ทำน้อยให้ได้มาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07012010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 22 ฉบับที่ 398

เติมใจ…ใส่ธุรกิจ

พลชัย เพชรปลอด อาจารย์พิเศษ ม.ศิลปากร, อดีตผู้บริหารการตลาด กลุ่มธนบุรีประกอบรถยนต์

ทำน้อยให้ได้มาก

ทุกธุรกิจ ขึ้นอยู่กับ “ความคิด” และ “การจัดการ”

ช่วงนี้ผมมีโอกาสไปคลุกคลีกับคนทำเกษตรกรรมหลายคน ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้เจอทั้งรุ่นเก๋า ยันรุ่นใหม่ไฟแรง

มีความรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้มีเด็กรุ่นใหม่ หันมาสนใจอาชีพเกษตรกรรมมากขึ้น

นับเป็นนิมิตหมายอันดีนะ คนรุ่นปู่ย่าตายาย เริ่มตายจาก จนแทบไม่เหลือ รุ่นพ่อแม่ก็ค่อยๆ ทยอยตามคิว หลายครอบครัว พื้นฐานมาจากการเกษตร เพราะเรือกสวนไร่นาพาให้มีกินมีใช้ มีเงินส่งเสียจนเรียนจบ แต่น้อยคนที่จะอยากกลับไปทำเกษตรกรรมสืบทอดอาชีพของครอบครัว

“มันเหนื่อย”

คำตอบสั้นๆ ที่มักได้ยินได้ฟัง

“มันไม่คุ้ม”

เป็นอีกเหตุผลยอดนิยม ที่ได้ยินเป็นคำตอบ

วันหนึ่งผมไปเยี่ยมเยียนศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน ที่บ้านดอนผิงแดด ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ไปนั่งฟังปราชญ์ชาวบ้านคุยเรื่องเกษตรอินทรีย์ให้ฟัง และยังได้ฟังหนุ่มน้อยหน้าขาว ผิวพรรณน่าไปเดินแบบบนแคตวอร์กมากกว่ามาอวดอ้างว่าทำอาชีพเกษตรกรรม

บางแง่มุมความคิด ได้สะท้อนภาพของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมได้เป็นอย่างดี

“ทำอย่างไร ที่จะทำน้อย แต่ให้ได้มาก”

ผมว่าแนวคิดนี้ คงไม่ซับซ้อนสำหรับคนทำเกษตรกรรม คงมีแนวคิดประมาณนี้ร่วมกันอยู่ อย่างน้อย ตอนที่อเมริกาได้สร้างวาทกรรมอันนำไปสู่การปฏิวัติเขียว ยุให้ประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกหันมาทำเกษตรแบบเร่งสร้างเร่งกิน ใช้เครื่องมือ ใช้สารเร่ง ใช้สารฆ่าแมลง ใช้จนกระทั่ง ย้อนกลับมาเป็นโทษกับมนุษย์เอง

แนวคิด คือ ใช้พื้นที่เท่าเดิม ปลูกให้ได้ผลผลิตมากขึ้น ปลูกให้ได้จำนวนรอบมากขึ้น ทำให้ผลผลิตเสียหายน้อยลง เพื่อเหลือของเอาไว้ขายมากขึ้น

จากแนวคิดนี้ นำมาสู่เครื่องจักรกลการเกษตร การใช้ปุ๋ยเคมีเร่งการเติบโต การใช้ฮอร์โมนเร่งผลผลิต การใช้สารพิษฆ่าแมลง เป็นแนวคิดประเภท “ใช้พื้นที่น้อย แต่ทำให้ได้มาก”

แต่ปราชญ์ทางด้านเกษตรอินทรีย์ น่าสนใจครับ มีแนวคิด “ทำน้อย แต่ให้ได้มาก”

ฟังเผินๆ ผมว่าการใช้สรรพสิ่งตามแบบพวกเคมีนิยมใช้กัน ก็น่าจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ แต่กลับแตกต่างครับ

การทำน้อยให้ได้มาก ปราชญ์ชาวบ้าน เขามองไปที่ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม”

ฟังแล้วปิ๊งเลยครับ…นี่มัน “การตลาด” ชัดๆ

ปราชญ์ชาวบ้าน ไม่ต้องร่ำเรียนหนังสือมากมาย แต่ยังคิดได้ตามแนวการตลาด จิตใจมั่นคง ไม่หลงกลับไปหาเกษตรเคมี แต่หาทางทำให้ผลผลิตของตัวเอง ที่อาจน้อยกว่า ให้ดูมีคุณค่ามากกว่า

บ้านดอนผิงแดด ปลูกข้าวอินทรีย์ เขาบรรจุถุงขนาดคนเมืองพอกิน แล้วตั้งราคาขายได้สูงขึ้น เพราะเป็นข้าวอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถพิสูจน์ได้ เขาเลือกทดลองสายพันธุ์ที่มีรสชาติอร่อย ทำเป็นข้าวกล้องขาย ปกติข้าวกล้องจะแข็ง แต่ด้วยการทดลองและคัดเลือกพันธุ์มาเป็นอย่างดี จึงไม่แข็ง หอม นุ่มนวล ชวนกิน

ใครเห็น ใครได้รับรู้คุณภาพ อยากได้ แต่เขามีจำนวนจำกัด ของอะไรที่ดีแล้วมีน้อย ราคามักสวนทาง

