ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07036010559&srcday=2016-05-01&search=no
| วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 396 |
เสริมไอเดีย
“เคเอกซ์” อาคารมีชีวิต เปิดประตูหนุน SMEs
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จับมือนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมยักษ์ใหญ่ภาคอุตสาหกรรม ผุดโครงการ บนอาคารเคเอกซ์ หรือ KX (Knowledge Exchange) อาคารมีชีวิตแห่งใหม่ย่านใจกลางเมือง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของเอสเอ็มอี 4 กลุ่มหลัก อาหาร ยานยนต์ ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มการแพทย์ แก้วิกฤตปัญหากับดักประเทศรายได้ปานกลาง
เปิดโครงการ KX
ลดปัญหาให้ SMEs
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผยถึงโครงการอาคารเคเอกซ์ หรือ KX (Knowledge Exchange) ซึ่งเป็น Open Collaboration Platform ทางความรู้ โดยที่อาคารแห่งนี้จะถูกบริหารจัดการให้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดึงดูดให้ภาคเอกชนเข้ามาพูดคุยกัน รวมถึงเป็นพื้นที่ให้มหาวิทยาลัยได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ ลงสู่การแก้ไขปัญหาให้กับภาคธุรกิจเอสเอ็มอีได้อย่างเต็มความสามารถและครบวงจร
“ที่ผ่านมา มจธ. ทำหน้าที่ไม่ต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ เพียงแต่ มจธ. ดำเนินภารกิจ 3 ด้านไปพร้อมกันคือ ทำวิจัย นวัตกรรมและวิชาการ มุ่งมั่นผลิตบัณฑิตคุณภาพสูง และทำหน้าที่หาความรู้คือทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่มีคุณค่ามีความหมายต่อเศรษฐกิจสังคมของประเทศ ร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันมายาวนาน ซึ่งพบว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ประเทศมีความอ่อนแอทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก และด้วย มจธ. มีประสบการณ์ทำงานกับภาคธุรกิจเอกชน และภาคอุตสาหกรรม จึงคิดว่าถึงเวลาทำบางอย่างเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับเอสเอ็มอี และนำพาประเทศออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ไปพร้อมๆ กับการลดความเหลื่อมล้ำ”
สำหรับวิธีการคือ มจธ. ได้เข้าไปขอรับความร่วมมือจากบริษัทใหญ่ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาและช่วยเหลือเอสเอ็มอีนั้นสำคัญอย่างไร ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้บริษัทใหญ่ๆ เหล่านั้นได้ซื้อของที่มีคุณภาพอันดีในราคาถูกลง แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจของคนไทย ช่วยเหลือคนตัวเล็ก อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติด้วย
จับมือร่วมบริษัทใหญ่
ภาครัฐให้การสนับสนุน
อธิการบดี มจธ. กล่าวด้วยว่า “เราต้องการยกสมรรถนะของเอสเอ็มอี ซึ่งการจะทำให้สำเร็จได้ ความสำคัญอยู่ที่การได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ซึ่งก่อนจะตกผลึกเป็นเรื่องนี้ได้เดินสายคุยกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเอกชนนับสิบราย พูดคุยกับศิษย์เก่าของเราหลายคน ในฐานะที่ มจธ. เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่อยากจะทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ในขณะที่เอสเอ็มอีมีเป็นแสนราย กลไกคือต้องทำงานร่วมกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นหมายถึงต้องการเห็นเอสเอ็มอีดีขึ้น นั่นก็คือภาครัฐ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และบริษัทใหญ่ๆ ก็ต้องการพัฒนาซัพพลายเชนของเขา คือ กลุ่มเอสเอ็มอีให้ป้อนสินค้าดีมีคุณภาพ ราคาถูกลงให้กับบริษัท ก็จะทำให้เอสเอ็มอีมีกำไรมากขึ้นด้วย ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์และเกิดการพัฒนา”
นี่คือเหตุผลทำให้ มจธ. ต้องร่วมมือกับบริษัทใหญ่หลายแห่ง อันจะนำไปสู่ประโยชน์ของประเทศชาติ
“ความร่วมมืออีกส่วนหนึ่งคือ ภาครัฐ ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนเอสเอ็มอีให้แข็งแรงโดยเฉพาะในส่วนของกิจกรรม เช่น เชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามามอบความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของสินค้าและการทำงาน โดยภาครัฐจะต้องเข้ามาช่วย อาจสัดส่วน 50:50 หรือ 70:30 ซึ่งปัจจุบันนี้มีทั้งสมาคมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งประเทศไทย และ สสว.เข้ามาร่วมด้วย
