ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี
http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=0729151159&srcday=2016-11-15&search=no
| วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 409 |
เพียงพอเพื่อพ่อ
วัชรี
ในหลวงนักวิจัย ถึง ชาวบ้านนักวิจัย สู่อาชีพบนดอยสูง และการเกษตรอย่างยั่งยืน
“…การพัฒนาชนบท เป็นงานที่สำคัญ เป็นงานที่ยาก เป็นงานที่จะต้องให้ได้ด้วยความสามารถ ด้วยความเฉลียวฉลาด คือ ทั้งเฉลียวทั้งฉลาด ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ…” พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่ผู้บริหารงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
หลักการตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระองค์ทรงยึดเป็นหัวใจสำคัญในการทรงงานพัฒนาชนบท ที่สำคัญคือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งพระองค์ได้เป็นแบบอย่าง ในหลวงนักวิจัย สู่การถ่ายทอดให้ชาวบ้านเป็นนักวิจัยด้วย
เดินทางไปยังหมู่บ้านผาหมอน ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้นำเอาหลักการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาใช้ในการพัฒนาหมู่บ้านและได้นำเอามาเป็นแบบอย่างในการทำเกษตร ปัจจุบันชาวบ้านที่นี่เข้าใจหลักการทำงาน โดยได้นำเอาความเป็นนักวิจัยของในหลวงมาเป็นแบบอย่างมาพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง
โดยได้รับแรงสนับสนุนการเรียนรู้เชิงวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้กำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี มีภารกิจหลักในการสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อการสร้างองค์ความรู้ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ การวิจัยเชิงนโยบาย และการวิจัยประยุกต์ต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น
ผศ.ดร.บัญชร แก้วส่อง รองผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยด้านชุมชนและพื้นที่ กล่าวว่า “การทำงานวิจัยคือการหาความรู้นำไปสู่การพัฒนา ผู้ศึกษาวิจัยจำเป็นต้องทำการเก็บข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับงานวิจัยให้รอบด้าน จากนั้นนำมาวิเคราะห์และวางแผนต่อ รวมทั้งการเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ เข้าไป นำไปสู่การพัฒนาแบบ งานวิจัย ซึ่งนับเป็นแนวทางเดียวกับการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
“หากจะถอดแบบการทรงงานของพระองค์ที่เสด็จนิวัติประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทั่วภูมิภาค จะเห็นว่าพระองค์จะทอดพระเนตรสภาพพื้นที่จริง พูดคุยกับชาวบ้านถึงความเป็นอยู่ การทำมาหากิน หากมองในแง่งานวิจัย ถือว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล สร้างความเข้าใจอย่างแท้จริง หลังจากนั้น เอาข้อมูลที่ได้มาวางแผนว่าจะพัฒนาอย่างไรต่อไป เมื่อได้แนวทางแล้วพระองค์ก็จะทรงนำกลับลงไปให้ชาวบ้านได้ลองปฏิบัติการ เป็นการเข้าถึง เมื่อสื่อสารถึงราษฎรมีอะไรจะได้ปรับแก้ไข เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน การทรงงานของพระองค์มีการใช้กระบวนการงานวิจัยตลอด พระองค์จึงทรงเป็นในหลวงนักวิจัย”
นับตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ มาเยือนหมู่บ้านผาหมอนแห่งนี้มากถึง 6 ครั้ง แต่ละครั้งที่เสด็จฯ มา พระองค์จะลงพื้นที่ใกล้ชิดชาวบ้านเสมอ
