ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
07 มกราคม 2560 เวลา 13:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/world/474312

โดย…กาญจน์ อายุ
เท้าความตอนที่แล้วกับเรื่อง “ตามหาความรักที่ฮอกไกโด” อันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางตามรอย “แฟนเดย์” โดยได้เล่าถึงฉากที่คุณเด่นชัยไปลั่นระฆังแห่งความรักที่คิโรโระ รีสอร์ท และฉากที่คุณนุ้ยเล่นสกีจนเกิดอุบัติเหตุให้ความจำเสื่อม สำหรับฉบับนี้คือเส้นทางต่อเนื่องจากคิโรโระไปยังเมืองโอตารุ อดีตเมืองท่าริมทะเลที่เคยรุ่งโรจน์ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองอนุรักษ์ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว
การเดินทางไปยังเมืองโอตารุจะใช้บริการฟรีชัตเติลบัสของโรงแรมในคิโรโระ รีสอร์ท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที โดยรถจะไปจอดที่สถานีรถไฟโอตารุจิกโกะ จากนั้นแนะนำให้เดินทางด้วยรถประจำทาง Otaru Stroller’s tourist bus line สำหรับท่องเที่ยวภายในเมืองโอตารุ
คู่รักบนถนนซาไกมาจิ ถนนค้าขายที่ได้รับการอนุรักษ์กลางเมืองโอตารุ
คลองโอตารุ
จุดถ่ายภาพที่มีชื่อเสียงของเมืองโอตารุต้องยกให้คลองโอตารุ ซึ่งนอกจากจะเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม จุดนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองได้อย่างยืดยาว
ย้อนกลับไปในอดีต สมัยที่เมืองโอตารุยังเป็นเมืองท่าเพื่อการค้าขายทางทะเล คลองโอตารุเสมือนเป็นถนนสายหลักที่ไว้ขนส่งสินค้าไปยังโกดังมากมายที่อยู่ริมคลอง โดยฝั่งฮอกไกโดส่งออกอาหารเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล ผลผลิตจากโคนม เพราะเกาะฮอกไกโดมีพื้นราบให้ทำปศุสัตว์มาก รวมถึงมันและข้าวโพด เมืองโอตารุจึงเป็นจุดนัดพบของสินค้าจากนานาประเทศก่อนกระจายไปสู่เมืองต่างๆ ชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายจึงนำวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของตนเข้ามาเผยแพร่ด้วย
นาฬิกาไอน้ำหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
จากสะพานข้ามคลองโอตารุ เมื่อหันหน้าออกจะเห็นโกดังร้างตั้งเรียงรายเป็นแนวยาวขนานลำคลองอยู่ด้านขวาซึ่งบางโกดังได้ถูกปรับให้เป็นร้านอาหาร ส่วนด้านซ้ายเป็นทางเดินเลียบคลอง โดยน้ำในคลองโอตารุไม่เคยเป็นน้ำแข็งแม้ว่าอุณหภูมิจะติดลบ
ในเดือน ก.พ. เมืองโอตารุจะจัดเทศกาลแสงไฟริมคลองโอตารุ (Otaru Snow Light Path Festival) โดยทั้งเมืองจะประดับประดาไปด้วยแสงไฟและรูปปั้นหิมะขนาดเล็กเป็นระยะเวลา 10 วัน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่จะตกแต่งร้านค้าและที่อยู่อาศัยด้วยโคมไฟเช่นกัน
ทางเดินหิมะริมคลองโอตารุ
เทศกาลแสงไฟจัดขึ้นใน 2 พื้นที่ ได้แก่ บนถนนริมคลองโอตารุ ยาว 300 ม. จะประดับด้วยโคมไฟก๊าซแบบโบราณทำให้บรรยากาศโรแมนติกมากขึ้น แห่งที่ 2 คือ พื้นที่ระหว่างคลองและสถานีรถไฟ (Temiyasen Kaijo) เป็นถนนทอดยาวประมาณครึ่งกิโลเมตรไปตามรางรถไฟเทมิยาเซ็น โดยข้างทางจะมีซุ้มอาหาร โคมไฟ และรูปปั้นหิมะ ซึ่งการจัดไฟเช่นนี้ทำให้คลองโอตารุกลับมีชีวิตอีกครั้ง
ถึงกระนั้นคุณเด่นชัยกับคุณนุ้ยไม่ได้เน้นคลองโอตารุเท่าไรนัก เพราะกำลังตื่นเต้นกับนาฬิกาเก่าๆ หนึ่งเรือนหน้าพิพิธภัณฑ์ที่กำลังส่งเสียงดนตรี
นักท่องเที่ยวรอชมนาฬิกาพ่นไอน้ำ
ถนนซาไกมาจิ
จากนั้นนั่งรถประจำทางคันเดิมไปลงที่ถนนซาไกมาจิ ถนนสายเก่าแก่ตั้งแต่ยุคที่โอตารุรุ่งเรือง ช่วงปลายยุค 1800 ถึงต้นยุค 1900 อาคารต่างๆ เป็นแบบตะวันตก ปัจจุบันได้รับการดัดแปลงเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า และพิพิธภัณฑ์มากมาย
