ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07024010559&srcday=2016-05-01&search=no
| วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 396 |
ช่องทางสร้างอาชีพ
อันติกา
“ดอยช้าง” กาแฟคุณภาพระดับโลก ผลิตผลของ “ชุมชนกาแฟ”
“คนส่วนใหญ่มองดอยช้างว่าคือแบรนด์กาแฟ แต่ที่จริงแล้ว เราคือ ชุมชนกาแฟ นี่คือจุดมุ่งหมาย และยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป”
“ธุรกิจ” คือการลงทุนและให้ผลตอบแทนด้านตัวเงิน แต่ทว่าจุดเริ่มต้นของ “ดอยช้าง” (DOI CHAANG) เงิน กลับไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง แต่ต้องการสร้าง “ชุมชนกาแฟ” สร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวไทยภูเขาที่อาศัยอยู่
จนมาถึงวันนี้ เจตนารมณ์ของเขาเป็นจริง ความมุ่งมั่นนำมาสู่ความสำเร็จ คนในชุมชนได้รับโอกาสและคุณภาพชีวิตอันดี สามารถเชิดหน้าชูตาได้อย่างสง่างาม เพราะกาแฟภายใต้แบรนด์ดอยช้าง กลายเป็นกาแฟไทยในแผนที่โลก
สร้างชุมชนกาแฟ
ดูแลคนในชุมชน
จากพื้นที่ดั้งเดิมของหมู่บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยฝิ่น พืชผิดกฎหมาย แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวคิด พร้อมพระราชทานสายพันธุ์กาแฟดีมาให้ปลูกทดแทน พื้นที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนไป แต่ด้วยเพราะผู้ปลูกเป็นชาวไทยภูเขา จึงถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ซื้อเมล็ดกาแฟกดราคาต่ำ คุณปณชัย พิสัยเลิศ หรือ อาเดล ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน (ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด) ผู้เห็นถึงปัญหาและต้องการแก้ไข จึงได้ปรึกษาหารือกับ คุณวิชา พรหมยงค์ หรือ อาบ๊อ (ต่อมาดำรงตำแหน่ง ประธานบริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด) และ คุณพิษณุชัย แก้วพิชัย (ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษา บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด) จึงนำมาสู่การสร้างแบรนด์ ดอยช้าง
“อาเดลในฐานะผู้ใหญ่บ้าน ต้องการช่วยคนในชุมชน ทำอย่างไรให้ราคากาแฟได้รับการดูแล จึงไปปรึกษากับคุณวิชา และคุณวิชาก็มาปรึกษาผม เราใช้เวลาคุยกันหลายเดือน เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือคนในชุมชนกว่า 1,000 ครอบครัว หรือเกือบๆ 10,000 คน กระทั่งสร้างธุรกิจขึ้นมา รับซื้อกาแฟจากผู้ปลูกโดยประกันราคารับซื้อ ปัจจุบัน ราคาวัตถุดิบ 20 บาท ต่อกิโลกรัม” คุณพิษณุชัย เริ่มเกริ่นเรื่องราว
แม้วันนี้ คุณวิชาจะจากไปราว 2 ปีแล้ว แต่ถือเป็นผู้บุกเบิกและสร้างแบรนด์ดอยช้างให้ผงาดขึ้นมา ซึ่งคุณปณชัย เล่าว่า พื้นที่แห่งนี้มีชาวไทยภูเขาอยู่ 3 ชนเผ่าคือ อาข่า ลีซู และจีนฮ่อ ซึ่งแต่ก่อนปลูกฝิ่น แต่ต่อมาปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ถือว่าเหมาะ แต่เพราะผู้ปลูกคือชาวไทยภูเขา ไม่มีเอกสารทางราชการใดๆ รับรอง จึงถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับซื้อ ด้วยราคารับซื้อกิโลกรัมละ 10-12 บาท เท่านั้น
นี่จึงเป็นจุดประกายให้ทั้ง 3 ผู้ก่อตั้ง ร่วมกันเปิดธุรกิจ เพื่อรับซื้อวัตถุดิบจากชาวบ้านในราคายุติธรรม พร้อมๆ กับการสร้างคุณภาพชีวิต คุณภาพสังคม และสิ่งแวดล้อม
“คนส่วนใหญ่มองดอยช้างว่าคือแบรนด์กาแฟ แต่ที่จริงแล้ว เราคือ ชุมชนกาแฟ นี่คือจุดมุ่งหมาย และยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป”
ขายกาแฟเกรดดี
ดูที่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
ด้วยเพราะคุณพิษณุชัยมีความรู้ด้านทำตลาดไวน์ระดับพรีเมี่ยมมาก่อน จึงมองว่า กาแฟก็น่าจะทำตามกระบวนการนี้ได้ โดยศึกษาตั้งแต่ต้นน้ำ คือ สายพันธุ์ พื้นที่ปลูก คุณภาพดิน สภาพอากาศ ซึ่งมีความเหมาะสม แต่กาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า ต้องอาศัยร่มเงาของป่า ซึ่งขณะนั้นถูกทำลายไปมาก จึงส่งเสริมให้หันมาปลูกไม้คลุมดิน อย่าง สะตอ มะคาเดเมีย ที่ให้ผลผลิตอีกทางหนึ่ง นอกจากจะได้เงินหล่อเลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังได้ผืนป่ากลับคืนมาอีกครั้ง”
