ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
08 ตุลาคม 2559 เวลา 15:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/459170

โดย…กาญจน์ อายุ
หนึ่งอาทิตย์มี 7 วัน อยากจะขอสัก 2 วันไป ระยอง กับ จันทบุรี 2 จังหวัดที่เชื่อมกันด้วยถนนที่โรแมนติกที่สุดในภาคตะวันออก รอให้คู่รักไปเที่ยวแบบ 2 ต่อ 2 ในจังหวะที่ธรรมชาติกำลังเป็นใจ
ถนนบูรพาชลทิศเป็นถนนเลียบทะเล เชื่อมระหว่างระยอง-จันทบุรี ความยาวกว่า 80 กม. ถูกเรียกว่าเป็น Scenic Route เพราะระหว่างทางจะมีจุดชมวิวให้จอดรถถ่ายภาพ มีไฮไลต์อยู่ที่จุดชมวิวนางพญา มุมสูงเห็นโค้งถนน และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นสวยสมกับเป็นทะเลตะวันออก
2 วันที่ขอจะเน้นเที่ยวสบาย เรียบง่าย เข้าถึงธรรมชาติ โดยเริ่มต้นที่จันทบุรี “สีเขียว” ในบรรยากาศป่าโกงกางเขียวครึ้ม และสิ้นสุดที่ระยอง “สีเหลือง” ท่ามกลางทุ่งโปรงทองสีเหลืองอร่าม

วันจันท์สีเขียว
เสียงปูก้ามดาบดีดดัง ต๊อก ต๊อก ก้องไปทั่วป่าโกงกาง ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใกล้ชิดป่าและเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน
ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน อยู่ในพื้นที่โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีพื้นที่ประมาณ 1,100 ไร่ จัดว่าเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามแห่งหนึ่งของ
จันทบุรี มีพันธุ์ไม้ป่าชายเลนประมาณ 30 ชนิด ขึ้นกระจายอยู่รอบอ่าวเป็นแนวกว้าง 30-200 ม. และโค้งยาวไปตามขอบอ่าว 5 กม. เป็นที่ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติในรูปของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต (Living Museum) รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในรูปแบบของนิเวศทัศนา (Eco-tiurism)

สะพานเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน สร้างด้วยไม้ตะเคียนทองมีความยาว 1,433 ม. และมีส่วนที่เป็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินทราย 363 ม. รวมเป็นระยะทาง 1,793 ม. ผ่านบริเวณสังคมพืชไม้เบิกนำจำพวกไม้แสม ไม้ลำพู แปลงเพาะชำกล้าไม้ แปลงปลูกป่าไม้โกงกาง แปลงศึกษาวิจัย ข้ามสะพานแขวนไปสู่ป่าธรรมชาติ ที่มีไม้โกงกางขนาดใหญ่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นสมบูรณ์ ไปบรรจบที่หอดูเรือนยอดไม้ จากนั้นสะพานจะวกกลับผ่านแปลงทดลองการปลูกป่าชายเลนผสมผสานกับการเลี้ยงปลา ผ่านบ่อทดลองการเลี้ยงกุ้งทะเลที่มีการรักษาสภาพแวดล้อมโดยระบบชลประทานน้ำเค็ม และไปสิ้นสุดที่ศาลาเชิงทรงซึ่งอธิบายลักษณะของพื้นที่และพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ระหว่างรอยต่อป่าชายเลนและป่าบก
ระหว่างทางในป่าโกงกางระงมไปด้วยเสียงปูก้ามดาบ เสียงลื่นไถลของปลาตีน และเสียงลมหายใจของรากโกงกางที่ระโยงระยางรับอากาศก่อนน้ำขึ้น เป็นบรรยากาศอันเงียบสงบสร้างโลกส่วนตัวให้แต่ละคู่แต่ละคน ให้ปักจมไปกับเสียงธรรมชาติเข้าจังหวะกับเสียงลมหายใจของคนที่ต่างต้องการอากาศเช่นโกงกาง

