ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07047010459&srcday=2016-04-01&search=no
| วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394 |
Gen To Gen
ศรีนวล
“หมอเส็ง” เข้าสู่ผู้บริหารรุ่นที่ 2 ส่งว่านชักมดลูกบุกตลาด CLMV
เทรนด์ดูแลใส่ใจสุขภาพ ความสวยความงาม กำลังเป็นกระแสมาแรงสุดๆ ขณะนี้ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม
ทำให้เจ้าของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย เห็นช่องทางการขยายธุรกิจ เข้าเจาะตลาดในกลุ่มประเทศเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือ ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรหมอเส็ง ของ คุณฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร ผู้ก่อตั้งบริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด หรือที่ทั่วไปรู้จักในชื่อ “หมอเส็ง” เป็นแพทย์ด้านการแพทย์แผนตะวันออกและเป็นที่ปรึกษาคลินิกสุขภาพไตรเวชศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรจีนและไทยมายาวนาน ซึ่งขณะนี้อายุกว่า 60 ปีแล้ว
ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณตาล “นิษฐา แสงสุริยะฉัตร” บุตรสาวของหมอเส็ง วัย 25 ปี ทายาทรุ่นที่ 2 ที่มีบทบาทสำคัญอีกคน ในการขยายธุรกิจหมอเส็งไปต่างแดน ได้บอกเล่าถึงเป้าหมายการเข้าเจาะตลาดของหมอเส็ง
“หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สาขา Finance and Banking (สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร) ตาลได้ติดตามพี่ชาย ไปดูตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีชายแดนติดไทย ซึ่งการเข้าไปตลาดอาเซียน ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งคิดทำเมื่อเปิดเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) แต่ได้เข้าไปสำรวจและทำตลาดมาก่อนหน้านี้แล้วในลาว เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นเพราะตัวแทนของเรา บอกว่าน่าจะเข้าไปทำตลาดประเทศติดชายแดนไทยได้นะ เพราะเพื่อนบ้านเรา เมื่อเขามาเที่ยว ก็ได้ซื้อได้ลอง เห็นว่าเป็นของดีก็ซื้อต่อเนื่อง ตัวแทนเราก็ส่งตรงไปขายบ้าง ก็ขายได้เรื่อยๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมาก เพราะหลังจากเรารู้แล้วว่าชาวลาวต้องการอะไร และทำอย่างไรให้เข้าถึงได้มากขึ้น โจทย์เราคือ จะเจาะวัยรุ่นอายุช่วง 20-40 ปี เพราะเป็นกลุ่มประชาชนหลักของลาว ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในสังคมลาว และรับกระแสใส่ใจดูแลสุขภาพ จึงได้ทำภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้พรีเซ็นเตอร์ดาราลาว จากโฆษณาก่อนหน้านี้มักจะเห็นรูปคุณพ่อ (หมอเส็ง) ปรากฏว่าหลังออกหนังโฆษณาไม่นาน สินค้าหมอเส็งขายดี จนสินค้าขาดตลาด เชื่อว่ายอดขายปีนี้น่าจะเกิน 100 ล้านบาท ในลาวนั้น ตอนนี้เรามีศูนย์กระจายสินค้า 3 แห่ง ที่ปากเซ เวียงจันทน์ และหลวงพระบาง”
เป้าหมายต่อไปของหมอเส็งคือ การเข้าตลาดกัมพูชาอย่างเป็นทางการ คุณตาล เล่าว่า “ที่กัมพูชา เราคุยกับคนท้องถิ่นมาตั้งแต่ปีก่อน ต้นปีนี้ ได้ดำเนินการตั้งบริษัท หมอเส็ง เฮิร์บ เพื่อทำตลาดในกัมพูชาโดยตรง เราลงทุนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยสินค้าหมอเส็งเป็นยาสมุนไพร ต้องขออนุญาตนำเข้า มีขั้นตอนการตรวจสอบที่เข้มงวดเหมือนไทย ซึ่งอาจใช้เวลานาน คาดว่าไม่เกินเดือนเมษายนปีนี้ น่าจะได้รับอนุมัติและเริ่มทำตลาดได้ครึ่งปีหลัง ช่องทางขายเราก็คงตามรอยที่เราถนัด คือตั้งตัวแทนกระจายสินค้าตามร้านขายยา สร้างเครือข่ายกระจายสินค้า และเปิดจุดขายตามห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่ แรกๆ อาจวางได้ 200 ร้านค้า ยอดขายต่ำๆ ต่อเดือนก็น่าจะ 20,000 ขวด”
