ผิดสัญญาเช่าซื้อรถ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07088010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394

ฎีกาธุรกิจ

โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th

ผิดสัญญาเช่าซื้อรถ

ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ กำหนดผ่อนชำระ 48 งวด แต่เมื่อผ่อนชำระได้เพียง 2 งวดก็หยุดผ่อนชำระไป ครั้นเวลาล่วงเลยไป ไม่ชำระค่างวดผ่อนชำระ 3 งวดติดต่อกัน บริษัทผู้ให้เช่าซื้อจึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ติดตามยึดรถคืน แล้วเสียค่าเสียหาย มาดูกันว่าต้องจ่ายค่าเสียหายเพียงไร ตั้งแต่เมื่อไร

1.

วันที่ 21 พฤษภาคม 2546 คุณจำนูญทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั่งจากบริษัท ราคา 657,240.96 บาท โดยตกลงจะชำระค่าเช่าซื้อ 48 งวด เป็นเงินงวดละ 13,692.52 บาท

เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 20 มิถุนายน 2546

งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 20 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบกำหนด

คุณจำนูญทำสัญญาเสร็จสรรพจึงขับรถออกจากโชว์รูมบริษัทมา

พอถึงวันที่ 20 กรกฎาคม อันเป็นวันครบกำหนดชำระงวดที่ 2 ลูกค้าชั้นดีอย่างคุณจำนูญก็ชำระเงินค่างวด จำนวน 13,692.52 บาท ครบถ้วนไม่ขาดไม่เกิน

ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ก่อให้เกิดเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่ากลางวันอันสว่างไสว เปิดโอกาสให้มนุษย์ส่วนใหญ่ได้ใช้เวลาดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าการทำมาหากินกันไป แม้จะมีบางคนบางกลุ่มนอนหลับในช่วงเวลานั้นบ้างก็ตาม แล้วมันก็บอกลาวันนั้นไปทางทิศตะวันตก ก่อให้เกิดช่วงเวลาที่เรียกว่ากลางคืนอันมืดค่ำอันเป็นเวลาหลับนอนของผู้คนส่วนมาก

หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ จากเช้าเป็นสาย เที่ยง บ่าย เย็น และค่ำ

เป็นกลางวันกลางคืนสลับกันไป

เมื่องวดแรก งวดที่ 2 ผ่านไป งวดที่ 3 ของการที่จะต้องชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อ ก็เดินทางมาถึงกำหนดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2546

แต่นับแต่เช้าของวัน กระทั่งเวลาล่วงเลยไป จนบริษัทให้เช่าซื้อปิดทำการ ก็ไม่ปรากฏคุณจำนูญและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินค่างวดที่ 3 เข้าสู่บัญชีของบริษัทแต่อย่างใด

ล่วงไปวันรุ่งขึ้นยิ่งชัดเจนว่า คุณจำนูญไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 3

เช่นเคย แม้วันคืนเกิดขึ้นสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป จากกำหนดชำระงวดที่ 3 ไปถึงและล่วงเลยวันกำหนดชำระงวดที่ 4 ในวันที่ 20 กันยายน งวดที่ 5 วันที่ 20 ตุลาคม คุณจำนูญก็หาได้ไปชำระค่าเช่าซื้ออีกต่อไปไม่

เมื่อล่วงเลยกำหนดชำระค่าเช่าซื้อไปแล้ว 3 งวด วันที่ 21 ตุลาคม 2546 บริษัทจึงให้คุณทนายความมีหนังสือถึงคุณจำนูญ

บอกกล่าวทวงถาม ขอให้คุณจำนูญชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ค่าเบี้ยปรับชำระล่าช้า และค่าติดตาม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนี้

ที่สำคัญ ได้ระบุไปด้วยว่า

หากไม่ชำระภายในกำหนด จะถือหนังสือนี้เป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ

บริษัทส่งหนังสือให้คุณจำนูญได้เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2546

จากวันที่ 28 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป เวลาล่วงเลยไป 30 วันแล้ว แต่คุณจำนูญหาได้ชำระเงินตามที่บริษัทเรียกร้องแต่อย่างใดไม่

2.

คุญจำนูญเห็นเงียบไปก็สบายใจ ใช้รถยนต์คันนั้นเรื่อยมา คล้ายว่าเป็นรถฟรี หรือเป็นรถยนต์ราคาถูก จ่ายเงินดาวน์ไปส่วนหนึ่งแล้ว จ่ายค่าเช่าซื้อเพียง 2 งวด แล้วได้รถมาใช้อย่างสบายอะไรทำนองนั้น

แต่ปรากฏว่าการณ์หาได้เป็นเช่นที่คุณจำนูญคิดไม่

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2546 บริษัทติดตามและยึดรถกลับคืนมาได้ แล้วเรียกค่าเสียหายเอาจากคุณจำนูญ แต่เช่นเคย คุณจำนูญก็นิ่งเฉยเสีย

เวลาล่วงเลยมา หรือล่วงเลยไป บริษัทมีธุระจำต้องดำเนินกิจกรรมต่างๆ อันจำเป็นหลายประการ กระทั่งเรื่องของคุณจำนูญเงียบไป