ใกล้กับศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน เป็นที่ตั้งของ หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ สถานที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำและให้ความรู้แก่ชาวบ้านเรื่องการเลี้ยงหอยนางรมแบบแขวน การทำธนาคารปูม้า และยังเป็นที่เลี้ยงฉลามเสือดาว ฉลามหัวบาตร ปลาหมอทะเล ปลาเก๋า เต่าตนุ และเต่ากระ
หากนักท่องเที่ยวไม่ติดต่อล่วงหน้า กระชังปลาจะเป็นสถานที่ถ่ายภาพฮิปๆ แห่งหนึ่ง แต่หากติดต่อมาทำกิจกรรม ที่นี่จะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สนุก (มาก) เช่น ให้อาหารฉลาม โดยหัวหน้าหน่วยฯ ได้สาธิตการให้อาหารฉลามอย่างใกล้ชิด ใช้ปลาเป็นเหยื่อ ล่อให้มันขึ้นมา แต่ภาพในใจที่คิดว่าจะดุร้าย กลายเป็น “น่ารัก” เพราะฉลามเชื่องชินจนสามารถลูบหัวและป้อนปลาถึงปาก หมดคราบนักล่าแห่งผืนทราย
อ่าวคุ้งกระเบนให้สองบรรยากาศ หนึ่งป่าชายเลน หนึ่งชายทะเล สองธรรมชาติที่บ่งบอกระบบนิเวศของเมืองจันท์ไว้อย่างครบถ้วน ทั้งยังให้หลายบรรยากาศทั้ง ชิล เดิน ป่า ปลา และได้เรียนรู้ธรรมชาติในแบบฉบับของการท่องเที่ยว

วันระยองสีเหลือง
อีกหนึ่งวันตื่นขึ้นมาที่ระยอง จังหวัดที่ใครๆ ก็นึกถึงเกาะเสม็ด ทว่าธรรมชาติบนแผ่นดินก็งามไม่แพ้กัน ถ้าจะให้ชัดเจนต้องไปที่ สวนพฤกษศาสตร์ระยอง จุดรวมศาสตร์ของพรรณไม้ ประกอบด้วย หนอง
จำรุง บึงน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่ 3,871 ไร่ และพื้นที่สวน 1,193 ไร่
ทางสวนฯ ได้อนุรักษ์พรรณไม้บกและไม้น้ำท้องถิ่นไว้ เช่น ชะมวงกวาง พรวด ทิ้งทวน หัวร้อยรู และหม้อข้าวหม้อแกงลิงวงศ์น้ำเต้าลม แต่ถ้าจะเห็นถ้วนทั่วต้องใช้วิธีนั่งเรือล่องหนองจำรุง โดยในฤดูหนาว หนองจำรุงจะเป็นบึงบัวสาย ละลานตาไปด้วยบัวแดงบัวขาวขึ้นปกคลุมแทบไม่เห็นผิวน้ำ แต่บางฤดูเช่นในตอนนี้ บัวจะถูกแมลงกินแห้งตาย และถูกทดแทนด้วยดอกหญ้าสีขาวฟูฟ่องบนทุ่งหนังหมาหรือสันดอนกลางน้ำที่ถูกหญ้าปกคลุมมากในหน้าฝน

