“๕oo TUKTUKS” กองทุนเพื่อสตาร์ตอัพเมืองไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเส้นทางเศรษฐี

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07026010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 21 ฉบับที่ 388

รายงานพิเศษ

วัชรี ภูรักษา

“๕oo TUKTUKS” กองทุนเพื่อสตาร์ตอัพเมืองไทย

โลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน คือมุมมองของ คุณเรืองโรจน์ พูนผล หรือ คุณกระทิง เจ้าของโรงเรียนสอนสตาร์ตอัพและผู้ก่อตั้งกองทุน ๕oo TUKTUKS ที่โลดแล่นอยู่ในวงการสตาร์ตอัพตั้งแต่ยุคแรก มาจนถึงปัจจุบัน

สตาร์ตอัพยุคแรก สำเร็จ

สานต่อกองทุน ๕oo TUKTUKS

คุณกระทิง เล่าย้อนเรื่องราวก่อนเข้ามาสู่วงการสตาร์ตอัพว่า “หลังจากเรียนจบวิศวะไฟฟ้าที่จุฬาลงกรณ์ และเข้าทำงานกับบริษัทพีแอนด์จี นานร่วมกว่า 7 ปี ก่อนจะมีโอกาสเดินทางไปเรียนต่อ MBA ที่ Stanford สหรัฐอเมริกา ฝึกงานกับบริษัท Mckinsey ก่อนจะได้เข้าทำงานที่ Silicon Valley และเป็นสตาร์ตอัพยุคแรกของไทยที่ทำ mobile application

ปัจจุบัน เปิดโรงเรียนสอนผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ ชื่อ Disrurt University ซึ่งเป็นหลักสูตรบ่มเพาะ ให้ความรู้และไอเดียแก่ผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ

“ตอนเปิดโรงเรียนแรกๆ นักเรียนต้องระดมทุนเอง ซึ่งระดมได้ไม่มากและทำได้ยาก ผมจึงคิดว่าทำไมเราไม่ทำเป็นกองทุนที่ระดมทุน เพื่อสานฝันให้กับสตาร์ตอัพไทย เป็นการเพิ่มโอกาส ลดช่องว่าง เพราะเห็นความสามารถของสตาร์ตอัพในเมืองไทยเก่งๆ มากมาย แต่มักติดปัญหาเรื่องเงินทุน จึงอยากลดช่องว่างตรงจุดนี้

เกิดเป็นแนวคิดที่จะระดมกองทุนเพื่อสนับสนุนและลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ เป็นกองทุนชื่อ ๕oo TUKTUKS ระดมทุนได้จากซิลิคอน วัลเลย์ และระดมทุนเองด้วย มูลค่ากองทุนรวมตอนนี้อยู่ที่ 420 ล้านบาท ระดมทุนมาแล้ว 3 เดือน ลงทุนไปแล้ว 10 บริษัท”

โดยเน้นการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์และอีคอมเมิร์ซ เช่น Claim Di เป็นแอพเคลมประกันที่ไม่ต้องเรียกบริษัทประกันมายังที่เกิดเหตุ สามารถส่งข้อมูลผ่านแอพบนมือถือได้โดยไม่ต้องเสียเวลารอบริษัทประกัน เริ่มต้นลงทุน 20 ล้านบาท ขณะนี้มูลค่าการเติบโต 350 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะโตขึ้นเป็น 700 ล้านบาท ในระยะเวลาอันใกล้นี้

คุณกระทิง บอกว่า กองทุน ๕oo TUKTUKS จะระดมทุนเพื่อลงทุนกับผู้ประกอบการ โดยจะเข้าไปถือหุ้นส่วนหนึ่งและการลงทุนของกองทุนมีกฎ 3 ข้อหลักเพื่อพิจารณาธุรกิจของผู้ประกอบการสตาร์ตอัพคือ 1. โมเดลธุรกิจจะต้องได้รับการพิสูจน์ศักยภาพตลาด 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ 2. ตลาดต้องใหญ่ และ 3. ต้องมีทีมงานที่แข็งแกร่ง

เลือกเดินตามความฝัน

สตาร์ตอัพ คือคำตอบ

ช่วงปี 2013-2015 ที่ผ่านมานี้ สตาร์ตอัพในเมืองไทยเพิ่มขึ้นราว 3,000 ราย เติบโตขึ้นเกือบ 7 เท่า ถือเป็นสัญญาณของยุคเปลี่ยนผ่านที่สำคัญมากของสตาร์ตอัพเมืองไทย

