กรกนก เมฆศิลป์ งานดีไซน์นำทางชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 เมษายน 2559 เวลา 18:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/ent/celeb/425454

กรกนก เมฆศิลป์ งานดีไซน์นำทางชีวิต

โดย…พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ… วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ประทับใจในการนำเสนอความเป็นไทยของศูนย์อาหารอีทไทย (Eathai) ที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และสัมผัสได้ถึงไอเดียการออกแบบมากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังโซนแฟชั่นไทยไทย ที่เซ็นทรัล ชิดลม รับรองเลยว่าคุณต้องอยากรู้จักผู้หญิงเก่งคนนี้ เพราะเธอคือหนึ่งในทีมงานสำคัญที่มีส่วนร่วมในการคิดและออกแบบสองโปรเจกต์ดังกล่าว แถมล่าสุดเธอยังเข้ามาร่วมในทีมออกแบบอีทไทยที่กำลังจะรีโนเวตอีกครั้งด้วย

หลังจากมีโอกาสทำความรู้จักสาวเก๋ตรงหน้าผ่านโปรไฟล์ในกระดาษ เส้นทางอาชีพของแนน-กรกนก เมฆศิลป์ อาจไม่ต่างจากนักออกแบบทั่วไป ที่เริ่มต้นจากใจรักในการวาดเขียน แต่หลังจากได้พูดคุยและสัมผัสกับตัวตนของเธอ ถึงเข้าใจว่า เธอคือหนึ่งในนักออกแบบไม่กี่คน ที่เป็นส่วนผสมของสายอาร์ตและสายแบรนด์ดิ้งอย่างลงตัว ทำให้ผลงานการออกแบบของเธอมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

จุดเริ่มความฝันของศิลปินตัวน้อย

คำถามข้อหนึ่งที่จนทุกวันนี้ผู้บริหารสาวเก่งก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ นั่นคือเริ่มชอบวาดรูปตั้งแต่ตอนไหน เพราะตั้งแต่จำความได้เธอก็เริ่มจับดินสอวาดเขียนแล้ว แนนบอกว่า สมัยเด็กไม่ได้วาดรูปเล่นไปวันๆ เท่านั้น แต่เคยส่งผลงานเข้าไปประกวดตามนิตยสารบ่อยๆ หลายครั้งผลงานของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์ แต่ที่ภูมิใจที่สุด คือ ตอนที่ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนส่งผลงานไปประกวดในระดับภาคกลาง และคว้ารางวัลชมเชยมาได้

“ถึงจะมาสายวาดรูป แต่ช่วง ม.ปลาย ก็มีเขวไปบ้างเหมือนกัน เพราะสมัยนั้นด้วยความที่เรายังเด็ก เราไม่รู้หรอกว่าสถาปัตย์คืออะไร เรียนแล้วไปทำอะไร รู้แต่ว่าเราชอบวาดรูป เพราะฉะนั้นในฐานะเด็กสายวิทย์ของเตรียมอุดมศึกษา เราก็ถูกหล่อหลอมว่าต้องเป็นหมอ เป็นวิศวะ แนนเองตอน ม.5 ก็ยังหลงๆ ไป แต่โชคดีที่ตอนไปฝึกงานที่ศิริราชกับเพื่อนแล้วเราไม่อินเลย จำได้ว่าแนนได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลคนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่แนนรู้สึกเลยว่านี่ไม่ใช่ตัวเรา เลยทำให้แนนตัดตัวเลือกที่จะเป็นหมอออกไปได้แบบไม่ต้องลังเล”

 

หลังจากนั้น แนนได้มีโอกาสไปลองเรียนวิชาความถนัดทางสถาปัตย์ตามคำชวนของเพื่อน แนนบอกว่าประสบการณ์ครั้งนี้เหมือนเป็นการเปิดโลกใบใหม่ เพราะคอร์สนี้ทำให้เธอรู้ว่าสถาปัตย์ที่แท้จริงคืออะไร การวาดรูปไม่ได้หมายความว่าวาดแต่การ์ตูนเท่านั้น แต่มีอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งเธอเองก็สนุก และสนใจมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อต้องตัดสินใจเลือกเรียนต่อ เธอจึงเลือกสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาสถาปัตยกรรมภายใน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างไม่ต้องสงสัย

ตามหาสิ่งที่ใช่

แนนยอมรับว่า เธออาจโชคดีกว่าบัณฑิตจบใหม่หลายๆ คน ตรงที่พอเรียนใกล้จบก็ได้รับโอกาสจากบริษัท พี 49 ดีไซน์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ ชักชวนให้เข้าทำงานในฐานะจูเนียร์ อินทีเรียร์ ดีไซเนอร์ โดยไม่ต้องออกไปสมัครงานเอง

“แนนได้รับโอกาสที่ดีมากๆ ในงานแรก เพราะได้เข้ามาอยู่ในทีมที่ได้ออกแบบทั้งงานในและต่างประเทศ ได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมาย แต่พอทำงานได้ครึ่งปี แนนก็ตัดสินใจอยากลาออกไปเรียนต่อปริญญาโท แต่พอออกมาจริงๆ กลับยังไม่รู้ตัวว่าจะไปต่อสาขาไหนดี เลยสมัครงานไปที่บริษัท ดีไซน์ เวิลด์ไวด์ พาร์ทเนอร์ชิพ (ดีดับเบิลยูพี) เป็นอินทีเรียร์เช่นกัน ทำมาได้ 2 ปี ก็มาถึงจุดที่บอกกับตัวเองว่าถึงเวลาไปเรียนต่อแล้วจริงๆ เลยตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เพื่อหาตัวเองอย่างจริงจัง”

