ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07067011258&srcday=2015-12-01&search=no
| วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 21 ฉบับที่ 386 |
เสริมไอเดีย
สร้าง บุญสอง srangbun@hotmail.com
กสิกรไทย ฟันธง ธุรกิจรุ่ง ปี 59 เตือนภัยอุตสาหกรรมใช้แรงงาน
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทางธนาคารกสิกรไทยออกมาประมาณการว่า ปี 2559 จีดีพีบ้านเราจะโต 3% โดย คุณปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า การลงทุนของภาครัฐยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 20 โครงการ มูลค่ารวม 1.77 ล้านล้านบาท ขณะที่ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปี รัฐบาลตั้งงบประมาณรายจ่ายลงทุนทั้งสิ้น 5.44 แสนล้านบาท สูงกว่าปี 2558 ถึง 20.7% รวมทั้งมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือทางการเงินแก่เอสเอ็มอี นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมที่สำคัญของไทยด้วย
การค้าชายแดนไปโลด
พร้อมกันนั้นยังชี้ด้วยว่า เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มฟื้นตัวในกรอบจำกัด โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของการส่งออกของไทยในปีหน้า อย่างไรก็ตาม หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านพ้นจุดต่ำสุดและเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 2559 จะกลับมาขยายตัวได้เล็กน้อยที่ประมาณ 2% ด้านการค้าชายแดนยังมีศักยภาพที่ดี
ประกอบกับการที่ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่การค้าชายแดน และซุปเปอร์คลัสเตอร์ (Border Special Economic Zones & Cluster Based Special Economic Zones) ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจการค้าในพื้นที่ดังกล่าวยังคงมีการขยายตัว นอกจากนี้ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง เป็นตลาดที่มีศักยภาพเพื่อการค้าการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคนี้
จากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศและแนวโน้มของภูมิภาค ธนาคารกสิกรไทยจึงกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานของธนาคารในปี 2559 ดังนี้ สินเชื่อโดยรวมเติบโตที่ 6-7% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) ที่ 45-47% และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) ที่ระดับ 3.5-3.6% พร้อมตอกย้ำเป้าหมายการเป็นธนาคารหลักของลูกค้า (Customer”s Main Bank) ในทุกกลุ่มลูกค้า ยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล และเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารแห่ง AEC+3 เพื่อตอบรับศักยภาพของตลาดในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผลและทันต่อภาวการณ์เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงในระยะยาว
ด้าน คุณธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ย้ำอีกว่า ปีหน้ากสิกรไทยเน้นการเป็น “AEC+3 Bank” เพื่อตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจจากการเกิด AEC และโอกาสทางธุรกิจกับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยมีกลยุทธ์ในด้านธุรกิจข้ามประเทศที่มุ่งเน้นขยายการให้บริการ เพื่อรองรับลูกค้าที่ขยายธุรกิจและการลงทุนในกลุ่มประเทศ AEC+3 ด้วยบริการทางการเงินระหว่างประเทศแบบครบวงจร (Seamless Cross Border Solution) 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ บริการ Regional Value Chain Solution ที่เชื่อมโยงธุรกิจของลูกค้า เพื่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการสูงสุดภายในเครือข่ายธุรกิจ มุ่งเน้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักคือ กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริการ และกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์
บริการ Investment Solution ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย ผ่านการจับคู่ธุรกิจและการควบรวมกิจการ และบริการ Trade and Payment Solution ให้บริการการโอนและชำระเงิน ผ่านการสร้าง Border Trade Solution เช่น การจัดตั้งศูนย์ธุรกิจการค้าชายแดนที่แม่สอดเพื่อตอบรับกับนโยบายการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการสร้าง Digital Cross Border Payment Solution ด้วยการจับมือกับพันธมิตรพัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบดิจิตอล แบงกิ้ง เพื่อรองรับการชำระเงินและโอนเงินข้ามประเทศ
