ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07024010159&srcday=2016-01-01&search=no
| วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 388 |
รายงานพิเศษ
ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com
กูรู “ล้มยักษ์” สแกน Startup เริ่มต้นดี แต่ทำยังไงถึงจะโตได้
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ สตาร์ตอัพ (Startup) มีการพูดถึงกันหนาหูในสังคมไทย และเชื่อว่ายังจะเป็นกระแสอีกต่อไป เพราะหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่งต่างมีนโยบายสนับสนุนบรรดานักธุรกิจหน้าใหม่เหล่านี้
“คุณปพนธ์ มังคละธนะกุล” ผู้ก่อตั้ง บริษัท ล้มยักษ์ จำกัด เป็นอีกผู้หนึ่งที่คลุกคลีกับผู้ประกอบการกลุ่มที่ว่ามานานพอสมควร เขาจะมาฉายภาพให้เห็นถึงสภาพสตาร์ตอัพในวันนี้และในอนาคต
“เฟซบุ๊ก-อะเมซอน” ต้นแบบ
ก่อนอื่นเขาอธิบายว่า สตาร์ตอัพ คือบริษัทที่เพิ่งเริ่มกิจการใหม่ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีธุรกิจเกิดขึ้นใหม่ทุกวัน โดยเฉพาะตั้งแต่มีโซเชียลมีเดีย มีความนิยมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้นมาก เพียงแค่สร้างแฟนเพจขึ้นมา โพสต์สินค้าลงในหน้าเพจ มีการซื้อบูสต์ (Boost/Boost Post) ทั้งเพจและโพสต์ ทำให้การเข้าถึงและการโฆษณาทำได้ง่ายและถูก จึงเกิดร้านค้าบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมกันเป็นดอกเห็ด
อย่างไรก็ตาม ในมุมที่มาจากฟากประเทศฝั่งยุโรปและอเมริกา ถ้าพูดถึงสตาร์ตอัพ หมายถึง เทคสตาร์ตอัพ (Tech Startup) ซึ่งคือบริษัทตั้งใหม่ที่เน้นเรื่องเทคโนโลยี โดยพยายามหาประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา และคิดหา บิสซิเนสโมเดล (Business Model) เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงของคนยุคใหม่
ส่วนใหญ่ผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ตอัพมาจาก 2 กลุ่มคน หนึ่งคือ คนที่ทำงานมาพอสมควร มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง และออกมาเปิดบริษัทที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญ ส่วนอีกพวกหนึ่งคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษา ทำงานมาบ้าง พอมีประสบการณ์ เห็นโลกการทำงาน แต่ยังไม่เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ แต่กลุ่มนี้มาพร้อมพลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ต้องการสร้างอะไรใหม่ๆ โดยมีต้นแบบคือ พวกบริษัทไฮเทคในเมืองนอก ไม่ว่าจะเป็น Amazon.com, Facebook, Airbnb, Uber
สตาร์ตอัพยังรวมถึงธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และไม่สามารถเดินเองได้ ทิศทางธุรกิจยังไม่ชัดเจน ไม่แน่ว่าจะไปรอดหรือไม่ การตอบรับของตลาดและกลุ่มเป้าหมายต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการยังไม่ชัดเจน พูดง่ายๆ คือกลุ่มสตาร์ตอัพน่าจะเหมารวมถึงกลุ่มธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งถ้านับตามคำจำกัดความแบบนี้ น่าจะมีอยู่เป็นหลักไม่ต่ำกว่าล้านราย (จากจำนวนเอสเอ็มอี 2.5 ล้านราย)