หลักฐานของการค้าขายกับชาวต่างชาติมีให้เห็นประจักษ์อยู่ที่โรงงานผลิตเครื่องแก้ว ซึ่งได้รับความนิยมหลังจากอุตสาหกรรมการประมงปลาเฮอร์ริ่งทรุดตัวลงในปี 2493 ทำให้หลายคนหันไปผลิตเครื่องแก้ว ปัจจุบันเมืองโอตารุก็ยังขึ้นชื่อในอุตสาหกรรมเครื่องแก้วอยู่ ซึ่งนอกจากร้านขายแล้ว ยังมีหลายร้านที่ให้ลูกค้าเข้าร่วมเวิร์กช็อปทำถ้วยแก้วด้วยตัวเอง โดยมีค่าใช้จ่ายในการทำแก้ว ชาม หรือแจกันราคาคนละ 2,000-3,000 เยน
กล่องดนตรี ของฝากเมืองโอตารุ
นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะเวเนเชียล บนอาคาร 5 ชั้น เพื่อแสดงศิลปะเมืองเวนิสทั้งเครื่องแก้วเวเนเชียลเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงเรือกอนโดล่าขนาดจริง และอีกแห่งที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น ได้ตั้งสาขาอยู่ที่เมืองโอตารุตั้งแต่ปี 2455 แต่มาถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 2546 ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและเงินตราญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ริมสองฝั่งถนนซาไกมาจิยังคงสภาพบ้านเรือนดั้งเดิมไว้ แต่ได้ปรับเปลี่ยนสภาพภายในให้เป็นร้านค้าทั้งร้านขายอาหารซีฟู้ดสดๆ ร้านกาแฟดีไซน์เก๋ ร้านซูชิ หรือร้านขนมเลอเตาที่โด่งดัง นับเป็นการอนุรักษ์อย่างญี่ปุ่น คือ อนุรักษ์โครงสร้างสถาปัตยกรรม แต่พัฒนาให้เป็นมากกว่าบ้านเก่าธรรมดาเพื่อสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับมัน
ถนนซาไกมาจิ
นาฬิกาไอน้ำ
สุดทางถนนจะไปบรรจบที่สี่แยกซึ่งหัวมุมถนนตรงข้ามจะมีคนพลุกพล่าน นั่นคือพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี โดยด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เป็นที่ตั้งของนาฬิกาไอน้ำที่ทางประเทศแคนาดาสร้างให้เป็นที่ระลึก มันคือนาฬิกาเรือนใหญ่อายุมากที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนมาเนิ่นนาน คนเดินผ่านไปมาหลายชั่วอายุแต่ไม่มีใครสนใจมากนัก จนกระทั่งตอนนี้ตอนที่มันไปปรากฏในหนังแฟนเดย์จนทำให้คนไทยอยากไปถ่ายรูปคู่
นาฬิกาไอน้ำจะส่งเสียงดังปู๊นปู๊นเมื่อน้ำด้านในเดือดทุกๆ 15 นาที มันเป็นแบบนี้เสมอแม้ในวันที่หิมะตกหนัก ทว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่ารออยู่ด้านหลังประตู เสียงดนตรีที่ได้ยินมาตลอดขณะเดินอยู่บนถนนซาไกมาจิ นั่นคือ เสียงกล่องดนตรีที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์
สองสาวเซลฟี่ในร้านกาแฟที่ดัดแปลงจากโกดังเก่า
กล่องดนตรีหลายรูปแบบวางเรียงรายรอบตัวมากกว่า 1,000 ชิ้น บ้างเป็นเครื่องแก้วแบบที่คนเมืองนี้ถนัด บ้างเป็นเซรามิก บ้างเป็นพลาสติก มีให้เลือกจนลายตา ส่วนชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของเจ้ากล่องดนตรีที่คนโอตารุผูกพัน (เป็นภาษาญี่ปุ่น)
คุณเด่นชัยกับคุณนุ้ยก็ได้เข้าไปเลือกกล่องดนตรีในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งถ้าอยากซื้อของสักชิ้นฝากคนที่รัก กล่องดนตรีน่าจะเหมาะสม เพราะเชื่อสิว่ากว่าคุณจะหากล่องที่ใช้ได้ มันยากเหมือนงมเข็มในเสียงดนตรี
เมืองโอตารุเป็นเมืองเล็กๆ ริมทะเลที่สามารถเก็บเรื่องราวในอดีตไว้ได้อย่างครบถ้วน (ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่งานโชว์ก็ตาม) ไม่ว่าจะเป็นคลองสายเก่าที่น้ำยังสะอาดเหมือนแต่ก่อน โกดังร้างที่เปลี่ยนไปเป็นร้านอาหาร โรงเป่าแก้วที่เปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ บ้านเรือนที่เปลี่ยนอินทีเรียร์เป็นร้านค้า นาฬิการุ่นทวดที่ถูกอนุรักษ์ รวมถึงกล่องดนตรีที่คนยังคิดถึง ซึ่งทั้งหมดเป็นการพัฒนาแบบไม่ทำลาย และเป็นการรักษาอดีตให้อยู่กับในปัจจุบันไว้ ซึ่งสำคัญต่ออนาคต
ร้านอาหารในบ้านเรือนเก่าใกล้กับคลองโอตารุ
อาหารซีฟู้ดเลื่องชื่อของเมืองริมทะเลอย่างโอตารุ
บ้านเรือนริมถนนซาไกมาจิ