ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07020010159&srcday=2016-01-01&search=no
| วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 388 |
เสริมไอเดีย
ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com
ทิศทางตลาดออนไลน์ ปี 59 “สมาร์ตโฟน” ตอบโจทย์นักช็อป
นับวันคนไทยนิยมช็อปผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในบรรดากลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานทั้งหลาย มาดูกันว่า ในปี 2559 พฤติกรรมของผู้บริโภคจะเป็นเช่นไร ในสายตาของกูรูที่ทำธุรกิจตลาดออนไลน์ทั้ง 3 ท่าน
เริ่มกันที่ “คุณทรงยศ คันธมานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้เเพลนเน็ต จำกัด ซึ่งมองว่า ในปี 2559 สนามแข่งขันสำหรับการทำการตลาดออนไลน์จะเคลื่อนย้ายไปอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก สืบเนื่องจากกระแสความนิยมในการใช้สมาร์ตโฟนที่ปัจจุบันมีราคาถูกลง แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้น
รวมทั้งการเปิดสัมปทานสัญญาณโทรศัพท์มือถือในระบบ 4G ที่ส่งข้อมูลได้เร็วกว่าระบบ 3G กว่า 10 เท่า จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการใช้งานออนไลน์ผ่านมือถืออย่างกว้างขวางและหลากหลายมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับการวิจัยจากหลายแห่งที่ระบุตรงกันว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาบริโภคข้อมูลข่าวสารออนไลน์ผ่านสมาร์ตโฟนเป็นหลัก แทนที่การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เช่นในอดีต
ชี้เทรนด์โมบายแอพ
นักบริหารหนุ่มรายนี้แนะนำว่า สิ่งที่เอสเอ็มอีควรรับมือในการทำการตลาดออนไลน์คือการเรียนรู้กลยุทธ์และเทคนิคในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งน่าจะดำเนินการ ดังนี้
1. เข้าถึงลูกค้าใหม่ด้วยโมบายเว็บ ผ่านช่องทางกูเกิ้ลเสิร์ชและเฟซบุ๊ก
การมีโมบายเว็บไซต์สำหรับธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็นในปัจจุบัน เพราะจะสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ จากระบบค้นหาของกูเกิ้ลบนมือถือ รวมทั้งช่องทางการโฆษณาบนเฟซบุ๊ก ถือเป็นอีกช่องทางที่สำคัญที่ช่วยให้ลูกค้าค้นพบสินค้าและบริการของธุรกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าผ่าน เฟซบุ๊ก, ไลน์ และ โมบายแอพ
กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเอสเอ็มอีมากกว่าเดิม เนื่องจากการแข่งขันรุนแรงขึ้นจากจำนวนผู้ประกอบการที่มากขึ้น การรักษาฐานลูกค้า รวมทั้งการสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการสร้างลูกค้าใหม่ โดยช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น เฟซบุ๊ก, ไลน์ รวมทั้งแพลตฟอร์มในรูปแบบที่เป็นโมบายแอพ นับเป็นช่องทางที่เหมาะสมต่อการทำ CRM เนื่องจากผลสำรวจพบว่า ในด้านเวลาออนไลน์ ปัจจุบันผู้บริโภคใช้เวลากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ อยู่บนโมบายแอพ มากกว่าโมบายเว็บ เพราะการเข้าถึงข้อมูลที่เข้าถึงบ่อยๆ การใช้โมบายแอพจะสะดวกและรวดเร็วกว่าการเข้าไปยังเว็บค้นหาแล้วค่อยคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ ดังนั้น การประยุกต์ช่องทางสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มในรูปแบบโมบายแอพถือเป็นเรื่องที่ควรพัฒนา
3. ติดตั้งระบบชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment) เนื่องจากเป็นโลกของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ผู้ให้บริการระบบชำระเงินจำนวนมากได้พัฒนาระบบ กระเป๋าเงินบนมือถือ (Mobile Wallet) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคใช้โทรศัพท์มือถือชำระเงินให้กับร้านค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ขณะที่การเปิดให้ชำระเงินกับร้านค้าปลีกต่างๆ (ออฟไลน์) ได้ ทำให้ระบบชำระเงินผ่านมือถือเติบโตอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการควรพัฒนาระบบให้รองรับการชำระเงินดังกล่าว
คุณทรงยศ ยังวิเคราะห์อีกว่า หลังจากนี้จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะผู้ใช้อินเตอร์เน็ตรายใหม่มาจากผู้บริโภคที่เปลี่ยนโทรศัพท์จากฟีเจอร์โฟนมาเป็นสมาร์ตโฟน ทำให้พื้นที่ตลาดออนไลน์ใหญ่ขึ้นควบคู่กับจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ประกอบกับระบบชำระเงินและระบบขนส่งสินค้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาก ทำให้การซื้อขายสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ส่งผลให้การตลาดออนไลน์เติบโตขึ้น โดยคาดว่าจะเติบโต ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์
ส่วนข้อสงสัยของผู้ประกอบการหน้าใหม่หลายรายที่ว่า สินค้าอะไรที่ควรขายในออนไลน์ ประเด็นนี้ คุณทรงยศ ตอบว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรที่มีความต้องการ และมีเอกลักษณ์หรือความแตกต่างจากคู่แข่ง มีโอกาสที่จะจำหน่ายได้เสมอบนโลกออนไลน์ แต่หากมองดูเทรนด์สินค้าที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย จะเป็นสินค้าและบริการกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับเทรนด์การใช้โซเชียลมีเดีย เช่น เสื้อผ้า แฟชั่น สุขภาพความงาม กีฬา และสินค้าดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ ที่ผู้ใช้นิยมโพสต์แชร์บนโซเชียลมีเดีย อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือ สินค้าและบริการที่เหมาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี รวมทั้งการขายสินค้าไปยังประเทศจีน ซึ่งให้การยอมรับสินค้าจากประเทศไทย
ระบุประเภทสินค้ามาแรง
ด้าน คุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Tarad.com หรือ ราคูเท็น ตลาดดอทคอม ให้ข้อมูลว่า จากแบบสำรวจพฤติกรรมนักช็อปออนไลน์ของประเทศไทยทั้งชายและหญิงทั้งหมด 500 คน พบว่า เทรนด์สินค้าออนไลน์ในไทยที่ได้รับความนิยมและขายดีในช่วงปีที่ผ่านมา ยังคงเป็นสินค้าประเภทแกดเจ็ต (อุปกรณ์เสริม) อุปกรณ์ไอทีต่างๆ รวมไปถึงสินค้าแฟชั่น นาฬิกา เสื้อผ้า น้ำหอม เครื่องสำอางก็ยังเป็นสินค้าติดลมบนอยู่ แต่ช่วงปลายปีเป็นต้นมาที่เห็นยอดขายเพิ่มขึ้นจนสังเกตได้คือ แกดเจ็ตเพื่อคนชอบออกกำลังกายอย่างสมาร์ตวอตช์ นาฬิกาอัจฉริยะที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจและวัดจำนวนก้าวเดิน ซึ่งเป็นผลพวงจากกระแสความนิยมวิ่งมาราธอนและปั่นจักรยานที่แพร่หลายในช่วงปีที่ผ่านมา
กูรูด้านออนไลน์ท่านนี้บอกด้วยว่า ในช่วงปีใหม่นักช็อปออนไลน์ในไทยมีแผนจะซื้อของขวัญประมาณ 1,200-1,500 บาท เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 17.8 เปอร์เซ็นต์ รั้งอันดับที่ 4 รองจาก สิงคโปร์ 21.6 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซีย 19.6 เปอร์เซ็นต์ และมาเลเซีย 18 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยปัจจัยหลักที่มีส่วนในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยนั้นหนีไม่พ้นกระแสการพูดถึงสินค้านั้นๆ บนโซเชียลมีเดียและรีวิวจากผู้ใช้สินค้า ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่ยึดโซเชียลมีเดียเป็นหลักในการช็อปปิ้งออนไลน์มากที่สุดในกลุ่มอาเซียน ขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังใช้วิธีปากต่อปาก นอกจากนี้ หลากหลายเว็บไซต์เพิ่มบริการส่งของและเก็บเงินปลายทางก็ยิ่งเป็นปัจจัยเสริมในการเลือกช็อปปิ้งออนไลน์ในช่วงปีใหม่ด้วยเช่นกัน
