หนี้ใคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07089151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 383

ฎีกาธุรกิจ

โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th

หนี้ใคร

บริษัทจัดหาคนงานไปทำงานต่างประเทศ ร่วมดำเนินโครงการกับธนาคาร ให้ปล่อยสินเชื่อแก่คนงานไปทำงานต่างประเทศ เปิดบัญชีเงินฝากค้ำประกันเอาไว้ ถ้าคนงานไม่ชำระหนี้ครบให้ธนาคารหักเงินในบัญชีไปได้เลย แถมมีผู้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันอีกคน ธนาคารตกลงปล่อยเงินกู้ เมื่อคนงานเบี้ยว จึงหักเงินจากบัญชีบริษัท บริษัทโดนหักเงิน หันไปฟ้องเอาผู้จดจำนองที่ดินต่อ

1.

บริษัทจัดหาคนงานไปทำงานต่างประเทศ ได้ทำความตกลงกับธนาคาร ในโครงการอำนวยสินเชื่อให้คนงานที่จะไปทำงานต่างประเทศ

บริษัทต้องเปิดบัญชีฝากเงินประเภทสะสมทรัพย์ไว้กับธนาคารชื่อ “บัญชีสำรองจ่ายหนี้เสีย” เพื่อประกันความเสียหายในการปฏิบัติตามสัญญาของคนงานที่รับเงินกู้ไปจากธนาคารเพื่อไปทำงานต่างประเทศ โดยบริษัทเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของคนงานเหล่านั้น และยอมให้ธนาคารหักเงินในบัญชีสำรองจ่ายหนี้เสียนี้ ชำระแทนคนงานหรือผู้กู้ที่ไม่สามารถชำระหนี้คืนภายใน 3 เดือนนับแต่วันผิดนัดชำระ

เมื่อตกลงกันได้อย่างนั้น บริษัทเริ่มดำเนินการตามโครงการทันที ประกาศให้คนงานทราบ ใครที่สนใจไปทำงานต่างประเทศ มีโครงการที่ธนาคารให้กู้เงิน

คุณจำนูญเป็นคนทำงาน เป็นคนหางาน ที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ กระโดดเข้าร่วมโครงการทันที

คุณจำนูญติดต่อกับบริษัท ขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการขอสินเชื่อจากธนาคาร บริษัทก็ดำเนินการให้คุณจำนูญได้เข้าร่วมโครงการนี้

คุณจำนูญยื่นขอกู้เงินจากธนาคาร 100,000 บาท ธนาคารคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี

ในการกู้เงินดังกล่าวนั้น บริษัทได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของคุณจำนูญไว้ต่อธนาคาร

นอกจากนั้น ธนาคารยังขอให้มีผู้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้อีกชั้นหนึ่ง

คุณจำนูญได้ขอให้คุณโผงนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันหนี้ของคุณจำนูญด้วย

ธนาคารมั่นใจแน่นอน มีบริษัทค้ำประกัน โดยมีบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารและตกลงให้ธนาคารหักบัญชีได้หากลูกหนี้ไม่ชำระตามเงื่อนไขกำหนด

แถมยังมีคุณโผงนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้นั้นไว้อีกราย จึงจ่ายเงินแก่คุณจำนูญไป 100,000 บาท

คุณจำนูญดีใจ มีเงินสำหรับใช้จ่ายและได้ไปทำงานต่างประเทศสมตั้งใจ

เมื่อคุณจำนูญไปทำงานต่างประเทศ แรกๆ ก็ส่งเงินเข้าบัญชี ชำระหนี้แก่ธนาคารตามสัญญาที่ว่าไว้

แต่เฉพาะแรกๆ เท่านั้นเองที่ชำระ เพราะหลังๆ นี่ธนาคารพบว่า คุณจำนูญไม่นำเงินเข้าบัญชี คือไม่ชำระหนี้เงินกู้อีกแล้วนั่นเอง

ธนาคารทวงคุณจำนูญ แต่เหลว ไม่มีเงินชำระเข้ามา จึงหันไปหาผู้ค้ำประกันคือบริษัทนะเอง

ธนาคารเริ่มหักเงินจาก “บัญชีสำรองจ่ายหนี้เสีย” ที่บริษัทเปิดไว้ จำนวน 94,365 บาท จนครบหนี้ไป

ธนาคารเก๊าะสบายตัวไป ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว

2.

