98 ปี วันจักรี กับวันทรงเปิดวิถีสะพานพุทธ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07090010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 394

เก็บตกจาก “แท็กซี่ กูรู”

TAXI MASTER

98 ปี วันจักรี กับวันทรงเปิดวิถีสะพานพุทธ

มีข่าวแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารได้ออกทีวี หรือถูกแจ้งข่าวผ่านสถานีวิทยุการจราจรทุกคลื่น มีทุกเวลาหรือจะกล่าวว่าทุกวันทุกเส้นทางถนนก็ไม่ผิด ถ้าจะกล่าวหาให้มากกว่านั้นก็กล่าวว่ามีทุกช่วงเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก ก็เชื่อว่าไม่ผิดอีก จนผู้ที่ได้ฟังข่าวนี้ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่แล้ว

แต่ลึกไปกว่านั้นในใจคิดสวดชยันโตกี่จบก็มิอาจรู้ได้ ส่วนข่าวที่ “ผู้โดยสารปฏิเสธจ่ายค่าแท็กซี่” ไม่ค่อยได้มีโอกาสออกอากาศเท่าใดนัก เพราะมักจะเกิดในที่ลับ ซอยลึก หรือกลางดึกในซอยเปลี่ยว เพื่อนผมคนหนึ่งโทรมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อตี 1 ของคืนวันที่เขาบอกว่าจะมีดวงดาวย้ายตำแหน่ง พระราหูเข้าสู่จักรราศีผู้คนสวดทำบุญกัน เขามีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่งในซอยย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง เข้าปากซอยแล้วเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวายังกะเขาวงกต แต่ผู้โดยสารพูดเหมือนกับว่าเข้าไปสุดซอยแล้วทะลุถนนอีกเส้น ระหว่างเลี้ยวซ้ายขวาในซอยเขาชวนคุยลักษณะอวดว่าตัวเองเป็นคนดังในซอยนี้ มีเพื่อนๆ กึ่งๆ นักเลงมากรู้จักกันหมด เขาคุยถามว่าวันนี้วิ่งรถได้หลายเที่ยวแล้วหรือยัง ทำให้คิดไกลไปว่าถ้าจะบอกว่าได้เงินมากกลัวจะถูกจี้เพราะเกิดสังหรณ์ใจในพฤติกรรมคำพูด ก็ตอบว่าเพิ่งออกรถตอนเที่ยงคืนยังได้ค่าโดยสารไม่ถึง 300 เลยครับ เขาก็บอกให้จอดหน้าซอยแคบๆ รถเข้าไม่ได้แต่มีสะพานไม้เป็นซอกเข้าไป บอกว่าบ้านอยู่ในซอยนี้ พอดีมีแบงก์พันคงไม่มีตังค์ทอน เดี๋ยวเข้าไปเอาแบงก์ย่อยในบ้านมาให้ แล้วเดินเข้าซอกสะพานไม้นั้นหายไป คอยๆ กว่าครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครออกมา มีบ้านหนึ่งเปิดหน้าต่างตะโกนบอกว่า คุณโดนหลอกแล้วอย่าคอยเลย เขาคงทะลุออกอีกซอยแล้วซอยนี้ทางตัน คุณหาที่กลับรถเองกลางซอยโน่นแหละ คิดในใจว่าโชคดีแล้วเขาไม่ขอ 300 ไปด้วยก็บุญแล้ว

นานๆ มีโอกาสขึ้นรถโดยสารประจำทางปรับอากาศที่ชอบเรียกกันว่า “รถ ปอ.” ถ้าหากเลยเวลาเข้าทำงานราชการหลัง 3 โมงเช้า ก็พอจะมีที่นั่งที่ยืนสะดวกหน่อย ถ้าจะไปธุระที่ไหนที่รถเมล์ผ่านก็น่าใช้บริการ เพราะมีให้เลือกทั้งรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนเพียงแต่อาจจะต้องคอยนาน หรือมาติดๆ กันแต่ไม่จอดรับก็มี ลองถามๆ ดู มีคนนินทาว่าเขาต้องการให้ครบจำนวนเที่ยวแต่ละวัน ไม่ได้รับเปอร์เซ็นต์ค่าโดยสารก็ไม่ต้องจอดรับทุกป้าย บางป้ายก็แถมให้อีกป้ายเมื่อมีคนลง