คุณปพนธ์ ให้ข้อมูลด้วยว่า ในบ้านเรามีกลุ่มสตาร์ตอัพเยอะมาก เพราะแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำให้ใครที่อยากทำการค้าสามารถทำได้ง่ายและเร็ว ส่วนมากเชื่อว่าไม่ได้จดทะเบียนบริษัทเสียด้วยซ้ำ มักจะเป็นกิจการที่ทำโดยเจ้าของคนเดียว หรือทำกับเพื่อน กับครอบครัว
“หากให้เปรียบคนที่ทำร้านค้าบนโซเชียลมีเดีย น่าจะคล้ายๆ กับ พวกแผงลอย ร้านค้าตามตลาดนัดต่างๆ ที่สามารถเริ่มได้ง่าย เงินลงทุนต่ำ เน้นซื้อมาขายไป ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็กลุ่มที่มีเว็บไซต์ของตัวเอง เริ่มมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง กลุ่มนี้คล้ายๆ กับพวกร้านที่เป็นตึกแถว อยู่ในห้าง ต้องมีการลงทุนหน้าร้าน” คุณปพนธ์กล่าวและว่า “ธุรกิจสตาร์ตอัพส่วนใหญ่เป็นพวกค้าปลีก ค้าส่ง และบริการ มีการผลิตและอุตสาหกรรมบ้าง แต่สัดส่วนไม่เยอะ เนื่องจากมีการลงทุนสูง ส่วนกลุ่มเทคสตาร์ตอัพนั้นยังถือว่าเป็นกลุ่มน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนทั้งหมด แต่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ”
สารพัดปัญหาอุปสรรค
ผู้ก่อตั้งบริษัทล้มยักษ์ เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสพบปะกับกลุ่มธุรกิจที่เริ่มมาไม่เกิน 2-3 ปีอยู่พอสมควร มีทั้งยังเตาะแตะ หาลู่วิ่งของตัวเองอยู่ และมีทั้งที่หาลู่วิ่งตัวเองเจอแล้ว แต่ยังมองไม่ชัดว่าลู่วิ่งนี้จะทอดยาวไปไกลแค่ไหน ส่วนใหญ่มักเริ่มจากความชอบส่วนตัว หรือหาทางแก้ปัญหาส่วนตัวที่ตัวเองมี แต่ธุรกิจที่มีในปัจจุบัน ไม่ตอบโจทย์ คนกลุ่มนี้เลยออกมาทำเอง จะได้มีสินค้าหรือตอบโจทย์จริงๆ ธุรกิจที่เจอ มีตั้งแต่ ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าออร์แกนิก ไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว พวกสบู่ แชมพู หรือพวกอาหารออร์แกนิก และมีอยู่รายหนึ่งที่สนใจพวกเครื่องหนังก็มาทำเป็นเครื่องหนัง พวกของใช้ส่วนตัว เย็บมือ ศึกษาการตัดเย็บจากเว็บไซต์บ้าง หนังสือบ้าง
“ผมเองชื่นชมคนกลุ่มนี้เพราะเขาเริ่มธุรกิจจากการต้องการแก้ปัญหาอะไรบางอย่างที่สนใจ ไม่ได้ตั้งต้นด้วยตัวเงินก่อน เป็นการเริ่มต้นอย่างถูกต้อง แต่ปัญหาที่เห็นคือ ส่วนใหญ่มีมุมมองจำกัดในเรื่องของธุรกิจ เพราะไม่ได้มองไปในมุมกว้างมากขึ้น”
เขายกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ กรณีผู้ประกอบการสินค้าออร์แกนิก ที่ต้องการแก้ปัญหาการแพ้ง่ายของตัวเอง เรื่องคุณภาพไม่ต้องห่วง ดีแน่ ไม่มีย้อมแมว ซึ่งอาจจะต่างจากกลุ่มที่เข้ามาในไลน์ออร์แกนิกเพราะเห็นว่าเป็นเทรนด์ กลุ่มหลังนี้คุณภาพจริงๆ อาจไม่ถึง แต่เข้ามาเพราะเห็นโอกาสทางธุรกิจ แต่คนกลุ่มที่เริ่มต้นจากใจรักนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ โอเปอเรติ้งโมเดล (Operating Model) ไม่สามารถขยายตลาดได้ เพราะต้นทุนสูง ทำให้ราคาขายสูงมาก ขายได้เฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญหาอย่างเดียวกัน หรือมีความสนใจอย่างเดียวกัน แต่ไม่สามารถขยายตลาดไปได้มากกว่านี้ จนกว่าจะปรับเปลี่ยนโอเปอเรติ้งโมเดลให้สามารถทำในสเกลที่ใหญ่ขึ้นได้ และสามารถกดต้นทุนลงมาให้สามารถลดราคาขายลงมาได้
ต้องคิดถึงธุรกิจขยายในอนาคต
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ สตาร์ตอัพเหล่านั้นมีสินค้าหรือบริการที่มีความชัดเจนเพียงพอหรือไม่ เพราะในโลกที่ทุกคนสามารถตั้งธุรกิจได้เพียงปลายนิ้วคลิกนี้ สินค้าต้องโดดเด่นในเชิงคุณค่าจริงๆ ถึงจะอยู่ได้ในระยะยาว
“ดูตัวอย่างของร้านค้าต่างๆ ที่คนต้องรอคิวเข้าซื้อในช่วงแรก เพราะเป็นกระแสจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ แต่พอผ่านไปไม่เท่าไร ความเห่อ ลดน้อยลง คิวไม่มีกันแล้ว ถ้าสินค้าไม่ดีจริง คือมีคุณค่าในสายตาผู้บริโภคก็ยากที่จะรอดในระยะยาว ผมคิดว่าสตาร์ตอัพต้องหาทางของตัวเองให้เจอว่าสินค้าหรือบริการของตน หรือบิสซิเนสโมเดลของตัวเองนั้น สามารถยืนระยะได้ในระยะยาว”
หากสินค้าขายดีจริงๆ ปัญหาในขั้นถัดไปคือ ต้องมี โอเปอเรติ้งแพลตฟอร์ม (Operating Platform) หรือ ระบบปฏิบัติการที่สามารถรองรับการเติบโตได้จริง การเริ่มต้นธุรกิจกับการขยายธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกันมาก เมื่อผ่านช่วงแรกไปแล้ว ธุรกิจมักจะชนเพดาน เนื่องจากระบบปฏิบัติการที่ใช้ตอนแรก ไม่สามารถรองรับการเติบโต ไม่ซับซ้อนเพียงพอ ดังนั้น สตาร์ตอัพทั้งหลายควรต้องมองเรื่องนี้ด้วย เพื่อให้เมื่อถึงเวลาต้องขยาย จะได้ไม่ชนเพดานโดยไม่ทันตั้งตัว
ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ประกอบการมักเจอะเจอคือ เรื่องเงินทุน ประเด็นนี้ คุณปพนธ์ มองว่า เป็นปัญหาคลาสสิก ในประเทศไทยเคยชินแต่ระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่เหมาะกับการที่จะเป็นแหล่งเงินทุนให้กลุ่มสตาร์ตอัพ เนื่องจากความสามารถในการรับความเสี่ยงไม่เท่ากัน บ้านเราต้องพัฒนาระบบการเงินที่เหมาะสมให้รองรับด้วย กองทุนร่วมทุน (Venture Capital หรือ VC) เป็นรูปแบบเงินทุนที่เหมาะสมกว่าธนาคารพาณิชย์ เพราะมีวิธีประเมินธุรกิจ โดยมองอนาคตเป็นหลัก และพร้อมร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน เนื่องจากหวังผลตอบแทนที่สูงในกรณีที่ลงทุนแล้วบริษัทไปได้ดี
คุณปพนธ์ พูดถึงนโยบายสตาร์ตอัพของต่างประเทศว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว รัฐบาลมักไม่ค่อยใช้วิธีสนับสนุนแบบให้เปล่า หรือมีโครงการสนับสนุนต่างๆ มาก แต่มักสนับสนุนผ่านระบบตลาดคือ ใช้กลไกของอุปสงค์ อุปทาน ให้ทำงานได้เต็มที่ แต่จะเน้นเรื่องการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พร้อมเพื่อให้หนุนระบบตลาด เช่น มีการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่กองทุนร่วมทุน เพื่อให้คนที่มีเงิน และพร้อมที่จะรับความเสี่ยงมีแรงจูงใจมาลงทุนในรูปแบบนี้ ซึ่งทำให้มีผู้เล่นมากหน้าหลายตา สตาร์ตอัพก็มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น
รูปแบบการลงทุนของล้มยักษ์
“บริษัทล้มยักษ์เองก็พยายามหาบิสซิเนสโมเดลที่จะเข้าถึงคนกลุ่มนี้อยู่ หนึ่งในบิสซิเนสโมเดลที่ดูคือ ให้คำปรึกษาผ่านการลงทุน เข้าไปลงทุนในบริษัทที่เห็นว่ามีศักยภาพ โดยเราต้องเข้าไปช่วยดูในเรื่องธุรกิจด้วย คงไม่ไปลงทุนอย่างเดียว ตอนนี้เรื่องการลงทุนอาจเป็นทั้งรูปแบบเอาเงินไปลงด้วย หรืออาจเป็นลงแรงแลกกับการถือหุ้น”