หันมาทางบริษัท บริษัทถูกธนาคารหักบัญชีไป 9 หมื่นกว่าบาท ตามสัญญา ทำไงต่อละ

บริษัทว่า อย่างนี้ คุณจำนูญต้องรับผิดชอบ

แต่ลำพังคุณจำนูญ ดูท่าทางจะไม่มีเงิน ดังนั้น จึงไปหาคุณโผงด้วย

บริษัทว่า นอกจากคุณจำนูญแล้ว คุณโผงผู้จดจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของคุณจำนูญ ต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วยสิ

ว่าแล้วจึงเริ่มทวงถามเอากับคุณโผงไป

คุณโผงรับหนังสือทวงถาม แล้วร้องด้วยความสงสัยว่า “อ้าว ผมไปเกี่ยวไรด้วยละ?”

บริษัทส่งเจ้าหน้าที่มาคุยด้วย พยายามอธิบายให้ฟังว่า ทำไมคุณโผงถึงต้องร่วมกันรับผิดชอบหนี้นี้ด้วย

คุณโผงว่า “รับผิดชอบอะไร ผมเกี่ยวอะไรด้วย”

บริษัทว่า “ไม่รู้ละ ถ้าไม่จ่ายเป็นโดนฟ้อง”

คุณโผงว่า “ฟ้องก็ฟ้องสิ กลัวรึ”

บริษัทยื่นฟ้องคุณจำนูญ เป็นจำเลยที่ 1 และคุณโผงเป็นจำเลยที่ 2

เรียกให้ทั้งสองร่วมกัน จ่ายเงินจำนวน 94,365 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี มา

3.

เมื่อถูกฟ้อง คุณจำนูญและคุณโผงต่อสู้คดี

โดยเฉพาะคุณโผงต่อสู้ว่า บริษัทนั้นเข้าค้ำประกันหนี้ของคุณจำนูญ

ส่วนคุณโผงนั้นนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้เงินกู้ต่อธนาคาร

ทีนี้เมื่อบริษัทถูกหักบัญชีนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้แล้ว หนี้ประธานที่คุณจำนูญกู้จากธนาคารไม่มีแล้ว สัญญาจำนองก็ระงับสิ

ธนาคารผู้รับจำนองเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิเหนือคุณโผงในฐานะคู่สัญญาจำนอง

บริษัทชอบที่จะรับช่วงสิทธิจากธนาคารและใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาก็แต่เฉพาะกับคุณจำนูญลูกหนี้ชั้นต้นโน่น ไม่มีอำนาจมาฟ้องคุณโผงบังคับจำนองให้คุณโผงชำระหนี้ได้ดอก ขอให้ยกฟ้องไป

ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้คุณจำนูญ ชำระเงิน 94,365 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ของเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท

บริษัทอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

4.

บริษัทฎีกาคดี

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของบริษัทเพียงว่า บริษัทมีสิทธิรับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ มาฟ้องไล่เบี้ยเอาจากคุณโผงผู้จดทะเบียนที่ดินจำนองเป็นประกันหนี้นี้หรือไม่

โดยบริษัทฎีกาว่า บริษัทและคุณโผง ต่างเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของคุณจำนูญในหนี้รายเดียวกัน

แม้วิธีการประกันหนี้จะไม่เหมือนกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับคุณจำนูญ และคุณโผง เป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้น

เห็นว่า การที่คุณโผงจำนองที่ดินของตนเป็นประกันเงินกู้ที่คุณจำนูญต้องชำระให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้ เป็นการให้สัญญาต่อเจ้าหนี้ของคุณจำนูญว่า หากคุณจำนูญไม่ชำระหนี้ ก็ให้ธนาคารเจ้าหนี้ของคุณจำนูญ บังคับจำนองเอากับที่ดินของคุณโผงได้

ต่างกับการค้ำประกันซึ่งบริษัทผู้ค้ำประกันสัญญาว่า ถ้าคุณจำนูญไม่ชำระหนี้ บริษัทจะชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ของคุณจำนูญ โดยยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับคุณจำนูญผู้เป็นลูกหนี้ ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ทุกชนิด

ส่วนกรณีของคุณโผงนั้น ต้องบังคับเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในลักษณะจำนอง ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้นำมาตรา 682 วรรคสอง ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับกับคุณโผงให้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับบริษัทซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน

อีกทั้งไม่ใช่กรณีผู้ค้ำประกันหลายคนยอมตนเข้าค้ำประกันหนี้รายเดียวกันอันจะต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา 682 วรรคสอง อันจะทำให้บริษัทรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บังคับจำนองกับที่ดินที่คุณโผงได้

ศาลฎีกาพิพากษายืน

คุณโผงผิวปากสบายใจไปสิ

(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13337/2556)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 682 ท่านว่าบุคคลจะยอมเข้าเป็นผู้รับเรือน คือเป็นประกันของผู้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง ก็เป็นได้

ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่ามิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

มาตรา 702 อันว่าจำนองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจำนอง เป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญมิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

Leave a comment