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าขยายช่องทางการให้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการยกระดับสาขาในประเทศจีนให้เป็นธนาคารท้องถิ่น การเปิดสาขาในประเทศกัมพูชา การขยายสาขาในประเทศลาว การวางแผนการเปิดสาขาในประเทศเวียดนามและเมียนมา รวมทั้งการเชื่อมต่อกับธนาคารพันธมิตร
ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยมีเครือข่ายบริการ ประกอบด้วย สาขาในต่างประเทศ 6 สาขา ได้แก่ สาขาเซินเจิ้น สาขาย่อยหลงกั่ง เซินเจิ้น สาขาเฉิงตู สาขาฮ่องกง สาขาลอสแองเจลิส สาขาหมู่เกาะเคย์แมน ธนาคารท้องถิ่น 1 แห่ง คือที่ สปป.ลาว สำนักผู้แทน 9 แห่ง ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง โตเกียว ย่างกุ้ง ฮานอย โฮจิมินห์ จาการ์ตา และ พนมเปญ ธนาคารพันธมิตร 72 แห่ง ใน 11 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อิตาลี ลาว เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และ จีน
เฮลท์แคร์ มีอนาคต
คุณธีรนันท์ สรุปภาพธุรกิจสำคัญในปี 2559 โดยแยกแต่ละอุตสาหกรรมให้เห็นดังนี้ ในส่วนของปิโตรเคมี ยังคงเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ แต่อาจจะไม่เลวร้ายเท่าปี 2558
ยานยนต์และชิ้นส่วน ยอดขายในประเทศประคองตัว แต่มีการคาดหวังส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง
อาหารแปรรูป การส่งออกขยายตัวในกลุ่มเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ไก่ สิ่งปรุงรสอาหาร แต่บางกลุ่มอย่างอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ยังเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัยลบ
การค้าปลีกสมัยใหม่ ขยายตัวได้ในโมเดลที่จับตลาดกลางขึ้นบน และมีสัดส่วนของสินค้าอาหารค่อนข้างมาก และมีสาขาอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ อาทิ ชายแดนและในจังหวัดท่องเที่ยว
โรงแรม เชนโรงแรมขยายเซ็กเมนต์ ตั้งแต่ระดับบนมาถึงระดับกลาง สอดรับกับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนในสายการบินต้นทุนต่ำ ส่วนเอสเอ็มอี เจอการแข่งขันสูง
อสังหาริมทรัพย์ มาตรการรัฐ มีส่วนสนับสนุนกลุ่มที่อยู่อาศัย แต่ภาพรวมยังถูกกดดันจากกำลังซื้อ
ธุรกิจเฮลท์แคร์ เติบโตได้ต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของลูกค้าในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เน้นเรื่องการดูแลสุขภาพ
สิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่มน่าห่วง
คุณธีรนันท์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยบวกในปี 2559 จากการที่ภาครัฐตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้เกิดการประมูลและเริ่มลงทุนโครงการต่างๆ รวมเป็นเม็ดเงินราว 3 แสนล้านบาท จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งทั้งภายในประเทศและที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน (ASEAN Connectivity) ซึ่งจะสนับสนุนการขยายตัวของกิจกรรมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะหลังการเปิด AEC สมบูรณ์ ส่งผลให้ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2559 ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง ขนส่ง
ขณะที่ธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคมจะมีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน จากการขยายการลงทุนของผู้ได้รับใบอนุญาต 4G รวมทั้งความต้องการบริการด้านข้อมูล (Non-Voice Service) ที่เพิ่มขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคดิจิตอลและความต้องการใช้งานเพื่อสนับสนุนธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ ธุรกิจการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนจะมีแนวโน้มที่ดี จากการจัดสรรกำลังการผลิตไปสู่ตลาดศักยภาพในต่างประเทศ เพื่อทดแทนยอดขายในประเทศที่อาจยังได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง
สำหรับธุรกิจที่พึงระวังในปีหน้า มีดังนี้ สินค้าเกษตรและประมง อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งที่ยังคงมีต่อเนื่อง และราคาที่แม้ไม่ทรุดแต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นแรงถ่วงรายได้และกำลังซื้อของกลุ่มฐานราก นอกจากนี้ ในกลุ่มประมงอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการของประเทศคู่ค้า (IUU Fishing)
อีกประเภทหนึ่งคือ สินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ได้แก่ กลุ่มสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดที่ผู้ประกอบการมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ได้เปรียบด้านต้นทุนและสิทธิทางภาษี