คุณกระทิง เล่าว่า “ความฝันของผม คืออยากจะสร้างให้เมืองไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นเมืองของเทคโนโลยีที่มีบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น ให้เป็นเหมือนบริษัทที่สร้างกูเกิ้ล เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือไลน์ ที่เปลี่ยนแปลงโลกและสามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งหลายประเทศสามารถทำได้และสำเร็จไปแล้ว ผมก็อยากให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ แบบนี้ขึ้นที่เมืองไทยเช่นกัน

ก่อนหน้าที่จะลาออกมาจากงานประจำ เพื่อมาสานต่อความฝันเรื่องสตาร์ตอัพ ตอนนั้นทำงานทั้งหมด 3 งาน จนมาถึงจุดที่ต้องเลือก ระหว่างงานประจำที่ทำ กับสิ่งที่เป็นความฝัน ผมเลือกเดินตามความฝัน เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในยุคของสตาร์ตอัพ”

คุณกระทิง เล่าต่อว่า อีก 2 ปีข้างหน้า สตาร์ตอัพเมืองไทยจะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด เพราะปัจจุบันสตาร์ตอัพเมืองไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด ตอนนี้เงินลงทุนสูงถึง 3 พันล้านบาท และแนวโน้มเงินลงทุนเติบโตขึ้นทุกปี รวมไปถึงขนาด จำนวนและองค์ประกอบอื่นๆ เช่น มีโครงการสงเคราะห์ผู้ประกอบการของดีแทคหรือเอไอเอส เป็นต้น

นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เคยนึกถึงเป็นเมืองท่องเที่ยว อนาคตข้างหน้าคนอาจได้เห็นประเทศไทยในมุมของประเทศธุรกิจเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์ไอเดีย

ธุรกิจสตาร์ตอัพ 2016 มาแรง

ไฟแนนซ์ อีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์

สำหรับทิศทางของสตาร์ตอัพเมืองไทยปี 2016 คาดว่าการลงทุนจะเติบโตขึ้นอีก 2 เท่า เพราะภาวะเศรษฐกิจมีผลน้อยในโลกของสตาร์ตอัพที่เป็นโลกของดิจิตอล หากเศรษฐกิจไม่ดี คนจะหันมาทำธุรกิจต่างๆ บนออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากประหยัดกว่าการทำธุรกิจแบบออฟไลน์ และที่สำคัญสามารถวัดผลได้แม่นยำมากกว่า

คุณกระทิง บอกว่า “เทรนด์ของธุรกิจสตาร์ตอัพปี 2016 ที่จะมาแรงมาก 3 อันดับคือ อันดับที่ 1 ธุรกิจด้านการเงิน ธนาคารต่างๆ เช่น การบริหารจัดการกองทุนส่วนตัว หรือการกู้ยืมเงินโดยไม่ผ่านแบงก์ คือบุคคลสามารถปล่อยกู้ให้อีกบุคคลได้ โดยไม่ต้องผ่านแบงก์ เนื่องจากตอนนี้แบงก์เริ่มมีการขยับตัวในเรื่องของการลงทุน เพราะเทคโนโลยีช่วยให้การทำงานได้รวดเร็ว อีกทั้งปัจจุบันคนหันมาบริหารจัดการเงินลงทุน การเงินส่วนบุคคลมากขึ้น เพราะทำได้ง่าย สะดวกและควบคุมได้ด้วยตัวเองไม่ต้องผ่านนายหน้า ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจด้านการเงิน

ธุรกิจที่ 2 คือ อีคอมเมิร์ซ ที่ทำการค้าขายแบบออนไลน์ เพราะคนหันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น และธุรกิจที่ 3 คือ ธุรกิจโลจิสติกส์ต่างๆ เพราะโปรแกรมหรือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้จะช่วยในการทำงานง่ายขึ้น เป็นระบบกว่าเดิม เช่น การนับจำนวนสต๊อกสินค้าและการคำนวณจำนวน หรือแม้กระทั่งการหาจำนวนต่างๆ ระบบโปรแกรมและคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นจะซัพพอร์ตการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูง”

ก่อนจะทิ้งท้ายให้กับคนที่อยากเป็นสตาร์ตอัพว่า “หัวใจของการเป็นสตาร์ตอัพ คือการปรับตัว รู้จักเปลี่ยนยุทธศาสตร์ อึดและทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คิดต้องเพี้ยนและนอกกรอบ”

สำหรับผู้ประกอบการสตาร์ตอัพไทยท่านใดที่สนใจกองทุน ๕oo TUKTUKS สามารถสอบถามรายละเอียดและติดต่อได้ที่อีเมล Krating@500.co

1 thought on ““๕oo TUKTUKS” กองทุนเพื่อสตาร์ตอัพเมืองไทย

Leave a reply to poker online Cancel reply