แนวคิดนี้ผมกระจ่างขึ้นเยอะ เมื่อได้ฟังเกษตรกรวัยละอ่อน ที่เคยทำงานระดับผู้จัดการในโรงงานผลิตชิ้นส่วนหุ่นยนต์ เล่าถึงวิธีการประยุกต์แนวคิด “ทำน้อยให้ได้มาก” ของเขา เป็นการตอกย้ำยิ่งขึ้น

เขามีความรู้ เรื่องการทำโรงเรือน ระบบอำนวยความสะดวกในโรงเรือน เขาก็ทำการติดตั้งระบบอัตโนมัติให้โรงเรือนมากขึ้น ใช้คนงานน้อยลง อันนี้อาจเรียกอีกอย่างว่า “ใช้คนน้อย ทำให้ได้มากขึ้น”

เขาปลูกไม่กี่อย่างครับ แต่เลือกปลูกเฉพาะของแพง ของที่คนมีเงินนิยม ของที่หาไม่ได้ตามท้องตลาดทั่วไป เช่น ปลูกเมลอนสายพันธุ์ฮอกไกโด ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความหอมหวาน ปลูกมะเขือเทศที่หวานราวกับผลไม้ เป็นต้น

ปลูกของหายาก แปลว่าปลูกยาก ทำให้คนอื่นไม่ค่อยปลูก ผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาด แม้จะมีเหมือนกัน แต่คุณภาพต่างกันโดยสิ้นเชิง นี่คือ มูลค่าเพิ่ม ที่เขารู้จักหยิบยกขึ้นมาเป็นจุดขาย

อีกรายครับ เป็นเกษตรกรที่คิดต่าง คิดทำสวนตาล “ปลูกต้นตาล”

ตอนแรกที่ทำ ใครได้ยินเป็นฮาล่ะครับ คนบ้าอะไร ทำสวนตาล เพราะต้นตาลมันขึ้นเองตามหัวไร่ปลายนาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปปลูกให้เสียเวลา

แต่ด้วยความคิดต่างครับ เริ่มจากคิดหาต้นอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องดูแลมาก ปลูกแล้วปล่อยให้หากินเองได้เลย และสามารถเป็นมรดกยันลูกหลาน หาอยู่นาน จนได้คำตอบที่เหมาะสม “ต้นตาล”

เมื่อได้คำตอบ ก็เริ่มวางแผนเรียนรู้ธรรมชาติของต้นตาล มีการจัดการเชิงพื้นที่ คือคำนวณว่า ใบตาลแผ่กว้างเท่าไหร่ ปลูกให้ห่างกันแค่นั้น พื้นที่ที่มีอยู่จึงปลูกได้จำนวนต้นเยอะ

หลังอดทนรอ 10 กว่าปี ทีนี้ใครเห็นเป็นทึ่งกับแนวคิด เวลาปีนต้นตาลไปรองน้ำตาล ไม่ต้องปีนขึ้นปีนลง เพราะทำนั่งร้านเชื่อมต่อกันระหว่างต้น เดินไปได้เลย เพราะต้นอยู่ใกล้ชิดกัน

ผมได้เห็น ได้คุยกับบรรดาเกษตรกรหัวก้าวหน้าเหล่านี้ แล้วหวนคิดว่า “อาชีพเกษตรกรรม ต้องทำโดยมีการคิด และการจัดการ”

“คิด จัดการ การตลาด” น่าจะเป็นแพ็กเกจที่ดีในการนำมาใช้ทำการเกษตร ที่ผ่านมาได้ยินได้ฟังเกษตรกรมีปัญหา ต้องมาเดินขบวน มาร้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ จนบางทีก็รู้สึกว่า “มากไปมั้ย” ราวกับไม่คิดพึ่งพาตัวเองเอาเสียเลย

ชอบปลูกพืชแบบแห่ตามกัน ปลูกจนล้นตลาด ราคาก็ร่วง แล้วก็มาขอให้ภาครัฐแทรกแซงราคา พยุงราคา หรือบ้างก็ขอราคาที่ต้องการเอาดื้อๆ

พอเจอปราชญ์ชาวบ้าน เจอลุงวัย 70 ปีกว่า เจ้าของสวนตาล เจอหนุ่มน้อยวัย 30 ต้นๆ ที่หันมาเอาดีทางเกษตรกรรม ทุกคนมีวิธีคิด มีวิธีบริหารจัดการ ทุกคนแม้ไม่ได้ร่ำเรียนด้านการตลาด แต่ทุกคนมีการตลาด

แต่ละคน เริ่มต้นคิดจากโจทย์คล้ายๆ กันคือ ทำอย่างไรให้ “ทำน้อย” แต่ “ได้มาก”

เมื่อคิดมากขึ้น วางแผนมากขึ้น ก็จะ “ทำน้อยลง”

นอกจากน้อยลง การวางแผนไม่ปลูกตามใคร ไม่เห่อ ไม่แห่ตามพวก ผลผลิตก็น้อยตาม แต่ “แตกต่าง” มาก

เพราะปริมาณน้อยแต่คุณค่าแตกต่าง ก็เป็นเหตุให้ “ได้มาก”

ฟังแบบนี้แล้ว…ได้ไอเดียอะไรกับธุรกิจบ้างไหมครับ ถ้ายังนึกไม่ออก ก็ท่องเข้าไว้…

“ทำน้อย…ให้ได้มาก…”

Leave a comment