ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07070010459&srcday=2016-04-01&search=no
| วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394 |
จอดป้ายเส้นทางเศรษฐี
ปลานิลพระราชทาน ครบรอบ 50 ปี เพาะพันธุ์เพื่อเกษตรกรไทย
การเลี้ยงปลานิลจิตรลดา ปลาพันธุ์พระราชทานในประเทศไทย เพาะเลี้ยงและรู้จักกันมาครบรอบขวบปีที่ 50 เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งขึ้นแท่นเป็นปลาเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้เกษตรกร สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยอย่างมาก
จากปลานิลจิตรลดา ซึ่งเป็นปลาพระราชทาน ที่มีจุดเด่นในการเลี้ยงง่าย โตไว เหมาะจะเผยแพร่สู่เกษตรกรให้นำไปเลี้ยงสร้างรายได้และอาชีพ สู่ความมั่นคงทางอาหารและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
ข้อมูลการเก็บรวบรวมของกรมประมง พบว่า ในปัจจุบันภายในประเทศไทย สามารถผลิตปลานิลขายกว่า 200,000 ตัน ต่อปี โดยมีมูลค่าตลาดรวมถึง 10 ล้านบาท และยังสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเกือบ 20,000 ตัน ต่อปี
ดร.จรัลธาดา กรรณสูต ที่ปรึกษาสำนักราชเลขาธิการ เผยว่า กว่าจะมาเป็นโครงการพัฒนาสายพันธุ์ปลานิลจิตรลดานั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี 2489 เป็นช่วงที่ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อันเป็นผลกระทบมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานโครงการพระราชดำริมากมายเพื่อบรรเทาทุกข์ของประชาชน
รวมไปถึงโครงการพัฒนาพันธุ์ปลานิลจากปลาน้ำจืด ตระกูลทิลาเปีย คือ NILE TILAPIA จำนวน 50 ตัว จากสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ แห่งญี่ปุ่น ขณะนั้นดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี 2508 พระองค์ได้ทรงเลี้ยงไว้ในบ่ออนุบาลที่สวนจิตรลดา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำไปขยายพันธุ์ต่อและแจกจ่ายให้เกษตรกร พร้อมกับพระราชทานนามว่า “ปลานิล”
ความพิเศษของปลานิลจิตรลดา พันธุ์พระราชทานนี้คือ เลี้ยงง่าย โตไว ให้ลูกพันธุ์ปลามาก และเป็นที่นิยม ความต้องการของตลาดสูง
แต่เดิมเผยแพร่พันธุ์ปลานิลและเลี้ยงกันมากในแถบภาคกลาง แต่ปัจจุบันนี้สามารถเลี้ยงปลานิลได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยได้ ขอเพียงมีแหล่งน้ำ ก็สามารถเลี้ยงได้
โดย คุณสนธิพันธ์ ผาสุขดี ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด บอกว่า การเลี้ยงปลานิลที่เหมาะกับการค้าขาย ต้องเลี้ยงปลาเพศผู้เท่านั้น เพราะจะให้น้ำหนักดี โตไว จึงมีการพัฒนาให้ปลานิลที่เลี้ยงในเชิงการค้า สามารถเปลี่ยนเพศ ให้เป็นเพศผู้ทั้งหมดได้ ซึ่งสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
1. เปลี่ยนแปลงโครโมโซมเพศ ทำให้การผสมเป็น YY คือเพศผู้
2. การใช้ฮอร์โมนเพศผู้ในการเลี้ยง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ง่ายและเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมด้วย
โดยวิธีการในการให้ฮอร์โมน คือหลังจากการฟักออกจากไข่ ประมาณ 15 วัน จะทำการเลี้ยงปลาโดยให้ฮอร์โมนและให้ต่อเนื่องประมาณ 20-25 วัน ปลานิลจะมีโอกาสกลายเป็นเพศผู้มากกว่าเพศเมียเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการใช้ฮอร์โมนเพศนี้ ไม่มีผลกระทบหรือความเสี่ยงในการบริโภค เพราะฮอร์โมนเพศดังกล่าวจะค่อยๆ หายไป เนื่องจากต้องใช้เวลาในการเลี้ยงปลานิลต่อไปอีกประมาณ 6-8 เดือน จึงจะสามารถนำไปจำหน่ายได้
สำหรับการเลี้ยงปลานิลมีหลายรูปแบบ ที่นิยมกันมากคือ การเลี้ยงในบ่อดินและกระชัง โดยมีข้อแตกต่างกันดังนี้
– บ่อดิน ต้นทุนในการเลี้ยงและลงทุนต่ำกว่าการเลี้ยงในกระชัง ปลาไม่ค่อยเสี่ยงต่อโรค คือจะแข็งแรง แต่อาจติดเรื่องของกลิ่นสาบดินโคลนในตัวปลาบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้เป็นทุกพื้นที่ที่เลี้ยง ขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำ การดูแล รักษา และการทำความสะอาดก่อนบริโภค
– กระชัง การลงทุนในตอนแรกค่าใช้จ่ายอาจสูง เนื่องจากราคากระชังต่อ 1 ลูก ราคาสูงพอสมควร เลี้ยงในบริเวณที่เป็นแหล่งน้ำไหล อาจมีเสี่ยงต่อการติดโรคมาจากแหล่งน้ำที่ไหลผ่าน แต่จุดเด่นคือตัวปลาจะไม่มีกลิ่น
สำหรับอาหารของปลานิลนั้น สามารถกินได้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารหมักจากพืชผักได้ ซึ่งหากให้อาหารหมักจะช่วยลดต้นทุนอาหารในการเลี้ยงปลานิลได้
คุณสนธิพันธ์ บอกต่อว่า “ปัจจุบัน ตลาดปลานิลเป็นที่นิยม กรมประมงเพาะเลี้ยงลูกปลาเพื่อขายให้เกษตรกร มากถึงปีละ 300 ล้านตัว ส่วนราคาขายเมื่อถึงวัยที่ปลานิลสามารถจำหน่ายได้ก็อยู่ที่ระหว่าง 50 บาทโดยเฉลี่ย ราคาอาจสูงถึง 100 บาทในบางพื้นที่ ทั้งนี้ปัจจัยขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการเพาะเลี้ยง และความต้องการของตลาดว่ามากน้อยขนาดไหน รวมไปถึงปลานิลออกสู่ตลาดมากหรือน้อยในแต่ละช่วงด้วย”
สำหรับภาพรวมการเลี้ยงในช่วงนี้ คงมีลดลงบ้าง เพราะแล้ง แต่ก็ยังมีเกษตรกรที่สามารถเลี้ยงและนำมาจำหน่ายออกสู่ตลาดได้