วันนี้ได้ขึ้นรถโดยสารปรับอากาศไปพบหมอตามนัด ถ้าขับรถไปไม่มีที่จอดแน่นอน โรงพยาบาลของรัฐที่ให้โอกาสข้าราชการทั้งปัจจุบันและอดีตใช้บริการ “จ่ายตรง” มักจะไม่มีที่บริการจอดรถ เพราะลำพังของเจ้าหน้าที่เองก็แทบจะไม่พอจอด สังเกตเห็นด้านในหน้ารถปรับอากาศหน้าคนขับ มีป้ายบอกให้ผู้โดยสารจำข้อความสายรถ xxx หมายเลขข้างรถ x-xxxxx และหมายเลขทะเบียนรถ xx-xxxx นอกจากนั้นยังมีอีกป้ายคู่กันเขียนว่า “ผู้โดยสารโปรดจำข้อความข้างล่างนี้ เพื่อประโยชน์ของท่าน” แล้วแสดงภาพพนักงานขับรถพร้อมลงลายมือชื่อ มีบัตรประจำตัวผู้ขับรถ ชื่อผู้ขับรถทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และลงนามผู้อนุญาต ผมสังเกตว่า ทั้งหมดเป็นความปรารถนาดีว่าถ้าเกิดเหตุกรณีใดๆ ผู้โดยสารสามารถแจ้งตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลสอบสวนได้ แต่ความเป็นจริงใครจะจำได้ และที่สำคัญ ป้ายที่นำมาติดพร้อมรูปบางครั้งเมื่อเปลี่ยนคนขับก็ไม่ได้เปลี่ยนป้ายทุกครั้ง ทุกคนกว่าจะสืบหาตามกันได้ก็ไม่อยากจะเอาเรื่องแล้ว แต่ถ้าใช้ตัวเลข 1 ตัว หรือ 2 ตัว เป็นรหัสแทนน่าจะตามง่ายกว่าโดยมีบัญชีรายชื่อคุมรหัสที่ประจำสำนักงาน อย่างไรก็ตาม มีรถโดยสารปรับอากาศหลายสายที่เขาให้บริการคิดค่าโดยสารผู้สูงอายุ โดยแนบบัตรประจำตัวจ่ายค่าโดยสารเขาจะคิดเพียงครึ่งราคาเป็นส่วนลดตลอดสายที่น่าพอใจ ก็มีพรรคพวกบางคนบ่นว่า ขึ้นรถแล้วยื่นบัตรประชาชนพร้อมเงินเขาให้ตั๋วลดครึ่งมานั้นดีแล้ว แต่ที่เสียอารมณ์เพราะบางสายพนักงานฉีกตั๋วโดยสารลดครึ่งโดยไม่ได้แสดงบัตรนี่ซิเจ็บใจนัก ที่เขามองว่าเราสูงอายุโดยไม่ดูหลักฐาน

ผมมีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่งที่ “ฝั่งธนบุรี” และยังไม่ได้ตกลงว่าควรจะผ่านเส้นทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาโดยสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าหรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า (สะพานพุทธ) ดี เพราะเป็นทางเลือกไปปลายทางได้เท่าๆ กัน แต่สุดท้ายเขาบอกว่าไปทางสะพานพุทธเถอะ เพราะตอนนี้ที่ปากคลองตลาดเขาจัดระเบียบแม่ค้า แผงผัก ดอกไม้ข้างถนนไม่เกะกะ รถสะดวกขึ้นแล้ว คุณแท็กซี่เปิดข่าวหรือเปิดเพลงก็ได้ คือไม่ชอบนั่งรถเงียบๆ ฟังได้ทุกแนว ผมได้ทีคิดถึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา คิดถึงเพลง Bridge Over Troubled Water ที่ Simon and Garfunkel ขับร้องไว้ “When you”re weary, feeling small, When tears are in your eyes, I will dry them all. I”m on your side. When times get rough. And friends just can”t be found, Like a bridge over troubled water. I will lay me down…” พอเสียงเพลงขึ้นเขายิ้มใหญ่บอกว่า ชอบเพลงนี้มาก แต่สะพานพุทธไม่ได้ข้ามแม่น้ำเชี่ยวกรากเลย เจ้าพระยายังไหลผ่านทุกสะพานเพียงแต่ยังเป็น River of return ไม่ใช่ No return เขาพูดยิ้มๆ อย่างสดชื่นอารมณ์ดี

