุคปัจจุบันบางปีจะได้ยินข่าวมีคนเห็นพญานาคเล่นน้ำในบึงแห่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันว่าจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงปลาบางประเภทที่มีลักษณะแปลกๆ หรือเป็นปรากฏการณ์บางอย่างของธรรมชาติ อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล
อีกวันพวกเราไปหนองกุดทิง พื้นที่ชุ่มน้ำโลกอีกแห่งของบึงกาฬ ออกจากตัวเมืองไปแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น มีขนาดใหญ่กว่าบึงโขงหลงเสียอีก เพราะมีเนื้อที่มากถึง 16,500 ไร่ โดยหนองกุดทิงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์ ลำดับที่ 12 ของประเทศไทย เสียดายเราไม่ได้ล่องเรือ เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่บนฝั่ง โชคดีได้ภาพชาวบ้านแถวนั้นกำลังหาปลาอยู่พอดี เรียกว่าเป็นแหล่งทำมาหากินอันอุดมสมบูรณ์ของชาวบึงกาฬ
ทำไมถึงชื่อหนองกุดทิง…”กุด” เป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึง บริเวณที่น้ำจากลำห้วยหลายสายไหลมารวมกันกลายเป็นแอ่งน้ำ บึง หรือหนองน้ำขนาดใหญ่ ส่วนคำว่า “ทิง” น่าจะมาจากคำว่า “กระทิง” สรุปแล้วกุดทิง หมายความว่า เป็นแหล่งน้ำที่มีวัวกระทิงลงมากินน้ำเป็นจำนวนมาก
มาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวบึงกาฬงวดนี้คุ้มทีเดียวเพราะได้เที่ยวในหลายจุดหลายพื้นที่ แต่หากใครชวนไปบึงกาฬอีกก็อยากจะไปสัมผัสในช่วงปลายฝนต้นหนาวน่าจะดี เพราะอยากรู้ว่าหนาวที่บึงกาฬเป็นเช่นไร เขาว่าภูทั้งหลายเต็มไปด้วยทะเลหมอกสวยนักสวยหนา แบบนี้ต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา