ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
29 ตุลาคม 2559 เวลา 09:24 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/462548

โดย…กาญจน์ อายุ
ตามรอยเสด็จ เจ้าฟ้านักอนุรักษ์ทรัพยากรธรณี บนดินแดนไดโนเสาร์ อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ดินแดนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเคยเสด็จฯ ทอดพระเนตรแหล่งขุดค้นซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ที่เทือกเขาภูเวียง เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2532
กรมทรัพยากรธรณีได้รับพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เป็นชื่อไดโนเสาร์ “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน” (Phuwiangosaurus sirindhornae) โดยทุกเดือน พ.ย.ของทุกปี กรมทรัพยากรธรณีจะจัดงานตามรอยเสด็จ เจ้าฟ้านักอนุรักษ์ทรัพยากรธรณี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งในปีนี้ครบรอบ 27 ปี
รอยเท้าไดโนเสาร์เทอร์โรพอดบนหินทราย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยงานด้านธรณีวิทยา และบรรพชีวินวิทยาในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทั้งทางกรมทรัพยากรธรณียังได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาในพื้นที่อุทยานธรณีขอนแก่น การอนุรักษ์ การจัดการทรัพยากรธรณีอย่างยั่งยืน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการผลักดันแหล่งขุดค้นให้เป็น “อุทยานธรณีขอนแก่น”
บริเวณเทือกเขาภูเวียงเป็นแหล่งค้นพบไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ 4 สายพันธุ์ใหม่ของโลก ได้แก่ ไดโนเสาร์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ไดโนเสาร์สยามโมซอรัส สุธีธรนี ไดโนเสาร์สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส และไดโนเสาร์กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซีส รวมทั้งยังพบซากสัตว์ร่วมสมัยหลายชนิดจนปัจจุบันกลายเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางด้านธรณีวิทยาของขอนแก่น
ฟอสซิลปลาโบราณถูกเก็บรักษาไว้ที่ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง
กระดูกภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน พบที่แหล่งภูเวียงเป็นครั้งแรก เป็นตัววัยเยาว์ ขนาดประมาณ 2 เมตร และสูง 0.5 เมตร จากนั้นยังพบกระดูกกระจายทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งวัดสักกะวัน ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สิรินธร ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว) ซึ่งพบโครงกระดูกอย่างน้อย 6 ตัว จำนวนมากกว่า 800 ชิ้น
เว็บไซต์ของกรมทรัพยากรธรณี ระบุถึงประวัติความเป็นมาของแหล่งไดโนเสาร์เทือกเขาภูเวียงว่า ในปี 2519 สุธรรม แย้มนิยม นักธรณีวิทยา ได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์เศษกระดูกไดโนเสาร์บริเวณพื้นลำห้วยประตูตีหมา และวินิจฉัยได้ว่าเป็นเศษส่วนปลายของกระดูกขาหลังท่อนบนของไดโนเสาร์ซอโรพอด (ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่มี 4 ขา คอยาว หางยาว) โดยถือได้ว่าเป็นการค้นพบหลักฐานไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่นำไปสู่การสำรวจและวิจัยอย่างจริงจังจนถึงปัจจุบัน
ภายในหลุมขุดค้นที่ 9
นับจากการค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ครั้งแรก กรมทรัพยากรธรณี โดยโครงการความร่วมมือด้านบรรพชีวินวิทยา ไทย-ฝรั่งเศส ได้ทำการสำรวจไดโนเสาร์บนเทือกเขาภูเวียงอย่างต่อเนื่อง มีการค้นพบกระดูก ฟัน และรอยเท้าไดโนเสาร์จำนวนมาก ส่วนใหญ่พบอยู่ในหินทรายหมวดหินเสาขัวยุคครีเทเชียสตอนต้น (ประมาณ 130 ล้านปี) มีทั้งไดโนเสาร์ซอโรพอดและเทอร์โรพอด ขนาดตั้งแต่ตัวเท่าแม่ไก่ ไปจนถึงมีลำตัวยาวจากหัวจรดหางมากกว่า 15 เมตร ทำให้คนไทยมีความตื่นตัวเดินทางไปเยี่ยมชมแหล่งไดโนเสาร์ที่เทือกเขาภูเวียงอย่างต่อเนื่อง และรวมถึงการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรหลุมขุดค้นที่ 2 ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จฯ เมื่อปี 2533