ส่วนภาคการศึกษา อย่าง มจธ. มีผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ออสเตรีย อิหร่าน เข้ามาร่วมกันวิจัยพัฒนานำความรู้แลกเปลี่ยนต่อกัน สิ่งเหล่านี้เป็น Knowledge Exchange ที่เน้นย้ำเรื่องนี้มาก และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม มจธ. จึงต้องสร้างตึกเคเอกซ์ขึ้นมา”
พบปะ 5 หน่วยงาน
สานสู่ธุรกิจ 4 กลุ่ม
รศ.ดร.ศักรินทร์ ยังกล่าวถึงการออกแบบอาคารเคเอกซ์ ให้มีบรรยากาศเอื้อต่อทุกภาคส่วน สามารถทำภารกิจเพื่อชาติบ้านเมืองได้เต็มความสามารถที่สุด โดยตัวอาคารมีความสูง 20 ชั้น พื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตารางเมตรโดยประมาณ ภายในอาคารเป็นสถานที่ทำงานพบปะและจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ของหน่วยงาน 5 กลุ่ม ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และสถาบันการเงิน
อาคารถูกออกแบบให้มีความเป็นระบบนิเวศ (Eco system) เอื้อต่อการสร้างนวัตกิจ (Startup) และการแลกเปลี่ยนความรู้ อาทิ พื้นที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) พื้นที่เพื่อกระตุ้นแนวคิดด้านดีไซน์ พื้นที่ทำงานของภาคธุรกิจที่เข้ามาเป็นสมาชิก พื้นที่ห้องประชุมสัมมนา พื้นที่จัดแสดงสินค้า ชิ้นงาน งานวิจัยและนวัตกรรม พื้นที่ของสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นภาคีเครือข่ายที่ทำงานวิชาการและงานวิจัยต่างๆ
อธิการบดี มจธ. ระบุว่า อาคารดังกล่าว ได้รับการออกแบบให้มีลักษณะสอดประสานเชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่แต่ละส่วน ตามแนวคิด Interlocking in Space เพื่อรองรับหลักการดำเนินงานภายในอาคารที่มุ่งให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของประชาคมจากภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษาและภาครัฐ
นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อให้บริการวิชาการกับหน่วยงานภายนอก โดยนำความรู้และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัย และหน่วยงานเครือข่าย ไปสู่การใช้ประโยชน์โดยภาคอุตสาหกรรมในลักษณะของภาคีความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
พัฒนาต่อยอด
นำความรู้ช่วยเหลือ
ทั้งนี้ยังได้มีการออกแบบกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดขึ้นในอาคาร เพื่อเป็นบริการนำความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีไปช่วยเหลือภาคธุรกิจอุตสาหกรรมของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น อาทิ การให้คำปรึกษาและพัฒนาอุตสาหกรรมร่วมกัน ระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรม 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มยานยนต์ กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มการแพทย์
“นอกจากนี้ยังผลักดันให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้สูง สร้างบุคคลที่มีความเป็น X Maker ในธุรกิจที่มีอิมแพ็คต่อรายได้ของประเทศ โดยมหาวิทยาลัยมีเครื่องมือและความรู้พร้อมให้คำปรึกษาและรองรับผู้ที่ต้องการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ”
อธิการบดี มจธ. กล่าวด้วยว่า ภารกิจดังกล่าวข้างต้นนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังเป็นการช่วยให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตคุณภาพ โดยโครงการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะมีทั้งอาจารย์และนักศึกษาเข้ามาทำงานวิจัยร่วมกันกับภาคเอกชน ถือเป็นการทำงานบนโจทย์จริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้จริง และทำให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษาอีกด้วย
ทั้งนี้กับความคืบหน้าล่าสุด มูลนิธิพัฒนานวัตกรรม มจธ. ร่วมกับบริษัทเอกชนชั้นนำ 4 แห่งคือ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด บริษัท แอโรฟลูอิด จำกัด และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท KX Consulting Enterprise Company Limited หรือ KCE ซึ่งเป็นโซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์ มีบทบาทในการบริหารกิจกรรมต่างๆ ของอาคารเคเอกซ์ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
พร้อมทั้งให้การสนับสนุนในด้านบุคลากรและการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางธุรกิจ การบริหารจัดการและการให้งบประมาณทั้งในรูปเงินลงทุนและเงินบริจาค เพื่อให้ KCE ทำหน้าที่เป็น Marketing Arms ของมหาวิทยาลัยในการดำเนินการจัดกิจกรรม เพื่อให้อาคารเคเอกซ์เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อพัฒนานวัตกรรมตามแนวทางที่กำหนดร่วมกัน โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วราว 40 ราย