สงวน มงคลศรีพันเลิศ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง เน้น “แกล้งพืช” มีเงินเก็บปีละเกือบล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0723151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 409

เพียงพอเพื่อพ่อ

สร้าง บุญสอง srangbun@hotmail.com

สงวน มงคลศรีพันเลิศ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง เน้น “แกล้งพืช” มีเงินเก็บปีละเกือบล้าน

ช่วงหลายปีมานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมักไปศึกษาหาความรู้เรื่องการทำเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่บ้านของ “คุณสงวน มงคลศรีพันเลิศ” วัย 56 ปี ซึ่งได้จัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบบ้านเขากลม ตำบลหนองทะเล อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลหนองทะเล และศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน

เดินตามคำสอนของพ่อ

ทำไมต้องไปดูงานที่นี่ ก็เพราะเขาผู้นี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพเกษตรกรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีความสุขและครอบครัวอบอุ่นได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ที่สำคัญ ผลงานของเขาได้รับรางวัลมากมาย ทั้งระดับจังหวัดและประเทศ อาทิ เป็นเกษตรกรดีเด่น ปี 2548 สาขาปศุสัตว์, รางวัล 76 คนดีแทนคุณแผ่นดินปี 2552, รางวัลการประกวดผลงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้านประชาชนทั่วไป ปี 2550 และได้รับรางวัลศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรชนะเลิศอันดับ 1 ระดับจังหวัด ปี 2550, ชนะเลิศระดับประเทศ รางวัลมีชัย วีระไวทยะ ปี 2552 นอกจากนี้ ยังได้รับมอบปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเกษตรกรรม จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

คุณสงวน เล่าความเป็นมาให้ฟังว่า เริ่มต้นเมื่อปี 2540 ตัวเองเป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี มีรายได้ถึงเดือนละ 28,000 บาท แต่ไม่เคยมีเงินเหลือเก็บ เมื่อคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 สอนให้คิดเรื่องกินก่อนคิดเรื่องเงิน จึงตัดสินใจกลับบ้านที่จังหวัดกระบี่ เริ่มต้นศึกษาและเรียนรู้เองจนตกผลึกทางความคิดว่า เมื่อจะทำเกษตรแบบพอเพียง ต้องสร้างโรงปุ๋ยก่อน โดยใช้ทางปาล์มซึ่งชาวสวนต้องตัดทิ้งอยู่แล้ว นำมาเข้าเครื่องบดเป็นอาหารให้วัวที่มีอยู่ 4 ตัว เมื่อวัวถ่ายออกมา นำมูลของมันหมักในบ่อก๊าซชีวภาพ ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อก๊าซหุงต้ม ส่วนขี้วัวที่เหลือยังไปทำเป็นอาหารปลา และปุ๋ยหมักได้ โดยมีการคำนวณว่ามูลวัว 1 ตัว จะมีปริมาณถึง 2 ตัน ต่อเดือน ได้ก๊าซชีวภาพ 15-16 กิโลกรัม

ในพื้นที่เกือบ 8 ไร่ของคุณสงวน นอกจากจะแบ่งที่ดิน 5 ไร่ทำไร่นาสวมผสมแล้ว ยังจัดตั้งเป็นศูนย์ต่างๆ อาทิ เมื่อปี 2549 ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบบ้านเขากลม ตั้งศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลหนองทะเล, ศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้สนใจจากทั่วประเทศ รวมทั้งเกษตรกร และนักเรียนนักศึกษา จำนวนหลายแสนคนเข้ามาอบรมดูงาน มาเรียนรู้วิธีการทำการเกษตรตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ชูโมเดลเกษตรสวนทาง

คุณสงวน เล่าว่า ภายในศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบบ้านเขากลมนั้น จุดเรียนรู้แบ่งเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ ด้วยกันคือ 1. ลดรายจ่าย 2. เพิ่มรายได้ 3. การออมหรือบำนาญ และ 4. ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งเป็นจุดเรียนรู้กว่า 20 เรื่องด้วยกัน ซึ่งผู้คนที่มาศึกษาดูงานที่ศูนย์มักชอบถามว่าคิดได้อย่างไร จึงตอบไปว่าที่นี่เป็นเรื่องของการทำเกษตรสวนทาง อย่างเช่น ที่อื่นต้องขุดดินเพื่อปลูกต้นไม้ แต่ที่นี่จะไม่ขุดดิน และทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ด้วยวิธีการแกล้งพืช ทำให้ลำบาก ขณะที่พืชเองกลัวตายก็ต้องเอาตัวรอด