เขาให้คำแนะนำกลุ่มสตาร์ตอัพว่า ควรเริ่มต้นจากการหาปัญหาที่ตัวเองต้องการจะแก้ หรือเรื่องที่สนใจ อย่าเริ่มจากคิดเรื่องตัวเงินก่อน เมื่อมีโจทย์มีปัญหาที่ต้องการจะแก้แล้ว ถัดไปก็เป็นเรื่องการหาบิสซิเนสโมเดลที่จะไปแก้ปัญหาเหล่านั้น ซึ่งยังมีนวัตกรรมที่เปิดกว้างอยู่ คือนวัตกรรมในเชิงบิสซิเนสโมเดล เทคโนโลยีสมัยใหม่ตอนนี้เอื้ออย่างมากกับการสร้างนวัตกรรมด้านบิสซิเนสโมเดล
ตัวอย่างที่เห็นชัดไม่ว่าจะเป็น Uber, Grab Taxi, Airbnb ล้วนเกิดจากการสร้างนวัตกรรมด้านบิสซิเนสโมเดลทั้งสิ้น บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ลงทุนในสินทรัพย์ตัวที่ส่งมอบบริการเลย เป็นบริษัทที่ตัวเบามาก แต่สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นเทคโนโลยีที่สร้างบิสซิเนสโมเดลนั้นๆ
นอกจากนี้ ตอนที่คิดบิสซิเนสโมเดล ต้องคิดเผื่อสำหรับปริมาณธุรกิจที่มากด้วย คนส่วนใหญ่มักออกแบบบิสซิเนสโมเดล และโอเปอเรติ้งแพลตฟอร์ม เพื่อรองรับปริมาณธุรกิจช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ไม่รองรับปริมาณธุรกิจในอนาคต ซึ่งอันนี้จะเป็นปัญหาอย่างมากข้างหน้า เพราะการปรับเรื่องพวกนี้ข้างหน้าเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก ต้องรื้อเยอะ ฉะนั้น เรื่องบิสซิเนสโมเดล และโอเปอเรติ้งแพลตฟอร์ม ต้องคิดให้มากๆ
“ผมมักจะบอกกับทีมงานประจำคือ เวลาจะออกแบบกระบวนการและระบบปฏิบัติการอะไรก็ตามนั้น ต้องคิดเสมอว่า เราออกแบบสำหรับสินค้าที่ขายดีเทน้ำเทท่านะ ความหมายก็คือ ถึงแม้จะเพิ่งเริ่มก็ตาม ระบบปฏิบัติการเราต้องรองรับปริมาณการค้าที่สูงมากๆ ได้ อย่าคิดง่ายคิดแค่ปริมาณปัจจุบัน หรือในอนาคตอันใกล้เท่านั้น เพราะเสียเวลาในช่วงออกแบบนั้นดีกว่าเสียเวลาไปปรับแก้ในอนาคต”
Startup คืออะไร
สตาร์ตอัพ (Startup) คือบริษัทเกิดใหม่ และเป็นคำที่นิยมใช้เรียกบริษัททางด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใน ซิลิคอนแวลลีย์ สหรัฐอเมริกา เวลานี้นิยมใช้เรียกกันทั่วโลก โดยกว่าจะมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก กูเกิ้ล ก็ผ่านการเป็นสตาร์ตอัพมาก่อนแล้วทั้งนั้น
สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนมากมาย แต่ด้วยเทคโนโลยีบนโลกอินเตอร์เน็ตช่วยลดต้นทุนไปได้มาก มีเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาและนำบริการต่างๆ ไปฝากไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการได้ (ยกตัวอย่างผู้ให้บริการ อาทิ อะเมซอน) ลูกค้าจากทั่วโลกขอเพียงแค่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงบริการของคุณได้ผ่านทางเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ตโฟน
ปัจจุบัน มีนักลงทุนที่มีความสนใจในการสนับสนุนสตาร์ตอัพมากขึ้น และเป็นตัวแปรสำคัญที่จะผลักดันและขับเคลื่อนให้ธุรกิจนั้นเติบโตไปได้ ซึ่งรูปแบบของนักลงทุนมีทั้งแบบ นักลงทุนในรูปแบบขององค์กร (Venture Capital หรือเรียกสั้นๆ ว่า VC) และนักลงทุนอิสระ (Angel Investor) ซึ่งจะพิจารณาตั้งแต่ไอเดีย, นวัตกรรม, ประวัติการทำงาน, โอกาสทางธุรกิจและการเติบโตว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด, ผลตอบแทนจะคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ โดยที่สตาร์ตอัพนอกจากจะได้เงินทุนแล้ว ยังจะได้คำปรึกษาและพันธมิตรควบคู่ด้วยเช่นเดียวกัน (ขอบคุณ http://www.thailandonlinefocus.com)