สำหรับเทรนด์สินค้าออนไลน์ในปี 2559 คุณภาวุธ ชี้ว่า สินค้าที่กำลังมาแรงและได้รับความสนใจคือสินค้าประเภทเทคโนโลยี โดยเฉพาะอุปกรณ์สมาร์ตโฟน เพราะการมาของ 4G จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนหันมาใช้สมาร์ตโฟนและอุปกรณ์ไอทีมากขึ้น รวมไปถึงแกดเจ็ตเพื่อสุขภาพอย่างสมาร์ตวอตช์และแกดเจ็ตจำพวก Activity Tracker ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างน่าจับตามอง เนื่องจากในปีที่ผ่านมาหลากหลายแบรนด์ได้ปล่อยรุ่นเด็ดๆ ออกมาแข่งขันกันมากมาย สินค้าที่ยังคงได้รับความนิยมตลอดมาอย่างประเภทแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋าถือผู้หญิง ก็จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้หญิงหันมาซื้อสินค้าประเภทนี้ผ่านออนไลน์มากขึ้น
ระบุปัญหาซื้อขายออนไลน์
ผู้รู้อีกคนที่มาร่วมให้มุมมองคือ “คุณกัมพล ธนาปัญญาวรคุณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอท้อปพลัส จำกัด ผู้ให้บริการรับจัดทำเว็บไซต์ และทำการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร ฟันธงว่า ปี 2559 สิ่งที่เห็นมากขึ้นคือวิธีการใช้การสื่อสารที่ถูกต้องเหมาะกับสินค้าตัวเองมากขึ้น เช่น อยากได้ยอดขายให้โฆษณากูเกิ้ล อยากสร้างความน่าเชื่อถือในสินค้าต้องใช้คอนเทนต์ และทำการตลาดผ่านเฟซบุ๊ก เป็นต้น
“สิ่งที่เอสเอ็มอีควรทำอย่างเร่งด่วนคือ รีบทำการตลาดออนไลน์โดยเร็ว เพราะวันนี้ค่าโฆษณาในสื่อออนไลน์เมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ หรือเมื่อเทียบกับสื่อออนไลน์ในต่างประเทศยังมีราคาถูกอยู่ ซึ่งหากยิ่งมีจำนวนผู้ทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น ค่าโฆษณาก็จะยิ่งแพงขึ้นตามลำดับ”
ส่วนกรณีเอสเอ็มอีรายใดที่ไม่มีช่องทางการค้าขายออนไลน์ คุณกัมพล มองว่า โอกาสทางการตลาดจะต่ำลง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันซื้อของผ่านออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ อนาคตการมีหน้าร้านอาจจะมีความจำเป็นน้อยลง หรือมีประโยชน์แค่ใช้โชว์สินค้า แต่การซื้อขายในอนาคตแนวโน้มคือจะผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ ทำให้ต้นทุนสินค้าต่ำลง
ในฐานะที่คลุกคลีในวงการตลาดออนไลน์มานาน คุณกัมพล ให้ความเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า มีหลายอย่าง
อาทิ ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย จะเห็นได้ว่ามีผู้ขายเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ทุกวันและปิดไปทุกวัน ทำให้ผู้ซื้อเกิดประสบการณ์การซื้อที่ไม่ดีกับผู้ขายที่ไม่ได้คุณภาพ และเกิดความไม่มั่นใจในการซื้อออนไลน์
ขณะเดียวกัน การส่งสินค้าที่ยังไม่มีความแน่นอน หรือกำหนดเวลาการขนส่งได้ รวมถึงค่าขนส่งที่ยังสูงอยู่ ทำให้ผู้ซื้อเกิดความลังเลก่อนการซื้อ และการชำระค่าสินค้า ผ่านช่องทางต่างๆ ที่ผู้ซื้อยังกังวลอยู่ว่าจะถูกหลอกหรือไม่
ปัจจุบัน ภาครัฐพยายามเข้ามาดูแลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจัดระเบียบผู้ขายมากขึ้น ด้วยการให้ผู้ขายลงทะเบียน เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการให้ผู้ขายลงทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในกระทรวง ICT ได้จัดทำเว็บไซต์ ThaieMarket.com ขึ้น เพื่อให้ผู้ขายมาลงทะเบียนขายสินค้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