ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07096010459&srcday=2016-04-01&search=no
| วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394 |
ไร้โรคาพาร่ำรวย
นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
กินอะไรไม่เป็นโรคข้อ
มีคำกล่าวภาษาอังกฤษที่ว่า “you are what you eat” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “กินอะไรเข้าไปก็จะได้ผลตามที่กินนั้น” ซึ่งน่าจะหมายความว่า “ถ้ารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย คนคนนั้นก็มีสุขภาพดี แต่ถ้ารับประทานอาหารที่มีโทษต่อร่างกาย ก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้” อาหารอาจเป็นทั้งสาเหตุของโรคต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน การรับประทานอาหารที่ถูกต้องก็อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคได้ อาหารเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ขณะเดียวกัน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้ ต่างจากปัจจัยอื่น เช่น พันธุกรรม จึงมีการศึกษาถึงชนิดและรูปแบบของอาหารที่อาจจะช่วยลดหรือเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงการนำอาหารบางชนิดมาใช้หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบอาหารมาใช้ในการรักษาโรค การศึกษาถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับความเสี่ยงของการเกิดโรคมีจำนวนมาก การศึกษาในระยะแรกส่วนใหญ่เป็นการศึกษาที่มีผู้เข้าร่วมการศึกษาไม่มาก แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาในกลุ่มประชากรที่มากขึ้นทำให้การศึกษามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่อาศัยข้อมูลจากแบบสอบถามความถี่ของการบริโภคอาหารแต่ละชนิด จึงอาจมีปัญหาเรื่องอคติ การลืม ความแม่นยำของแบบสอบถามที่ใช้
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่มีการสันนิษฐานว่าจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่มากมาย ปัจจัยที่ได้รับการศึกษาแล้วว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดโรค ได้แก่ การสูบบุหรี่ และการมีการอักเสบเรื้อรังของเหงือกบริเวณรอบฟัน สำหรับอาหารเป็นปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมอีกประการหนึ่งที่ดูจะมีบทบาทสำคัญอยู่ไม่น้อย ถ้ากล่าวถึงชนิดของอาหาร มีการแบ่งการศึกษาการเกิดโรคตามอาหารชนิดต่างๆ เช่น
1. เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโปรตีนและสารอาหารที่จำเป็น รวมทั้งแร่ธาตุ เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12 มีการศึกษาจำนวนมากพบว่า การบริโภคเนื้อแดงเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ การศึกษาในกลุ่มประชากรของประเทศนอร์เวย์ พบว่าผู้ที่บริโภคเนื้อแดงปริมาณมากกว่า 58 กรัม ต่อวัน มีความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่บริโภคเนื้อแดงปริมาณน้อยกว่า 25.5 กรัม ต่อวัน อีกการศึกษาหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคเนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์อื่นๆ ปริมาณมากกว่า 87.8 กรัม ต่อวัน เป็นโรคข้ออักเสบมากกว่าผู้ที่บริโภคเนื้อในปริมาณน้อยกว่า 49 กรัม ต่อวัน
2. ปลา การบริโภคปลา เป็นที่ยอมรับว่าสามารถป้องกันโรคเรื้อรังหลายโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด มีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคปลาและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 7 การศึกษาที่มีผลการศึกษาขัดแย้งกัน แต่การวิเคราะห์รวมของทั้ง 7 การศึกษาพบว่า การรับประทานปลาประมาณ 9 ออนซ์ ต่อสัปดาห์ ลดความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบได้ร้อยละ 20-24 เมื่อเทียบกับการไม่รับประทานปลา ผลการศึกษาที่แตกต่างกันส่วนหนึ่งอาจเป็นจากปลาแต่ละชนิดมีปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า 3 แตกต่างกัน นอกจากนี้ ปลาอาจมีสารปนเปื้อนบางอย่างที่อาจมีความสัมพันธ์กับโรคข้ออักเสบ เช่น สารปรอท
3. ผักและผลไม้ การบริโภคผักและผลไม้ ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดที่เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังคล้ายโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การบริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ การศึกษาในประเทศกรีซพบว่า ผู้ที่รับประทานผักที่ปรุงสุกมากกว่า 85 หน่วยบริโภค ต่อเดือน มีความเสี่ยงของโรคข้อน้อยกว่าผู้ที่รับประทานผักปรุงสุกน้อยกว่า 20 หน่วยบริโภค ต่อเดือน ประมาณร้อยละ 60 ในบรรดาผลไม้ ส้มและ grapefruit มีความเสี่ยงต่ำที่สุด ในขณะที่ในบรรดาผัก ผักตระกูลกะหล่ำมีความเสี่ยงต่ำที่สุด
4. ผลิตภัณฑ์นม หมายถึง นมและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส เนย ซึ่งมีแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี และโปรตีนเวย์ในปริมาณที่สูง การศึกษาประชากรในรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา พบแนวโน้มของความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างการบริโภคผลิตภัณฑ์นม เช่น หางนม ไอศกรีม โยเกิร์ต ชีส ครีมชีส กับความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แต่การศึกษาประชากรในนอร์เวย์ พบว่า ความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าในผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์นมปริมาณมากกว่า 260 กรัม ต่อวัน เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์นมน้อยกว่า 153 กรัม ต่อวัน
5. กาแฟ กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่นิยมบริโภคกันทั่วโลก การศึกษาในประเทศฟินแลนด์พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟ 4 ถ้วย ต่อวันขึ้นไป เพิ่มความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณ 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟน้อยกว่า 4 แก้ว ต่อวัน การศึกษาในประเทศเดนมาร์ก ก็พบความเสี่ยงของโรคสูงขึ้นในผู้ที่ดื่มกาแฟ สำหรับกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน การศึกษาในกลุ่มประชากรหญิงในรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน 4 แก้ว ต่อวันขึ้นไป เพิ่มความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณ 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน
6. แอลกอฮอล์ การศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณปานกลางในระยะยาวอาจส่งผลต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน และสามารถลดการผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory cytokine) ซึ่งมีส่วนสำคัญของกระบวนการอักเสบในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ เมื่อไม่นานมานี้ มีการวิเคราะห์การศึกษา 8 ฉบับ พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยถึงปานกลาง สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ร้อยละ 14 โดยมีความเสี่ยงต่ำที่สุดเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ 9 กรัม ต่อวัน ในขณะที่ความเสี่ยงสูงที่สุดเมื่อดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 30 กรัม ต่อวัน
กินอย่างไร ไม่ปวดข้อ พอทำได้
ทานอย่างไร ไม่พิการ สานประสม
เลือกทานปลา อาหารผัก รักดื่มนม
อย่ามัวชม ชื่นกาแฟ แย่ตามกัน