พนักงานรถนอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07046010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394

อาชีพที่ไม่เหมือนเรา

ไมตรี ลิมปิชาติ

พนักงานรถนอน

คำว่ารถนอน ไม่ได้หมายถึงรถที่ใช้นอน แต่เป็นตู้โดยสารรถไฟที่ให้คนขึ้นไปนอนบนรถ

ที่การรถไฟต้องให้มีตู้นอนก็เพราะว่าต้องใช้เวลาเดินทางจากสถานีต้นทางถึงสถานีปลายทางนานหลายชั่วโมง

นั่งจากกรุงเทพฯ ถ้าไปเชียงใหม่ก็จะใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมง และถ้าไปนราธิวาสจะต้องใช้เวลาเกือบ 20 ชั่วโมง ใช้เวลานานมาก

ต้องนั่งรถไฟนานๆ อย่างนี้จึงจำเป็นต้องให้ผู้โดยสารมีทางเลือกคือ จะนั่งไปหรือนอนไปอย่างใดอย่างหนึ่ง

ก่อนนี้ผมชอบใช้บริการรถนอน เพราะพอตื่นรออีกไม่นานก็ถึงจุดหมาย

การได้โดยสารไปกับตู้นอนสบาย เพราะไม่ต้องปูที่นอนเอง พอถึงเวลาก็จะมีพนักงานมาปูที่นอนให้ ผู้โดยสารมีหน้าที่นอนอย่างเดียว

พนักงานของตู้นอนเกือบทุกคนที่ผมใช้บริการขอชมว่าบริการดี น่ารัก ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นผู้ชาย

นอกจากน่ารักแล้ว ยังแต่งเนื้อแต่งตัวสะอาดสะอ้านอีกต่างหาก

จากการเป็นผู้สูงวัยตามอายุที่เพิ่มขึ้นตอนนี้ เวลาใช้บริการตู้นอนมักจะทำให้ปวดหลัง

ผมจึงเปลี่ยนไปใช้บริการรถไฟที่เป็นตู้นั่งแทน ซึ่งมีที่นั่งเหมือนๆ กับที่นั่งบนเครื่องบินที่สามารถเอนนอนได้ และว่าไปแล้วเป็นที่นั่งที่สบายกว่าเครื่องบินเสียอีก เพราะมีขนาดกว้างกว่า อีกทั้งเป็นตู้แอร์ (ตู้ปรับอากาศ) จึงไม่ร้อน แต่ที่ผมชอบมากก็ตรงที่มีห้องน้ำกว้างมาก

รถนั่งแอร์ที่ว่านี้เป็นตู้หนึ่งในขบวนรถไฟด่วนพิเศษนครพิงค์ แล่นระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่

เป็นตู้นั่งแอร์ที่มีขึ้นเพียงขบวนละ 1 ตู้เท่านั้น มีที่นั่ง 36 ที่นั่ง

มารู้ตอนหลังว่าเป็นตู้ที่การรถไฟทำไว้เพื่อให้ความสะดวกกับคนพิการและคนสูงอายุใช้โดยเฉพาะ

ผู้โดยสารที่พิการต้องนั่งรถเข็น ตู้นั่งพิเศษที่ว่านี้จะมีแขนออกไปหิ้วรถเข็นขึ้นมาได้เลยโดยไม่ต้องพับรถให้ลำบาก

ยกรถขึ้นมาแล้วก็มีที่ให้รถเข็นจอด ซึ่งคนพิการจะนั่งรถเข็นไปตลอดทางหรือจะเปลี่ยนไปนั่งที่เก้าอี้ประจำรถก็ได้

แต่ส่วนใหญ่คนพิการจะขอนั่งบนรถเข็น เพราะสะดวกในการพาตัวเองเข้าห้องน้ำ

ส่วนตัวผมเดินทางไปเชียงใหม่ค่อนข้างบ่อย

เดินทางด้วยเครื่องบินบ้าง รถไฟบ้าง รถทัวร์บ้าง เอาแน่ไม่ค่อยจะได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเดินทางจากเชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟด่วนพิเศษนครพิงค์

ไม่ได้นั่งตู้นอน นั่งตู้นั่งแอร์สำหรับคนพิการ แต่ถึงผมจะไม่พิการหากมีที่ว่างการรถไฟก็ยินดีขายตั๋วให้

วันนั้นพนักงานที่มาให้บริการบนรถ เป็นชายหนุ่มหน้าตาเรียบร้อยแต่งกายอยู่ในเครื่องแบบสะอาดตา

เขายืนต้อนรับผู้โดยสารที่มีทั้งฝรั่ง ไทย และคนจีน ตั้งแต่รถไฟยังไม่ออกจากสถานีเชียงใหม่

