กลยุทธ์ดันยอดขาย ยุคโซเชียลคอมเมิร์ซ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 มิถุนายน 2559 เวลา 22:00 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/digital/437232

กลยุทธ์ดันยอดขาย ยุคโซเชียลคอมเมิร์ซ

โดย…ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญ

จากอัตราผู้ใช้งานเฟซบุ๊กต่อเดือนทั่วโลกที่มี 1,550 ล้านรายนั้น ประเทศไทยมีผู้ใช้งานสูงถึง 40 ล้านราย และเมื่อเทียบการใช้งานเฟซบุ๊กผ่านสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มี 1,310 ล้านราย แต่ในไทยมีการใช้งานผ่านโมบายมากถึง 38 ล้านราย หากเทียบเป็นสัดส่วนผู้ใช้งานนั้นมากกว่า 95% กันเลยทีเดียว

รฐิยา อิสระชัยกุล ผู้จัดการตลาดผู้ลงโฆษณาเอสเอ็มอี เฟซบุ๊ก ประเทศไทย กล่าวว่า ในต่างประเทศการซื้อขายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือที่เรียกว่าโซเชียลคอมเมิร์ซนั้น ไม่ได้บูมเท่าประเทศไทย ทำให้หลายประเทศมองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ

“ไทยแทบจะเป็นรายเดียวที่ใช้มือถือในการขายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ตัวเร่งที่ทำให้เกิดโซเชียลคอมเมิร์ซในไทยนั้นมาจากอัตราการใช้บัตรเครดิตต่ำ เพราะคนไทยนิยมโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มมากกว่าการใช้งานสมาร์ทโฟน และเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมีมากกว่าพีซี และปัจจัยการเข้าใช้งานโซเชียลมีเดียที่เรียกได้ว่าคนไทยใช้งานเฟซบุ๊กเกือบจะทั้งวันเลยทีเดียว”

ดังนั้น การขายของแบบโซเชียลคอมเมิร์ซ จึงเป็นการเรียกเหมารวมของผู้ประกอบการบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่เน้นการสร้างเว็บไซต์เป็นของตน ขอแค่มีตัวตนบนโซเชียลมีเดียทุกราย ไม่จำเป็นต้องมีตะกร้าสินค้าให้เลือก แค่ทักแชตมา ก็จะตอบข้อสงสัยใต้คอมเมนต์ ใช้กล่องข้อความ (อินบ็อกซ์) เป็นการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัว เบอร์โทรศัพท์ หรือความมีตัวตนของลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ทำผ่านมือถือทั้งสิ้น

“จากการเก็บข้อมูล ยังพบอีกว่าการเติบโตของอินสตาแกรมในประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีผู้ใช้งานเดือนละกว่า 8.8 ล้านราย รวมทั้งผู้ใช้งานไอจีนั้นถือว่าเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาและมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง จึงเหมาะที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการขายสินค้า โดยไทยมีการซื้อของผ่านโซเชียลมีเดียมากที่สุดถึง 51% รองลงมาคืออินเดีย 32% มาเลเซีย 31% และจีน 27%”

ทั้งนี้ การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ให้รุ่งนั้น เจ้าของเพจควรจะทำงานอย่างต่อเนื่อง (Active) จัดวางสินค้าให้เหมาะสมและข้อมูลชัดเจน ซึ่งผู้ขายจะต้องตอบไวและใส่ใจในงานบริการ

“ข้อดีของโซเชียลคอมเมิร์ซ ที่เว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซทำไม่ได้ นั่นคือ งานบริการ เพราะการโต้ตอบกับแม่ค้า จะช่วยเรื่องให้คำปรึกษาและกระตุ้นการตัดสินใจได้เร็วขึ้น ยิ่งแม่ค้าตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เร็ว จะยิ่งสร้างโอกาสในการตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น ซึ่งการขายของที่ดีแบบสื่อสารกันต้องระวังไม่ให้ลูกค้าลำบากกว่าเรา”

ทางเฟซบุ๊กได้พัฒนาเครื่องมือที่เหมาะกับการขายสินค้าแบบโซเชียลคอมเมิร์ซให้มากขึ้น เพื่อที่ร้านค้าจะขายสินค้าได้ง่าย และลูกค้าก็เลือกสินค้าที่ตนเองต้องการได้อย่างทันท่วงที การใส่ข้อมูลและราคาที่ครบถ้วนจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อขายได้ง่ายขึ้น

“การพัฒนาเครื่องมือขายสินค้าบนเฟซบุ๊ก สำหรับการซื้อขายสินค้าของผู้บริโภคไทยนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการจำเป็นต้องทำ เพราะการซื้อขายของคนไทยต่อวันสูงมาก จึงต้องลดขั้นตอนในการคลิกของผู้ซื้อให้ง่ายขึ้น เพิ่มแค็ตตาล็อกสินค้าที่ระบุให้ร้านค้ากรอกข้อมูลให้ครบ จะช่วยให้ลูกค้าที่ต้องการสินค้าชิ้นนั้นจริงๆ ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะซื้อหรือไม่”

อย่างไรก็ตาม การแจกลิงก์อินบ็อกซ์ ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ร้านค้าไม่ควรพลาด เพราะติดต่อได้ทันที และร้านค้ารู้ว่าสินค้าใดที่ลูกค้าต้องการสั่งซื้อ จะช่วยให้นำเสนอข้อมูลได้ทันท่วงที

“ลิงก์ที่ว่าจะขึ้นด้วยคำว่า m.me/myshop จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการติดต่อเข้าอินบ็อกซ์ได้เลย โดยไม่ต้องออกจากแอพพลิเคชั่น และไปเข้าช่องทางการสื่อสารอื่นๆ อีก ลดขั้นตอนการคลิกไปได้มากถึง 5 ครั้ง ซึ่งการกดลิงก์เพื่อเข้าสู่การโต้ตอบผ่านอินบ็อกซ์ของร้านค้าได้ทันที และช่วยให้เจ้าของร้านทราบด้วยว่ามีการแจ้งเตือนมาแบบทันที จากการเก็บข้อมูลร้านค้าที่ใช้เมนูแค็ตตาล็อกร่วมกับลิงก์อินบ็อกซ์ของเฟซบุ๊กช่วยให้ร้านค้าสามารถปิดการขายได้เลยทันทีอย่างน้อย 50%” รฐิยา กล่าวสรุป

ดังนั้น ร้านค้าควรอัพเดทวิธีการทำงานใหม่ๆ ของโซเชียลมีเดียทุกค่ายอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้นำเครื่องมือเหล่านี้ไปสร้างโอกาสทางการขายได้มากขึ้น

 

Leave a comment