สำหรับจุดเรียนรู้ต่างๆ จะมีคำอธิบายและมีผู้รู้บรรยายให้ฟัง อย่างจุดที่ 1 การเลี้ยงวัว, แพะ (สัตว์ 4 กระเพาะ) ครบวงจรโดยไม่กินหญ้า ใช้ทางปาล์มน้ำมันมาบดและหมักเพื่อใช้เป็นอาหารแพะและวัวแทนหญ้า จุดที่ 2 การทำปุ๋ยหมักระบบเติมอากาศ จุดที่ 3 การปลูกผักระบบใต้ดิน (ปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ) จุดที่ 4 การผลิตอาหารสัตว์จากทางปาล์มน้ำมัน จุดที่ 5 การปลูกพืชผสมผสาน จำนวน 5 ไร่ แก้จน

จุดที่ 6 การเลี้ยงปลาแบบบ่อ 3 ด้าน โดยการทำบ่อปลาติดผนังบ้าน หรือโรงเรือนต่างๆ เพียง 3 ด้าน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย จุดที่ 7 การทำน้ำส้มควันไม้ครบวงจร ได้จากการสกัดน้ำจากควันไม้ประเภทส้ม จุดที่ 8 การอบสมุนไพร จุดที่ 9 การทำและการเลี้ยงจุลินทรีย์โดยใช้ภูมิปัญญาไทย จุดที่ 10 การเลี้ยงเป็ด, ไก่ (คอล่อน) จุดที่ 11 การทำเตาก๊าซชีวภาพกลายเป็นก๊าซหุงต้มโดยใช้มูลสัตว์ จุดที่ 12 การทำน้ำมันไบโอดีเซลโดยใช้ภูมิปัญญา

จุดที่ 13 ตู้อบสมุนไพร จุดที่ 14 การทำน้ำยาล้างจาน จุดที่ 15 การทำอาหารปลาดุก จุดที่ 16 การทำน้ำมันนวด จุดที่ 17 การทำเห็ดอบโอ่ง จุดที่ 18 การปลูกพืชตีกลับ คือการปลูกกล้วย โดยนำเอาส่วนยอดลงเพื่อเพิ่มจำนวนของหน่อที่จะเกิดขึ้น จุดที่ 19 การเพาะถั่วงอก จุดที่ 20 การทำถังก๊าซขนาดย่อม จุดที่ 21 การทำปลาเค็มอบดิน และ จุดที่ 22 การทำน้ำจุลินทรีย์หน่อกล้วย

ในบรรดาจุดเรียนรู้ต่างๆ มีหลายจุดที่น่าสนใจ อย่างเช่น การปลูกพืชไฮโซแบบไม่ต้องใช้ดิน ซึ่งสามารถปลูกไว้ข้างๆ บ้าน หรือตึกสูงๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องมีที่ดินแต่อย่างใด โดยนำขุยเปลือกมะพร้าว 3 ส่วน ผสมกับปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ใส่ภาชนะ แทนการปลูกลงในดิน แล้วรองพื้นด้วยถุงพลาสติก จากนั้นก็หยอดเมล็ดพันธุ์พืชลงไป แล้วนำมาผูกกับลวดแขวนไว้ข้างบ้าน

แนะวิธีปลูกกล้วยเติมกลิ่นผลไม้

นอกจากนี้ การปลูกพืชตีกลับก็ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ซึ่งคุณสงวนได้โชว์ให้เห็นด้วยการนำหน่อชี้ฟ้าเอาส่วนต้นที่มีใบลงดินว่า ถ้าปลูกกล้วยโดยนำหน่อหรือโคนลงดินเหมือนที่ปลูกกันอยู่ทั่วไปจะได้ต้นกล้วย 1 ต้น เมื่อออกลูกจะได้เครือหนึ่งประมาณ 7-8 หวี แต่ถ้าปลูกเอาปลายลง จะได้ต้นกล้วย 3-4 ต้น ได้กล้วย 3-4 เครือ แต่ละเครือจะได้กล้วยถึง 10 หวี วิธีนี้สามารถใช้ได้กับกล้วยทุกชนิด

หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วต้นไม่ตายหรือ คุณสงวน ตอบแบบติดตลกว่า “กล้วยมันมีปัญหาเลยเรียกประชุมกันด่วนว่าทำไมมั่วจังเลย เกิดสึนามิหรือเปล่า ประมาณ 15 วัน มันจะรีบขึ้นมาอย่างน้อย 3-4 ต้น พร้อมกันเลย พอมันขึ้นมาแล้ว มันจะพึ่งตัวเองคือมันจะกินตัวมันเองที่มีจุลินทรีย์ เราไม่ต้องใส่ปุ๋ย”