ส่วนกระบวนการการเป็นฟอสซิลของซากสิ่งมีชีวิตนั้น นักธรณีวิทยาอธิบายว่า เมื่อไดโนเสาร์ตาย ส่วนอ่อนๆ เช่น เนื้อและหนังจะเน่าเปื่อยหลุดไป เหลือแต่ส่วนแข็ง เช่น กระดูกและฟัน ซึ่งจะถูกโคลนและทรายทับถมเอาไว้ ถ้าการทับถมของโคลนทรายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็จะคงเรียงรายต่อกันในตำแหน่งที่มันเคยอยู่เป็นโครงร่าง แต่หากการทับถมเกิดขึ้นอย่างช้าๆ กระดูกจะมีโอกาสถูกทำให้กระจัดกระจายปะปนกัน
สวนไดโนเสาร์จำลอง
การทับถมของโคลนทรายทำให้อากาศและออกซิเจนซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของแบคทีเรียไม่สามารถเข้าถึงซากได้ ขณะเดียวกันน้ำและโคลนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลไซต์ เหล็กซัลไฟด์ และซิลิก้าก็ค่อยๆ ซึมเข้าไปในเนื้อกระดูก อุดตันโพรงและช่องว่างที่มีอยู่ ทำให้กระดูกเหล่านั้นแกร่งขึ้น สามารถรับน้ำหนักของหิน ดิน ทรายที่ทับถมต่อมาภายหลังได้ นานๆ เข้ากระดูกจะกลายเป็นหิน มีเพียงฟันที่ไม่ค่อยจะถูกแปรสภาพเท่าไร เนื่องจากฟันเป็นส่วนที่แข็งที่สุด บางครั้งแร่ธาตุบางอย่างเข้าไปกัดกร่อนละลายกระดูก และทิ้งลักษณะกระดูกไว้เป็นโพรง โพรงเหล่านี้จึงกลายเป็นเสมือนแม่พิมพ์ และต่อมาเมื่อแร่ธาตุอื่นเข้าไปอยู่เต็มโพรงก็จะเกิดเป็นรูปหล่อของชิ้นกระดูก บางครั้งเมื่อไดโนเสาร์ตายใหม่ๆ แล้วถูกทับถมด้วยโคลนแล้วเนื้อหนังเปื่อยเน่าเป็นโพรงก็จะเกิดรูปหล่อของรอยผิวหนัง ทำให้เรารู้ลักษณะของผิวหนัง บางแห่งซากไดโนเสาร์จะถูกน้ำพัดพามาทับถมอยู่ด้วยกันเกิดเป็นชั้นสะสมของกระดูกไดโนเสาร์
นอกจากนี้ ไดโนเสาร์ยังทิ้งรอยเท้าไว้บนโคลน ซึ่งฟอสซิลรอยเท้าเหล่านี้ทำให้ทราบถึงชนิด ลักษณะท่าทางของไดโนเสาร์ เช่น เดิน 2 ขา หรือ 4 ขา เชื่องช้าหรือว่องไว อยู่เป็นฝูงหรืออยู่เดี่ยวๆ บางครั้งพบมูลของไดโนเสาร์กลายเป็นฟอสซิล เรียกว่า คอบโปรไลท์ ซึ่งทำให้ทราบถึงขนาดและลักษณะของลำไส้ หรือฟอสซิลไข่ไดโนเสาร์ก็ทำให้ทราบว่าไดโนเสาร์ออกลูกเป็นไข่ บางครั้งพบตัวอ่อนอยู่ในไข่ ทำให้รู้ว่าเป็นไข่ของไดโนเสาร์ชนิดไหน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบโครงกระดูกไดโนเสาร์ในลักษณะกำลังกกไข่อยู่ในรัง ทำให้รู้ว่าไดโนเสาร์บางชนิดก็ดูแลลูกอ่อนด้วย
ซอโรพอดจำลอง ชนิดแอมพิโคเลียสที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อยุคไดโนเสาร์ผ่านไปหลายล้านปี ชั้นของทรายและโคลนยังคงทับซากไดโนเสาร์ไว้จนกลายเป็นหินและถูกผนึกไว้ในชั้นหินด้วยซีเมนต์ธรรมชาติ ได้แก่ โคลนทราย จนเมื่อพื้นผิวโลกมีการเคลื่อนตัว ชั้นหินบางส่วนถูกยกตัวสูงขึ้นแล้วเกิดการกัดกร่อนทำลายชั้นหินโดยความร้อนจากดวงอาทิตย์ ความเย็นจากน้ำแข็ง ฝน และลม จนกระทั่งถึงชั้นที่มีฟอสซิลอยู่ ทำให้บางส่วนของฟอสซิลโผล่ออกมาเป็นร่องรอยให้นักวิทยาศาสตร์มาขุดค้นต่อไป
เนื่องจากไดโนเสาร์เป็นสัตว์บก มีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 245-65 ล้านปี ดังนั้นซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์จึงพบอยู่ในชั้นหินตะกอนที่สะสมตัวบนบก จากการสำรวจธรณีวิทยาในประเทศไทย พบว่าหินที่มีอายุดังกล่าวพบโผล่อยู่ทั่วไปในบริเวณที่ราบสูงโคราช และพบเป็นแห่งๆ ในภาคเหนือ และภาคใต้ของประเทศไทย ดังนั้นจึงพบซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์และสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายแห่ง นอกจากภูเวียง ยังพบที่ภูแฝก จ.กาฬสินธุ์ พบรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่พวกคาร์โนซอร์ รอยเท้ากว้าง 40 ซม. ยาว 45 ซม. ภูเก้า จ.หนองบัวลำภู พบรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดย่อม (แต่ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียด) และฟอสซิลไดโนเสาร์ในชั้นหินหมวดเสาขัว อายุ 130 ล้านปี และในภาคอื่นอย่างบริเวณน้ำใสใหญ่ เขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี พบรอยเท้าไดโนเสาร์เทอร์โรพอดซึ่งเป็นไดโนเสาร์เดิน 2 เท้า ขนาดใหญ่ มีรอยเท้ากว้าง 26 ซม. ยาว 31 ซม. รวมทั้งพวก ออร์นิโธพอด และซีลูโรซอร์ ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ขนาดเล็ก รอยเท้ากว้าง 14 ซม. ยาว 13.7 ซม.