บัดนี้พื้นที่นับหมื่นไร่กลายเป็นพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพพรีเมี่ยม “ตอนนั้นมองว่าถ้าทำธุรกิจกาแฟต้องทำพรีเมี่ยม แต่ว่าคนไทยสมัยนั้นวัฒนธรรมการดื่มกาแฟอาจไม่เท่าคนสมัยนี้ หรืออย่างในกลุ่มผู้ดื่มกาแฟพรีเมี่ยมก็มองว่าต้องแบรนด์ดี และไปตามโรงแรมต่างๆ ฉะนั้น ถ้าจะทำตลาดคนไทยจึงยังคงเป็นเรื่องยาก เราจึงมองว่า อย่างนั้นทำให้ต่างชาติยอมรับก่อน แต่สำคัญคือเราต้องสร้างแบรนด์ขึ้นมา”
ในส่วนของความน่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการยอมรับในกาแฟดอยช้าง จึงจัดนำวัตถุดิบส่งไปยังสถาบันต่างๆ เพื่อขอใบรับรอง จนกระทั่งปัจจุบันกลายเป็นกาแฟคุณภาพที่หลายสถาบันยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานระดับสากลจากสถาบันที่รับรองกาแฟชั้นนำของโลก แหล่งเพาะปลูกดอยช้าง ได้รับการขึ้นทะเบียน GI หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย
ราวปี 2547 ก้าวสู่ตลาดส่งออก โดยส่งเมล็ดกาแฟไปยังประเทศไต้หวัน และต่อมาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้นที่ประเทศแคนาดา ด้วยการร่วมหุ้น ทำให้ตลาดเริ่มขยายไปยังประเทศทั้งในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และต่อมาได้ทำตลาดเพิ่มในอีกหลายๆ ประเทศ อย่างที่ประเทศเกาหลี มาเลเซีย ดอยช้างขึ้นแท่นได้รับความนิยม โดยมีสาขาแฟรนไชส์กระจายอยู่นับสิบแห่ง นอกจากนั้น ยังมีร้านกาแฟชาวดอยเปิดให้บริการในประเทศเมียนมา ลาว อินโดนีเซีย สิงคโปร์ หรือโดยรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 300 สาขา
ตลาดนอกไปได้ไกล
ตลาดในไปได้แน่นอน
เมื่อตลาดต่างประเทศเติบโต ตลาดในประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยาก มีสาขากว่า 300 แห่ง “ตอนนี้สาขาแฟรนไชส์เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 60 แห่ง คาดว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าคงขยายได้ราว 500-600 สาขา แต่ว่าความต้องการของตลาดมากกว่านั้นเยอะ ตอนนี้เกาหลีจะขอเปิดให้ได้ 500 สาขา เราก็ต้องมาดูกำลังการผลิต อย่างปีนี้กำลังผลิตกาแฟไม่เกิน 3,000 ตัน ถ้าส่งไปเกาหลีก็คงหมดแล้ว จึงต้องเฉลี่ยให้ทุกตลาด”
กับการทำธุรกิจ แน่นอนว่าต้องมีวงเงินลงทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคุณปณชัย ว่า ปัจจุบัน ใช้เงินทุนหมุนเวียนกว่า 2 ล้านบาท “ตอนที่ค่อยๆ เริ่มทำธุรกิจ และมีการขยาย เราก็ไม่ได้มีเงินทุนมากมาย จึงต้องอาศัยวงเงินสินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งก็ถือว่าได้รับโอกาสจาก บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ช่วยค้ำประกัน ทำให้ธุรกิจก้าวต่อไปได้
กับระยะเวลาก้าวเดินมากว่า 10 ปี จากพื้นที่ปลูก 500 ไร่ ขยับมาจนถึงวันนี้กว่า 20,000 ไร่ และด้วยความต้องการของตลาดมีมากขึ้นทุกปีๆ อนาคตพื้นที่กว่า 34,000 ไร่ คงเต็มไปด้วยต้นกาแฟ และจะได้ผลผลิตคาดราว 6,000-7,000 ตัน
การปลูกกาแฟ วิธีบริหารจัดการวัตถุดิบ ตลอดจนแปรรูป ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วโลก องค์ความรู้นี้จึงไม่ถูกปิดกั้น ถ่ายทอดไปสู่พื้นที่ปลูกในดอยอื่นๆ โดยจับมือร่วมกับองค์กรใหญ่ ผลักดันแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทำตลาด แน่นอนว่าย่อมนำมาซึ่งผลพวงทางด้านรายได้ แต่ทว่าทั้ง 2 ผู้ประกอบการมองว่า ไม่เท่ากับการสร้างคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม อันดีกลับคืนสู่ชุมชนและประเทศชาติ
“บนพื้นที่แห่งนี้ สิ่งที่เราพบคือ คุณภาพของคนทั้ง 3 ชนเผ่า ที่แต่ก่อนอาจอยู่กันแบบตัวใครตัวมัน พูดคนละภาษา แต่ในวันนี้ทุกคนสมานสามัคคี มีรอยยิ้มจากรายได้ต่อไร่ราว 60,000-70,000 บาท (ครอบครัวละ 5-200 ไร่) และจากเมื่อก่อนที่ต้องก้มหน้าก้มตาไม่กล้าบอกใครว่าเขาคือคนดอย แต่มาวันนี้ยืดอกสง่า เพราะเขารู้ว่าเขาคือผู้ร่วมผลิตกาแฟดีคุณภาพระดับโลก และเราก็ถือว่าเราบรรลุวัตถุประสงค์หลักแล้วคือ สร้างชุมชนให้มีความสุข”
และนี่คือที่มาของชุมชนกาแฟดอยช้าง ชุมชนที่สามารถผลิตกาแฟคุณภาพระดับโลก