อย่างไรก็ตาม จุดไคลแมกซ์ที่แท้จริงไม่ใช่บัวหรือความมุ้งมิ้งของดอกหญ้า แต่เป็น ป่าเสม็ดขาว เมื่อเรือล่องใกล้ถึงทางออก สองข้างทางจะเต็มไปด้วยป่าเสม็ดขาว ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นบิดเบี้ยว และกิ่งก้านเลี้ยวลดหาแสงแดด เปลือกสีขาวหลุดลอกปกป้องลำต้นให้อยู่ในน้ำอย่างสันติ ซึ่งความแปลกประหลาดเล่นเอาสติคนในเรือแตกกระเจิง สั่งให้นิ้วกดชัตเตอร์ไม่ยั้งอย่างกับว่ามันจะบินหนีไปเหมือนนกกระยางที่เพิ่งกระพือปีกหนีเสียงเครื่องยนต์
สวนพฤกษศาสตร์ระยองเกือบทำให้เปลี่ยนวันระยองให้เป็นสีขาว แต่ไม่สามารถสู้สีเหลือง ของป่าโปรงทองได้ ต้นเรื่องอยู่ที่สะพานศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนบ้านแสมผู้ ต.ปากน้ำกระแส อ.แกลง จ.ระยอง ที่ประกอบด้วย ลานทุ่งโปรงทอง คลองแสมผู้ และศาลเจ้าพ่อแสมผู้

ฉายาทุ่งโปรงทอง มาจากลักษณะใบของต้นโปรงสีเขียวอมเหลือง หากถูกแสงแดดส่องจะกลายเป็นสีทอง ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดจึงเป็นช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ทุ่งโปรงทองทุกต้นทุกใบจะถูกฉาบให้เป็นสีทองอร่ามสมฉายานาม
เดิมทีสะพานที่ตัดผ่านป่าชายเลนเป็นทางเดินของชาวบ้านเพื่อเข้าไปสักการะศาลเจ้าพ่อแสมผู้ แต่เมื่อสะพานชำรุด ทางเทศบาลตำบลปากน้ำกระแสจึงเข้ามาซ่อมแซมและสร้างลานทุ่งโปรงทองเพิ่มเติม จากนั้นได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัด โดยปัจจุบันชาวบ้านมีรายได้เสริมจากการขี่รถพ่วงพานักเที่ยวรับส่งนักท่องเที่ยว

ทางเดินศึกษาธรรมชาติมีความยาว 2.3 กม. เชื่อมจากลานทุ่งโปรงทองไปยังอนุสรณ์เรือหลวงประแส เป็นเรือหลวงประแสลำที่ 2 นำเข้ามาแทนเรือหลวงประแสลำที่ 1 ซึ่งเกยตื้นไปในสงครามเกาหลี เรือรบลำที่ 2 นี้ได้ทำหน้าที่ลาดตระเวนปิดอ่าวคุ้มกันเรือลำเลียงในพื้นที่ยุทธ์บริเวณตั้งแต่ท่าเรือปูซานฝั่งตะวันออกถึงวอนซานในเกาหลี รวมภารกิจนับตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. 2495 เรือหลวงประแสได้ปฏิบัติภารกิจรวม 32 ครั้ง ก่อนเดินทางกลับสู่ไทย และเป็นกำลังหลักในการต่อต้านภัยคุกคามทางทะเลในช่วงการรุกคืบของลัทธิคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน กระทั่งปลดระวางในวันที่ 22 มิ.ย. 2543 ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์เรือหลวงประแสให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์สืบไป
พูดมาเสียยืดยาว พลันจะหาข้อสรุุปว่า บรรยากาศของธรรมชาติที่เมืองจันท์กับระยองโรแมนติกหรือไม่ คงต้องพิจารณาจากทุ่งโปรงทอง ป่าเสม็ดขาว ป่าโกงกาง หรือสักขีพยานอย่างปลาตีน ปูก้ามดาบ ที่ไม่ว่าจะดูท่าไหนก็หาความสวีทไม่ได้
ทว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง (ดูแลพื้นที่ระยองและจันทบุรี) ชูแคมเปญดึงคู่รักมาสวีทกลางธรรมชาติ และยังเห็นตัวแทนคู่รักอย่าง เห็นน้องแพนเค้กกับพี่สารวัตรหมี สวีทใส่กันเสียจนน้ำกร่อยกลายเป็นน้ำตาล คงต้องสรุปอย่างนี้ว่า ความโรแมนติกคงไม่สำคัญว่าไปที่ไหน แต่ไปกับใครมากกว่า… นี่แหละประเด็น