พอรถเคลื่อนขบวน เขาจะออกมายืนแนะนำตัวว่า ชื่อ วุฒิกร กลิ่นมาลี มีชื่อเล่นว่า โต้

แนะนำตัวเสร็จก็จะบอกต่อว่า รถจะไปถึงสถานีใหญ่ๆ กี่โมง และถึงสถานีปลายทางหัวลำโพงกี่โมง พร้อมกับแนะนำการใช้ห้องน้ำว่า พอเข้าไปในห้องแล้วให้กดปุ่มปิดเปิดประตูยังไง

เขาไม่ได้พูดเฉพาะภาษาไทยแต่พูดภาษาอังกฤษ และภาษาจีนด้วย

ถือว่าเป็นพนักงานที่ทันสมัยมาก โดยเฉพาะใช้ภาษาจีน เพราะปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจากเมืองจีนเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากนั่นเอง

พอถึง 4 ทุ่ม เขาได้ปิดไฟบางดวงเพื่อให้มีความสว่างน้อยลง เหมาะสำหรับให้ทุกคนเอนเก้าอี้นอนพักผ่อน

รถไฟแล่นไปสว่างในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ใกล้สว่าง เขาได้ไปปลุกผู้โดยสารที่เป็นฝรั่ง เพื่อบอกให้รู้ว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงสถานีอยุธยา ตามที่ผู้โดยสารได้สั่งไว้

ตั้งแต่สถานีอยุธยารถไฟจอดหลายสถานี

ก่อนถึงสถานีแห่งใดเขาก็จะยืนประกาศให้ผู้โดยสารได้รับรู้ก่อนล่วงหน้าเสมอ เพื่อจะได้เตรียมพร้อมลงจากรถได้

ย้อนกลับไปก่อนปิดไฟให้ผู้โดยสารนอนบนรถ ผมได้ถือโอกาสสอบถามถึงประวัติและหน้าที่การงาน หรืออาชีพที่เขาทำ

เขาเล่าว่า ได้มาทำงานที่การรถไฟในตำแหน่งพนักงานรถนอนเป็นเวลา 4 ปีแล้ว

ตอนนี้เขายังเป็นแค่ลูกจ้างรายวัน ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท แต่จะมีรายได้อื่นๆ เพิ่มมา เช่น ค่าล่วงเวลา ค่าเบี้ยเลี้ยงต่อวันต่อเที่ยว

รวมเบ็ดเสร็จมีรายได้ประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ถือว่าดีทีเดียวเพราะการทำงานเป็นพนักงานรถนอนมีรายจ่ายน้อย

เป้าหมายสูงสุดของเขาก็คือ การได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของการรถไฟ ถึงแม้การรถไฟขาดทุน แต่ถ้าผู้ใดได้บรรจุก็จะมีชีวิตมั่นคง ปลดเกษียณไปแล้วยังได้เงินบำนาญอีก ซึ่งรัฐวิสาหกิจในประเทศไทยที่มีบำนาญมีเพียง 2 แห่งเท่านั้นคือ การรถไฟกับธนาคารออมสิน

เมื่อผมถามถึงว่าต้องเรียนจบอะไรถึงจะมาทำงานในหน้าที่นี้ได้

เขาตอบว่า รถไฟรับผู้เข้าทำงานในหน้าที่นี้ใช้วุฒิแค่ ม.3 เท่านั้น แต่คนที่มาสมัครเข้าทำงานส่วนใหญ่จบปริญญาตรี รวมทั้งตัวเขาเองด้วย

เขาได้ปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจการตลาด ที่มาเลือกทำงานนี้ก็เพราะชอบงานบริการ อีกประการหนึ่งคือ อยากเข้าทำงานที่การรถไฟด้วยเหตุผลข้างต้น บังเอิญตำแหน่งตามวุฒิที่เขาเรียนมายังไม่มีการรับสมัคร จึงขอทำในตำแหน่งนี้ไปพลางก่อน

ข้อดีสำหรับเขาก็คือ เขาเป็นคนชอบเดินทาง การทำงานบนรถไฟเหมือนได้เดินทาง ในช่วงที่ได้เวลาพักร้อนปีละ 6 วันนั้น เขาจะถือโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดที่มีรถไฟผ่านเพราะได้นั่งฟรี

ส่วนข้อเสียก็มีคือ เป็นงานที่ต้องอดนอน หรือหากไม่อดนอนแต่ก็นอนไม่ได้เต็มที่ เพราะขณะทำงานซึ่งเป็นเวลากลางคืนไม่รู้ว่าผู้โดยสารจะเรียกใช้เมื่อไร

Leave a comment