รถผ่านโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและเพาะช่างเดิม มองเห็นอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 และข้างหลังเป็นโครงสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าแต่ดูแล้วต่ำกว่าสะพานพระปกเกล้า เขาพูดเปรยขึ้นว่าไม่น่าเชื่อนะสะพานพุทธสร้างมาแล้ว 84 ปี แต่วันจักรีมีมาเกือบ 100 ปี เห็นพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ก็คิดถึงวันจักรี ปีนี้ก็ครบ 98 ปีแล้ว ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 คุณเคยมาถวายบังคมวันจักรีไหม เดือนเมษาทุกปีจะระลึกถึงอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 และสะพานพระพุทธยอดฟ้าสมัยก่อนที่เปิดให้เรือใหญ่ผ่าน คุณแท็กซี่เคยเห็นไหม ผมได้แต่ยิ้ม

ดูเหมือนเขาภูมิใจที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นั้นๆ ผมจึงเปิดประเด็นต่อด้วยคำถามว่า วันจักรีกับสะพานพุทธเกี่ยวข้องกันอย่างไร เขาหันมาแซวผมว่าแหมถามเหมือนกับว่าผมจะเกิดทัน คือเพราะผมเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนที่จะไปส่งนี่แหละ กำลังทำผลงานกำหนดตำแหน่งอาจารย์ 3 มีข้อมูลเรื่องนี้ที่จะรวบรวมเล่มส่งผลงานจึงพอจะรู้ ผมสรุปให้ฟังก็ได้นะรถไม่ติดเดี๋ยวเล่าไม่ทัน คืออย่างนี้ ที่มาของวันจักรีนั้นเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 เพื่อประดิษฐานไว้ให้ถวายบังคมสักการะ ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง แล้วอัญเชิญไว้ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และมีการย้ายอีกหลายครั้ง ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายพระบรมรูปไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดรพร้อมพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 พอลุเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่าเป็น “วันจักรี” ก็ไม่เกี่ยวกับสะพานพุทธหรอกนะ

รถชะลออยู่กลางสะพานพุทธ เพราะเชิงสะพานด้านฝั่งธนมีอุบัติเหตุเล็กน้อย ผมมองลงในแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งดูสะอาดดี แต่เลยไปถึงโค้งแม่น้ำเห็นวัดอรุณ (วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร) โดดเด่น ถามคุณครูเขาว่า สะพานพุทธช่วงกลางนี้ใช่ไหมที่เปิดให้เรือผ่านได้ ไม่น่าเชื่อว่า 80 กว่าปีมาแล้วจะสร้างได้ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เขาหันมาอีกครั้งดูจริงจังแล้วยกมือพนมเหนือหัว พูดต่อว่าด้วยพระบารมีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดใช้ตั้งแต่เมื่อคราวฉลองพระนคร 150 ปี ผู้คนตื่นเต้นกันมาก เพราะมีความคิดกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2471 แล้ววางศิลาฤกษ์สร้างสะพานวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2472 และประกาศกระแสพระบรมราชโองการเรื่องสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า จะได้ทัน พ.ศ. 2475 ที่กรุงเทพฯ จะครบ 150 ปีบริบูรณ์ โดยพระราชทานพระบรมราชาธิบายเหตุผลที่จะสร้างสะพานและทรงพระราชดำริว่า ควรสร้าง 2 สิ่งประกอบกัน สิ่งหนึ่งคือ สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมบรมกษัตริย์มหาจักรีวงศ์เพื่อเป็นสวัสดิมงคลสืบไป กับสะพานข้ามแม่น้ำ ทำทางถนนเชื่อมจังหวัดพระนคร ให้ติดต่อกับจังหวัดธนบุรีสมัยนั้น ตามที่เห็นนี่แหละ

ผมเอ่ยว่า ไม่ทราบว่าสมัย 84 ปี ที่สร้างสะพานเสร็จนั้นจะใช้เงินเท่าไหร่ เขารีบตอบว่าเชื่อไหมสมัยนั้นกะกันว่าจะใช้เงินประมาณ 4 ล้านบาท โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ส่วนหนึ่ง รัฐบาลจ่ายงบแผ่นดินส่วนหนึ่ง และบอกบุญเรี่ยไรอีกส่วน การก่อสร้างสะพานเสร็จเรียบร้อยตามกำหนด และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดวิถีสะพาน ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 อันเป็นวันฉลอง 150 ปี บริบูรณ์แห่งพระนครรัตนโกสินทร์

ดูแล้วยังทันสมัยใช้งานถึงทุกวันนี้เลย

สรุปจากหนังสือ “ภาพงามของความหลัง” เรื่องสะพานพระพุทธยอดฟ้า โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

Leave a comment