ทั้งนี้ ต้นกล้วยที่ได้จะมีความสูง ไม่เกิน 1.50 เมตร และจะออกเครือเร็วกว่ากล้วยที่ปลูกด้วยการนำหน่อลงดิน ที่สำคัญ ขนาดของลูกจะใหญ่ขึ้น

คุณสงวนยังมีวิธีการเพิ่มมูลค่าของกล้วยด้วยการแต่งกลิ่นเข้าไป อยากได้กล้วยรสทุเรียน รสสตรอเบอร์รี่ รสวานิลลา หรือรสสละก็สามารถทำได้ตามใจชอบ จากเดิมขายกล้วยได้หวีละไม่กี่สิบบาท แต่พอแต่งกลิ่นและรสชาติพวกนี้แล้วสามารถขายได้ถึงหวีละ 70-80 บาท ซึ่งกล้วยน้ำว้าจะเป็นกล้วยที่เติมกลิ่นได้ดี แต่ต้องทำในช่วงหน้าแล้งเท่านั้น หากทำในช่วงหน้าฝนกลิ่นที่ได้จะเจือจาง

ส่วนวิธีการทำนั้น คุณสงวน บอกว่า ไม่ยากเลย พอตอนกล้วยออกปลีก็ไปเจาะหรือกรีดลำต้นเป็นรูปสามเหลี่ยมจนถึงไส้ทำให้เกิดแผล จากนั้นนำหัวเชื้อเข้มข้นและกลิ่นต่างๆ ที่ต้องการ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ในท้องตลาดจำพวกเดียวกับที่ใช้ทำกลิ่นไอศกรีม ตกขวดละ 10 กว่าบาท นำมาชุบสำลีแล้วยัดเข้าไปในไส้ต้นกล้วย จากนั้นปิดไส้ต้นกล้วยให้เหมือนเดิม สัก 2 เดือนกล้วยก็สุกและจะได้กล้วยตามกลิ่นที่ใส่เข้าไป

คุณสงวน ให้ข้อคิดว่า ประเทศไทยโชคดีที่มีพ่อคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงมีแนวพระราชดำริการพึ่งตนเองเป็นหลัก ซึ่งต้องมองตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น กลับมาพึ่งตนเองให้ได้ ตั้งความคิดให้ถูก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจพอเพียงที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ต้องมีวิชาการและภูมิปัญญาควบคู่กัน พร้อมแนวทางพึ่งตนเอง ซึ่งจะต้องเตรียม 4 อย่างคือ 1. เตรียมตัวก่อนตาย 2. เตรียมกายก่อนแต่ง 3. เตรียมน้ำก่อนจะแล้ง 4. เตรียมแรงก่อนจะทำงาน แต่ทั้งหมดนี้ต้องควบคุมด้วยความรู้ ที่อยู่บนพื้นฐานความจริงกำกับด้วยคำว่า “พอ”

ปราชญ์ชาวบ้านท่านนี้บอกอีกว่า ทางศูนย์ยังได้นำกล้วยป่ามาพัฒนาพันธุ์ใหม่ไม่ให้มีเมล็ด เพราะกล้วยป่าเป็นกล้วยที่มีรสชาติดี มีความสามารถในการต้านทานโรคได้ดี กลิ่นหอมหวาน แต่คนไม่นิยมทานเพราะเมล็ดเยอะมาก และยังได้นำทุเรียนหมอนทองมาทาบกับต้นมะม่วงหิมพานต์ ทำให้ได้ทุเรียนที่มีรสชาติดี ไม่เละ สาเหตุที่นำต้นไม้ 2 ชนิดมาอยู่รวมกันนั้นเพราะมะม่วงหิมพานต์เป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย

ปัจจุบัน เขามีรายได้เหลือปีละ 800,000 กว่าบาทหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว โดยมาจากรายได้ของผลผลิตบนผืนดิน 8 ไร่ ซึ่งในแต่ละเดือนมีผู้คนจากทั่วสารทิศเข้ามาศึกษาดูงานที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนบ้านเขากลมจำนวนมาก ทำให้เขาสามารถขายผลผลิตทางการเกษตรได้ด้วย และยังนำผลผลิตมาเลี้ยงผู้เข้าร่วมอบรม

สนใจอยากศึกษาดูงานศูนย์ดังกล่าว ติดต่อคุณสงวนได้ที่ โทรศัพท์ (089) 590-6738

Leave a comment