คุณตาล ย้อนถึงจุดเริ่มต้นการเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวว่า “หลังจากเรียนจบแล้ว ก็เข้ามาช่วยครอบครัว จุดเริ่มต้นก็คือ มาบุกตลาดกัมพูชา ก็เริ่มจากไปกับพี่ชาย เดินสำรวจไปเรื่อยๆ เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ทำเหมือนสมัยคุณพ่อ เปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป จากร้านขายยา ก่อนเป็นหมอเส็งที่ตั้งเป็นบริษัททำแบบมีสมาชิกขายตรง ถึงวันนี้ก็ 14 ปี ก่อนหน้านั้นก็มาจากคลินิกการแพทย์ ขายยามากว่า 40 ปี ตลาดคนไทยจึงเริ่มที่คนมีอายุสักหน่อย หรือกลุ่มคนมีบุตร แต่ไปประเทศซีแอลเอ็มวี เราต้องปรับให้ทันสมัย เจาะคนรุ่นใหม่ ต้องเพิ่มกิจกรรมใหม่ เช่น ทำหนังใหม่ หีบห่อแปลกตาขึ้น ให้ดูทันสมัย เรามีสินค้าทั่วไปด้วย อย่างผลิตภัณฑ์หมอเส็งเรามีแยะ แต่ก็เลือกไปที่เหมาะสมกับตลาดและคนรู้จักแล้ว เช่น ว่านชักมดลูก ไดมอนด์บลู ผลิตภัณฑ์บำรุงจากผลไม้ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเห็นโอกาส ตาลก็มีส่วนร่วมดูเรื่องการเงิน การจัดตั้งบริษัท ตามที่ได้เรียนมา ซึ่งตาลก็กำลังเรียนต่อด้วย เพื่อนำมาใช้กับธุรกิจของครอบครัวต่อไป”
ทำไมถึงทิ้งเวลานาน 5 ปี กว่าจะขยายตลาดจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง คุณตาล เฉลยว่า ติดตามตลาดเพื่อนบ้านมาตลอด แต่วันนี้พร้อมที่สุด เพราะเออีซีทำให้คนในอาเซียนตื่นตัว ทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้ให้มากขึ้น ที่สำคัญ ซีแอลเอ็มวี ประชากรฐานหลักวันนี้ คือกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน ที่สำคัญ เขากำลังอินกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น รายได้ดีขึ้น แสวงหาสินค้าเพื่อสุขภาพ ความงาม และสินค้าไทยก็ได้รับความเชื่อถือ และเป็นที่นิยม อีกทั้งวิชาการทางการแพทย์ไทย ได้รับความเชื่อถือ โรงพยาบาล วงการแพทย์ที่นั่นยังไม่บูม ทำให้คนกัมพูชา คนลาว ต้องบินมาไทย หรือไปสิงคโปร์ เพื่อรักษาตัวหรือเสริมสุขภาพ
“เราสังเกตเห็นว่า คนกัมพูชาหรือคนลาว ไม่เน้นไปหาหมอ แต่จะซื้อยาหรือรักษาตามบ้านกันเองยังมีอยู่มาก เมื่อบางกลุ่มได้ทดลองบริโภคหมอเส็ง เห็นว่าดี ก็บอกต่อปากต่อปาก ส่งเสริมให้หมอเส็งเป็นที่รู้จักได้ในเวลาอันรวดเร็ว ยิ่งวัฒนธรรม ภาษาที่คล้ายกัน การเข้าทำตลาดซีแอลเอ็มวีก็ไม่ยากนัก แต่สิ่งสำคัญ ต้องรู้จักเขาและปรับตัวให้ตรงกับตลาดต้องการ อย่างที่เราทำหนังใช้ดาราลาว ดังจนสินค้าขาดก็เป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี”
สำหรับอนาคตหมอเส็งหลังเออีซีจะเป็นอย่างไร คุณตาล ฉายภาพว่า ปีนี้ครบ 15 ปีของหมอเส็ง หลังปรับมาทำธุรกิจขายตรงเคาะประตูบ้าน กำลังจะมีอะไรใหม่ออกสู่ตลาดอีกมากแน่นอน เช่น จะเป็นครั้งแรกที่ออกสินค้าเข้าตลาดคอนซูเมอร์โปรดักต์อย่างจริงจัง หลังจากที่ได้ลองทำตลาดมาแล้ว ในกลุ่มสบู่และเครื่องดื่ม เช่น สบู่ก้อนสมุนไพร ยาสีฟัน น้ำสมุนไพรกระป๋อง กาแฟกระป๋อง ซึ่งปลายปีน่าจะมีแคมเปญใหม่ ด้านโรงงานกำลังยกระดับมาตรฐานการผลิตที่รองรับมาตรฐาน GMP-PIC/S ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย
ทิ้งท้าย คุณตาล บอกถึงอนาคตของหมอเส็ง เป้าหมายกับเออีซี ภายใน 3 ปีหวังจะเห็นผลิตภัณฑ์หมอเส็งวางขายไปทั่ว และในอีก 10 ปี จะหาซื้อหมอเส็งได้ในเวียดนามและพม่า ต่อจากลาวและกัมพูชา ที่กำลังทำตลาดในไม่กี่เดือนข้างหน้า
นับเป็นอีกหนึ่งสินค้าไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังนอกประเทศ!!