โดย คุณพะโย่ ตะโล ชาวชุมชนชาวกะเหรี่ยง หรือชาวปกากะญอ วัย 75 ปี ซึ่งเป็นผู้ดูแลกาแฟต้นแรกของในหลวง รัชกาลที่ 9 เล่าให้ฟังถึงการเฝ้ารับเสด็จถึง 6 ครั้ง ที่พระองค์เสด็จฯ มาว่า “อดีตหมู่บ้านนี้เข้าถึงยากมาก ทุรกันดาร หนทางลำบาก ชาวบ้านยากจนมาก ชาวเขาโดยมากก็ปลูกฝิ่นเยอะทำกันมาแต่บรรพบุรุษ จนปี 2517 ครั้งแรกที่พระองค์เสด็จฯ มาที่นี่ ก็เสด็จฯ กลับมาอีก ไม่ละทิ้งชาวเขายากจนอย่างเราเลย ทั้งยังทรงอยากรู้ว่าชาวบ้านมีวิถีชีวิตกันอย่างไร อยู่กินกันอย่างไร เงินทองหามาได้อย่างไร ซึ่งชาวเขาอาศัยอยู่ดอยสูงขนาดนี้ พระองค์ยังเสด็จฯ มาหาได้ ชาวเขาที่นี่ภาคภูมิใจมาก พยายามทำตามที่พระองค์บอกและสอน”
ทั้งนี้ พระองค์ยังทรงบอกว่า “ต่อไปจะสร้างโครงการหลวง เพราะที่นี่อากาศหนาว จะเอาพืชมาให้ปลูกส่งไปขายที่โครงการหลวง ทดแทนการปลูกฝิ่น ต่อไปจะทำให้ได้เงิน” โดยพืชที่ทรงพระราชทานมาให้ในยุคแรกๆ คือ กาแฟ ด้วยเหตุผลที่ว่า กาแฟขายได้ทั่วโลก คนนิยมและต้องการ อีกทั้งการปลูกกาแฟไม่ทำลายป่า ปลูกกาแฟได้ ป่าก็ยังอยู่ได้
คุณพะโย่ เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า “กาแฟต้นแรกที่พระราชทานให้ชาวบ้าน ตนเป็นผู้ดูแลอย่างดี อายุร่วม 40 กว่าปีแล้ว ยังออกผลผลิตอยู่”
ต่อจากนั้น ชาวเขาจึงเริ่มหันมาปลูกพืชอื่นๆ ทดแทนการปลูกฝิ่น ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ข้าว พืชผัก สตรอเบอร์รี่ ดอกไม้ต่างๆ ซึ่งเน้นไม้ที่พืชพรรณเมืองหนาว โดยผลผลิตที่ได้ส่งเข้าโครงการหลวง ชาวบ้านสลับการปลูกพืชหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่
หลักการทรงงานของในหลวงนักวิจัย ทำให้ชาวบ้านเอามาเป็นแบบอย่าง จนเกิดชาวบ้านนักวิจัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่อเนื่องกันมาหลายรุ่น กระทั่งหมู่บ้านผาหมอน บนดอยอินทนนท์แห่งนี้ สามารถสร้างโครงการต่างๆ ตามแนวพระราชดำริ โดยอาศัยการศึกษาวิจัยเข้าช่วย อาทิ โครงการวิจัยการท่องเที่ยวเชิงศึกษานิเวศน์และวัฒนธรรมแบบยั่งยืนโดยชุมชนบ้านผาหมอน ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี คุณสุรสิทธิ์ ดลใจไพรวัลย์ นักวิจัยฝ่ายท้องถิ่น สกว. และกลุ่มผู้อาวุโสในชุมชน ช่วยกันดูแลและจัดการ ซึ่งสามารถคัดนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้ามาเที่ยวได้ โดยตั้งกลุ่มของชาวบ้านขึ้นมาช่วยกันดูแล และสร้างที่พัก เกิดการจัดสรรพื้นที่ และการช่วยกันบริหารดูแลกันขึ้นภายในกลุ่ม, โครงการธนาคารข้าว สำหรับตอบโจทย์คนในหมู่บ้านที่ข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภค ทั้งๆ ที่หมู่บ้านก็ทำนา โดยวิธีการทำนาแบบขั้นบันได โดยปัจจุบันให้เยาวชนรุ่นใหม่ของชุมชนเป็นผู้บริหารจัดการและดูแล เป็นต้น
ปัจจุบัน สกว.ฝ่ายพัฒนาท้องถิ่น ได้ใช้วิธีการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นตามแนวคิดและหลักการทรงงานดังกล่าวมาแล้วเป็นเวลา 17 ปี มีชุมชนวิจัยจำนวน 2,000 กว่าชุมชน มีนักวิจัยชาวบ้าน 30,000 กว่าคนทั่วประเทศ ทั้งยังพบว่า ชาวบ้านหรือทีมวิจัยส่วนใหญ่สามารถสะท้อนการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี
เช่นตัวอย่างของชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านผาหมอน ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ แห่งนี้ที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ ลงพื้นที่ ยังผลให้ผู้อาวุโสของชุมชนที่เคยได้รับเสด็จ อย่าง คุณบุญทา พฤกษาฉิมพลี หมอดินโครงการหลวง นักวิจัย วัย 53 ปี คุณพรชัย วอมือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านผาหมอน คุณสุรสิทธิ์ ไตรกระแสชน นักวิจัยฝ่ายท้องถิ่น สกว. วัย 55 ปี คุณสมบูรณ์ พงษ์สถิตบวร นักวิจัยฝ่ายท้องถิ่น สกว. วัย 60 ปี และ คุณองอาจ คามคีรีวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มวิจัยเยาวชนบ้านผาหมอน วัย 25 ปี ได้กลายมาเป็นนักวิจัยเพื่อท้องถิ่นของ สกว. โดยใช้แนวทางการทำงานตามแบบอย่างของพระองค์ท่านมาทำงานพัฒนาชุมชนของตนเอง และถ่ายทอดไปสู่นักวิจัยรุ่นใหม่สืบต่อไปในชุมชน