ช่วงที่หาตัวเองและเตรียมตัวเรียนต่อไปด้วยนี้เอง เป็นจังหวะที่แนนและเพื่อนอีก 2 คน มีไอเดียร่วมกันว่าจะทำแบรนด์กระเป๋านักเรียนของตัวเองภายใต้ชื่อ เนิร์บส์ (Nurbs) เน้นการออกแบบที่คิดว่าจะโดนใจวัยรุ่น

“ตอนที่เราออกแบบ หาโรงงาน เรามั่นใจมากว่าต้องขายได้ เพราะของเราดีจริง แถมยังได้ไปวางขายในเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ปรากฏว่า การที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยแพสชั่นด้านการออกแบบล้วนๆ ไม่มีความรู้ด้านการตลาดเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผลลัพธ์ไม่น่าพอใจเลย เราผลิตกระเป๋าออกมา 20 ใบ แต่ขายได้แบบสมศักดิ์ศรีจริงๆ คือเต็มราคาแค่ใบเดียวที่เซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนที่เหลือคือไปหาที่ขายแบบลดราคา ที่สุดหุ้นส่วนทั้งสามคนก็ยอมแพ้ และแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง”

 

สำหรับแนนเลือกจะเก็บเอาบทเรียนจากการทำแบรนด์นี้ไปต่อยอดด้วยการเลือกเรียนปริญญาโทด้านกลยุทธ์ในการออกแบบและสร้างแบรนด์ที่มหาวิทยาลัยบรูเนล ประเทศอังกฤษ เพื่อเรียนรู้ในสิ่งที่เธอไม่เคยคิดว่าต้องใช้ในงานออกแบบ แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้เธอกลับต้องนำมาเป็นส่วนผสมหนึ่งในการทำงานอย่างขาดไม่ได้

“การเรียนปริญญาโทเหมือนเปิดโลกอีกด้านให้แนน จากแต่ก่อนเวลาไปรับบรีฟลูกค้า เราจะเน้นแต่ว่าลูกค้าต้องการอะไรบ้างบนพื้นที่เท่านี้ แต่พอเรามีความรู้ด้านแบรนดิ้ง เราจะพยายามหยิบเอาคาแรกเตอร์ของแบรนด์มาใส่ในงานออกแบบได้มากขึ้น ช่วงแรกที่เรียนจบกลับมาเมืองไทยแนนมาเป็นฟรีแลนซ์ ได้ร่วมงานกับบริษัท พาโนรามาและได้รับโอกาสให้มาร่วมทีมออกแบบอีทไทย ซึ่งโปรเจกต์นี้ถือเป็นงานแรกที่เราได้นำความรู้ด้านดีไซน์มาบวกกับแบรนดิ้งอย่างแท้จริง”

จากอินทีเรียร์สู่สนามธุรกิจ

หลังจากเก็บเกี่ยวชั่วโมงบินในการทำงานมาอย่างไม่ลดละ ที่สุดโอกาสดีๆ ก็วิ่งเข้ามาหาแนนอีกครั้ง เมื่อเธอก็ได้รับการทาบทามจากเพื่อนให้มาร่วมหุ้นในบริษัท 67 สตูดิโอ ในฐานะดีไซน์ไดเรกเตอร์ แน่นอนว่าแนนเลือกไม่ปิดกั้นตัวเองจากบทบาทใหม่ที่เข้ามา เพราะการก้าวไปสู่บทบาทใหม่ยิ่งทำให้เธอได้พิสูจน์ฝีมือ และใช้ประสบการณ์ความรู้ที่มีมาสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไร้ที่ติ โดยเฉพาะกับโปรเจกต์ใหม่อย่าง โซโห (SOHO) ออฟฟิศแนวคิดใหม่ในรูปแบบสำนักงานพร้อมใช้งาน (Micro Professional Office) ณ โครงการแวร์เฮ้าส์ สุขุมวิท 26 ซึ่งจะแตกต่างจาก Co-Working Space ที่หลายคนคุ้นหู

“แนนคิดว่า Co-Working Spaceจะให้ความรู้สึกของความเป็นคอมมูนิตี้มากกว่า มีการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แต่ที่เราทำจะให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวมากกว่า เหมาะกับกลุ่มสตาร์ทอัพที่ต้องการออฟฟิศขนาดเล็ก เพื่อลดต้นทุนการปฏิบัติการ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการความน่าเชื่อถือ โดยการออกแบบของเราเน้นสร้างบรรยากาศที่เสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้มากที่สุด ซึ่งสตาร์ทอัพที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกเข้ามาเป็นรายเดือนหรือรายปีก็ได้เช่นกัน”

สำหรับก้าวต่อไปของแนน เธอบอกว่า มีไอเดียเต็มหัว แค่รอจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น

“อย่างตอนนี้ แนนสนใจด้านอสังหาริมทรัพย์ อยากรีโนเวตบ้านเก่าเป็นเกสต์เฮาส์ หรือบ้านพักอาศัยก็ได้ แนนคิดว่าพอเราโตขึ้น พื้นฐานความรู้ด้านดีไซน์ยิ่งพาเราไปในเส้นทางที่แตกแขนงมากขึ้น เราก็แค่พาตัวเองไป” ดีไซน์ไดเรกเตอร์คนเก่งกล่าวทิ้งท้าย

 

Leave a comment