ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
10 ธันวาคม 2559 เวลา 09:42 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/health/469610

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด
“โรคเครียด” เป็นโรคที่ติด 5 อันดับที่คนไทยยุคใหม่เป็นกันมาก สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2557 คนไทยฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้าประมาณ 4,000 คน/ปี หรือเฉลี่ยเดือนละกว่า 300 คน ซึ่งมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอันดับ 1 ญี่ปุ่น และอันดับ 2 สวีเดน ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ถือเป็นวิกฤตที่คนไทยควรใส่ใจหาทางป้องกันหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เป็นโรคนี้
นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล หัวหน้าศูนย์จิตเวช โรงพยาบาลพญาไท 2 ฉายภาพว่า ความเครียดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ โดยกลุ่มเด็กมักจะเครียดกับการเรียน การสอบ เรื่องเพื่อน เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นมักเครียดกับเรื่องความรัก การสอบแข่งขัน เรียนในคณะที่ไม่ถนัดแต่เลือกตามค่านิยม และเมื่อจบการศึกษาก็หางานทำไม่ได้
และเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเครียดกับเรื่องงานโดยเฉพาะกลุ่มพนักงานบริษัท รวมถึงรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย หาแฟนไม่ได้ กลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเครียดมากที่สุด และเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุจะเริ่มเครียดกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน
ประกอบกับสังคมยุคปัจจุบันมีปัจจัยความเครียดเพิ่มขึ้น เช่น ปัญหาการเดินทาง การจราจร การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เพราะสภาพแวดล้อมเมื่ออดีตของไทยจะเป็นสังคมเกษตรกรรมมีแต่ทุ่งนา แม่น้ำลำธาร แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นสังคมอุตสาหกรรม ผู้คนอยู่กับตึกสูง ต้องเผชิญกับสภาพการเดินทาง ปัญหาจราจรที่ยากจะหลีกเลี่ยง ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นอีกสาเหตุที่นำไปสู่ความเครียด
นพ.สุกมล แนะนำการป้องกันจากโรคเครียด ว่า 1.ควรพักผ่อนให้มากที่สุดเฉลี่ยต้องให้ได้มากกว่า 8 ชั่วโมง/วัน หรืออย่างต่ำสุดต้องไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง/วัน 2.ควรหาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด เช่น นอนพักผ่อน ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่สนุกสนานเพลิดเพลิน ดูหนัง ฟังเพลงดนตรีเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย อ่านหนังสือ ทำงานอดิเรก ฯลฯ
นอกจากนี้ ระหว่างทำงานภายใน 1 ชั่วโมง ควรผ่อนคลายความเครียด โดยการนั่งพักประมาณ 3-5 นาที หรือนั่งในท่าทางที่สบายหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้หน้าท้องขยาย และหายใจออกอย่างช้าๆ ท้องจะยุบ พร้อมกับนับ 1-5 ทำเฉลี่ยนวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที ซึ่งจะช่วยให้ผ่อนคลายระหว่างทำงาน นอกจากนี้ภายใน 1 สัปดาห์ ควรหาเวลาหยุดพักจากการทำงาน 1 วัน เพื่อทำให้สมองไม่ได้พักจากความเครียด เพราะเมื่อเริ่มเครียดจะมีอาการชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น ท้องไส้ปั่นป่วน แน่นหน้าอก หายใจตื้น อารมณ์หงุดหงิด หมดอารมณ์ทางเพศ ฉะนั้นเมื่อมีอาการเช่นนี้ควรหยุดเพื่อให้สมองและร่างกายได้พัก
แพทย์จิตเวชรายนี้ ทิ้งท้ายว่า เมื่อทำงานถึงจุดหนึ่งควรต้องทำให้ชีวิตได้พักบ้าง เช่น วันหยุดควรหาเวลาเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวธรรมชาติต่างจังหวัด ไม่ใช่มีเงินแต่ไม่มีเวลาไปเที่ยว หรือนำเงินไปซื้อของหมดโดยไม่มีเงินเก็บเหลือไว้ใช้พักผ่อน ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ทุกคนควรใส่ใจทำให้สมดุล เพราะการหาเงินได้มากจะไม่มีประโยชน์ ถ้าต้องนำเงินเหล่านั้นมาใช้หาหมอรักษาตัวเองยามชรา ฉะนั้นแนะนำให้ทุกคนควรใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เพราะคนยุคปัจจุบันทำงานหนัก รวมถึงไม่ควรใช้เวลาอยู่กับหน้าจอ นอกเหนือเวลางานเกิน 2 ชั่วโมง/วัน เพราะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอและนำไปสู่อาการเครียด