การหารอยเท้าไดโนเสาร์โดยใช้พู่กันและวาสลีน
นักท่องเที่ยวสามารถตามรอยเสด็จ เจ้าฟ้านักอนุรักษ์ทรัพยากรธรณี ได้ที่ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง และหลุมขุดค้น 4 แห่ง แห่งที่ 1 ภูประตูตีหมา พบกระดูกไดโนเสาร์ชนิดกินพืช ซึ่งเป็นอาหารของภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน หลุมขุดค้นที่ 2 ถ้ำเจีย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯ พบกระดูกไดโนเสาร์ชนิดกินพืช ชิ้นส่วนกระดูกส่วนคอเรียงต่อกันจำนวน 6 ชิ้น หลุมขุดค้นที่ 3 ห้วยประตูตีหมา เป็นกระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครงจำนวนหลายชิ้นของไดโนเสาร์ซอโรพอด ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ และหลุมขุดค้นที่ 9 หินลาดยาว พบกระดูกส่วนสะโพกซ้าย และกระดูกส่วนหางของไดโนเสาร์คาร์โนซอร์ขนาดใหญ่ ชื่อว่า สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส ถือเป็นไดโนเสาร์ในกลุ่มของทีเร็กซ์ที่เก่าแก่ที่สุด และสุสานหอย 150 ล้านปี พบหอยนางรมน้ำจืดกระจายอยู่ทั่วบริเวณประมาณ 300 ตร.กม.
หากมีกำลังไหว สามารถเดินเท้าเชื่อมหากันได้ทั้ง 4 หลุม โดยแนะนำให้จอดรถที่ลานจอดรถใกล้หลุม 9 เดินจากลานจอดรถเดินไปที่หลุม 9 ระยะทางประมาณ 500 เมตร เดินต่อไปที่หลุม 2 ระยะทางประมาณ 1,100 เมตร เดินต่อไปสุสานหอยประมาณ 40 เมตร เดินต่อไปที่หลุม 1 ประมาณ 360 เมตร เดินต่อไปหลุม 3 ระยะทางประมาณ 1,300 เมตร และเดินต่อไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเวียงประมาณ 300 เมตร
เส้นทางศึกษาฟอสซิลและกระดูกไดโนเสาร์ทั้ง 4 แห่ง เปิดทุกวัน ไม่มีวันหยุด โดยมีเส้นทางเดินชัดเจน พร้อมป้ายบอกทาง และป้ายสื่อความหมาย แต่หากต้องการศึกษาโดยสรุปให้มุ่งไปที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ทุกอย่างรวบรวมไว้ในนั้น รวมถึงสวนไดโนเสาร์จำลองให้ย้อนอดีต 130 ล้านปี สู่ยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลก
ทศพร นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี นำทางไปยังหลุมขุดค้นที่ 9
กระดูกไดโนเสาร์บนชั้่นหินทราย
รอยเท้าสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กเมื่อเทียบกับด้ามพู่กัน
ทางเดินจากลานจอดรถไปยังหลุมขุดค้นที่ 9 ไกลประมาณ 500 เมตร
เมื่อหยดเล็กลงบนหินทรายจะเกิดฟองฟู่ อันเป็นที่เก็บฟอสซิลอย่างดี
กระดูกไดโนเสาร์ที่ค้นพบบนเทือกเขาภูเวียง