คุณจำนูญคิดไปอีกว่า บริษัทคงเบื่อที่จะติดตามทวงถามเอากับตนเสียแล้ว น่าจะรอด น่าจะสบายไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว

แต่ที่ไหนได้ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร หรือ แต่มันดำเนินไปดังที่คาดหมายอย่างนั้นกระไรได้

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 บริษัทยื่นฟ้องคุณจำนูญเป็นจำเลยต่อศาล ระบุว่า เมื่อติดตามยึดรถยนต์คืนมาได้จากคุณจำนูญ รถอยู่ในสภาพชำรุด เมื่อนำรถออกประมูลขายได้ราคาเพียง 242,990.65 บาท ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายขาดราคา 386,593.10 บาท

ทั้งยังขาดประโยชน์จากการนำรถยนต์ออกให้เช่า ค่าเช่าเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันที่เริ่มผิดนัดจนถึงวันยึดรถคืนได้ เป็นเวลา 3 เดือน เป็นเงิน 18,000 บาท

ยังมีเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถคืน และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแทนไปอีก รวม 4,769.57 บาท

รวมเป็นค่าเสียหายทั้งหมด 411,108.67 บาท

ขอให้ศาลพิพากษาบังคับคุณจำนูญ ชำระเงิน 411,108.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท

คุณจำนูญที่เดิมเคยคิดว่าจะรอดตัวแล้ว กลับต้องถูกฟ้อง จึงยื่นคำให้การต่อสู้คดีไปว่า ตนไม่ได้ผิดสัญญา บริษัทจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์

ทั้งค่าขาดประโยชน์ที่เรียกมาเป็นการกำหนดขึ้นมาเอง ตนเป็นผู้ส่งคืนรถที่เช่าซื้อ บริษัทจึงไม่อาจเรียกค่าติดตามยึดรถคืน ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากเงินต้น 411,108.67 บาท เพราะเงินดังกล่าวรวมดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อแล้ว หากให้คิดดอกเบี้ยตามฟ้องจะเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อน

ขอให้ยกฟ้อง!

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คุณจำนูญแถลงสละข้อต่อสู้ตามคำให้การทั้งหมด

ขอให้วินิจฉัยเพียงประการเดียวว่า บริษัทเสียหายเพียงใด

3.

เมื่อคุณจำนูญสละคำให้การอื่นๆ หมด คดียิ่งพิจารณาง่ายเข้า

ที่สุดศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้คุณจำนูญชำระเงิน 274,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท

แต่คุณจำนูญเห็นว่า ยอดเงินที่ต้องชำระยังสูงไปจึงอุทธรณ์คดี

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

คุณจำนูญฎีกาคดี

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คุณจำนูญผิดนัด ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทตั้งแต่งวดที่ 3 ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป

เมื่อคุณจำนูญไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันครบ 3 งวด บริษัทจึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 21 ตุลาคม 2546 บอกกล่าว ทวงถามให้คุณจำนูญชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ค่าเบี้ยปรับชำระล่าช้า และค่าติดตามภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากไม่ชำระภายในกำหนด ให้ถือหนังสือดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ

บริษัทสามารถส่งหนังสือให้คุณจำนูญได้เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2546

แต่คุณจำนูญไม่ชำระเงินภายในกำหนด

สัญญาเช่าซื้อระหว่างบริษัทและคุณจำนูญ จึงเป็นอันเลิกกันตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2546

เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว ย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่กัน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 และมาตรา 392 บัญญัติว่า การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 กล่าวคือ ให้นำมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ

คุณจำนูญมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนบริษัทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาและหนังสือทวงถาม

แต่คุณจำนูญไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนบริษัท โดยยังคงครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันดังกล่าวตลอดมาตั้งแต่วันที่คุณจำนูญไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทประจำงวดที่ 3 ย่อมทำให้บริษัทเสียหาย จึงมีสิทธิเรียกให้คุณจำนูญชดใช้ค่าเสียหายที่คุณจำนูญได้ใช้ทรัพย์ของบริษัทมาตลอดระยะเวลาที่คุณจำนูญครอบครองทรัพย์ คือตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2546 เป็นต้นมา เพื่อชดเชยเป็นค่าเสียหายได้ตามมาตรา 391 วรรคสาม

มิใช่เริ่มมีสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่วันที่เลิกสัญญาดังที่คุณจำนูญฎีกา

ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้คุณจำนูญต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่บริษัท นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2546 จนถึงวันที่ติดตามยึดรถคืนได้ จึงชอบแล้ว

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คุณจำนูญชำระเงิน 271,000 บาท แก่บริษัทผู้ให้เช่าซื้อ

(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2904/2558)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่

ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้

ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นๆ หรือถ้าในสัญญามีกำหนดว่าให้ใช้เงินตอบแทน ก็ให้ใช้ตามนั้น

การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่

มาตรา 392 การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 369

มาตรา 369 ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด

Leave a comment