ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
22 พฤษภาคม 2559 เวลา 15:09 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/economy/433310
โดย…ทีมข่าวเศรษฐกิจโพสต์ทูเดย์
หลังเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในหลุมดำ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีการวางนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ คสช.เข้ามาบริหารเศรษฐกิจกลางปี 2557 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยติดล็อกจากการเมือง การเบิกจ่ายงบลงทุนทำไม่ได้ ชาวนาไม่ได้เงินจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง คสช.ได้เข้ามาปลดล็อกปัญหาต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายได้มากอย่างที่ต้องการ โดยเศรษฐกิจปี 2557 ขยายตัวได้ 0.8% เท่านั้น
2 ปี ของรัฐบาล คสช. ใช้ทีมบริหารเศรษฐกิจ 2 ทีม คือ ทีมของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล (เดือน ก.ย. 2557-ส.ค. 2558) และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (เดือน ส.ค. 2558-ปัจจุบัน) นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของทั้งสองทีมแทบไม่แตกต่าง เช่น นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 เขต การให้สิทธิพิเศษเพื่อดึงต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคในประเทศไทย พร้อมกับการมองหาแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ให้เศรษฐกิจ นอกจากนี้ได้เริ่มสานต่อนโยบายรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย และแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัยกว่า 100 ฉบับ
ความแตกต่างอยู่ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ในช่วงที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นำทีมเศรษฐกิจอยู่ เป็นช่วงเวลาที่ไทยต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ส่งผลให้การส่งออกทรุดตัวหนักมาก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมัน แม้รัฐบาลจะมีนโยบายเพื่อพยุงราคาสินค้าเกษตร แต่ก็ดำเนินการได้อย่างล่าช้า นำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นและการชะลอตัวของการบริโภคในประเทศ ซึ่งสถานการณ์นี้ก็ยังคงอยู่จนถึงในขณะนี้
ส่วนทีมของสมคิดดูมีความตื่นเต้นกว่า เพราะเพียง 2 สัปดาห์ที่เข้าทำงาน ก็ออกนโยบายปล่อยกู้ให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านปลอดดอกเบี้ย 2 ปี วงเงินรวม 6 หมื่นล้านบาท โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท 7,255 ตำบล วงเงินรวม 36,275 ล้านบาท โครงการลงทุนในโครงการขนาดเล็กไม่เกิน 1 ล้านบาท/โครงการ วงเงินรวม 2.4 หมื่นล้านบาท โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานชุมชนตามแนวทางประชารัฐผ่านการดำเนินการของกองทุนหมู่บ้าน วงเงินรวม 3.5 หมื่นล้านบาท และโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐลงไปหมู่บ้านละ 2 แสนบาท วงเงินรวม 1.5 หมื่นล้านบาท
ปี 2558 เศรษฐกิจก็ยังเจอมรสุม จากเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.8% หากรวม 2 ปี เฉลี่ยกันแล้วเศรษฐกิจขยายตัวได้ 1.8% ต่อปี ซึ่งถือว่าขยายตัวได้ต่ำ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่ต้องสะสาง ก็ถือว่า คสช.พยุงเศรษฐกิจให้พ้นจากวิกฤตได้ โดยความพยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในปี 2558 ทั้งการดูแลผู้มีรายได้น้อยผ่านการแจกเงินและโครงการขนาดเล็กวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท การช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งมาตรการภาษีและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 1.5 แสนล้านบาท มีการออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และการเร่งลงทุนภาครัฐ รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมาตรการภาษีช็อปช่วยชาติ ทำให้พยุงเศรษฐกิจไทยให้โตได้ไม่ต่ำจนเกินไป
ขณะที่การบริหารด้านการเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ ต้องถือว่ายังไม่สามารถพลักดันออกมาได้มากนัก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ยังล่าช้า เฉพาะกระทรวงคมนาคม 20 โครงการใหญ่ วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท มีการเดินหน้าได้จริงไม่กี่โครงการ ได้แก่ โครงการส่วนต่อขยายสุวรรณภูมิ รถไฟฟ้าในเมือง มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินในปีนี้ได้ไม่กี่หมื่นล้านบาทเท่านั้น
อีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายจาก 5 อุตสาหกรรม เป็น 10 อุตสาหกรรม โยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน แต่การดำเนินการเรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
ยังมีมาตรการของพี่ช่วยน้อง ให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็ก ก็เป็นนโยบายที่ยังไม่สามารถปฏิบัติได้จริง หรือโครงการผู้ประกอบการเกิดใหม่ เป็นโครงการที่ดีแต่เกิดยาก เพราะต้องเป็นเรื่องการผลิตสินค้าหรือให้บริการที่มีนวัตกรรม
ทั้งหมดจะเห็นว่าในเรื่องของการเพิ่มศักยภาพต่างๆ ในปี 2558 ที่ผ่านมา ทำได้น้อยมาก แม้แต่ในปี 2559 ก็ยังไม่คืบหน้าไปกว่าเดิมเท่าใดนัก ดังเห็นได้จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลก็ออกมายอมรับว่าจะมีการเริ่มลงทุนเบิกจ่ายได้จริงต้องเป็นครึ่งหลังของปี 2559 หรือจะเป็นการลงทุนภาคเอกชนก็ยังขยายตัวไม่มาก แม้ว่าจะมีมาตรการ ลด แลก แจก แถมจำนวนมาก เพราะยังไม่มั่นใจเศรษฐกิจไทย
สำหรับการบริหารเศรษฐกิจในปี 2559 คาดว่า คสช.ก็ยังต้องวุ่นกับการพยุงเศรษฐกิจ เวลาผ่านมาหลายเดือน นักลงทุนกลับไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น แม้ว่าล่าสุดคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะรายงานเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวได้ 3.2% มากสุดในรอบ 3 ปี และคาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ 3-3.5% เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3%
อย่างไรก็ดี คงไม่สามารถนำเอาตัวเลขจีดีพีมาประเมินการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.ได้ เนื่องจากรัฐบาล คสช.ไม่ใช้นโยบายประชานิยมสุดโต่ง ฉีดเงินออกมาอย่างพร่ำเพรื่อ หรือ อุดหนุนราคาสินค้าเกษตรอย่างไม่สมเหตุผล นั่นเพราะเป็นรัฐบาลชั่วคราวและไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่จำเป็นต้องคิดถึงคะแนนนิยมจากประชาชน จึงเน้นหนักไปในทางปฏิิรูป และการสร้างหนทางแบบยั่งยืนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