BL Journey กระเตงลูกเที่ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มกราคม 2560 เวลา 13:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/world/474315

BL Journey กระเตงลูกเที่ยว

โดย…ป้าเมย์ ภาพ… BL Journey

ครอบครัวสุดน่ารักแห่ง BL Journey พ่อแบงค์-ธิติ วิวัฒนาทร และแม่เล้ง-นันทกาญจน์ คารวะพรพุทธ ที่ได้กระเตงลูกเที่ยวตั้งแต่เด็ก หนึ่งคือ น้องเบลล่า วัย 4 ขวบ ลูกสาวคนโตที่ตอนนี้เริ่มเชี่ยวชาญด้านการเดินทาง และสอง น้องลัลลาเบล วัย 8 เดือน ที่เพิ่งเป็นนักเดินทางมือใหม่แต่ดูท่าจะชอบทางนี้ไม่แพ้พี่สาว

ทั้ง 4 คนออกเดินทางด้วยกันทั้งในและต่างประเทศ โดยเรื่องราวการเดินทางถูกรวบรวมในเว็บไซต์ www.BLJOURNEY.com และเพจเฟซบุ๊ก BLJourney ที่นอกจากจะเป็นบันทึกการเดินทางให้กับลูกทั้งสองแล้ว พวกเขายังหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ครอบครัวอื่นๆ กล้าออกเดินทางด้วย

พ่อแบงค์เล่าว่า เธอและภรรยาชอบเดินทางอยู่แล้วตั้งแต่เป็นแฟนกัน จนกระทั่งมีเจ้าตัวเล็กเพิ่มเข้ามาทั้งคู่จึงเปลี่ยนสไตล์การท่องเที่ยวเป็นแบบครอบครัว

 

“การท่องเที่ยวแบบครอบครัวเป็นเรื่องสนุก เราสามารถพาลูกเล็กไปเที่ยวได้โดยที่ไม่ต้องคิดถึงความสนุกของพ่อแม่แล้ว” แบงค์ กล่าว

น้องเบลล่าได้ออกเดินครั้งแรกเมื่ออายุ 3 เดือน และได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกตอนอายุ 6 เดือน ส่วนน้องลัลลาเบล ออกเดินทางครั้งแรกเมื่ออายุ 1 เดือนกว่านี่เอง

“ก่อนมีลูกพวกเราเที่ยวแบบปกติคือ แอดเวนเจอร์ ลุยๆ แบบที่ผู้ใหญ่เที่ยวกัน แต่พอมีลูกเราก็เปลี่ยนมาเที่ยวแนวครอบครัว คือต้องมีแพลนหลวมๆ และสถานที่ต้องดึงดูดเด็ก อย่างโรงแรมก็ต้องมีคิดส์คลับ สถานที่เที่ยวต้องเป็นพวกสวนสัตว์ สวนสนุก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องใส่วันแรกๆ ของทริป เพื่อให้เขารู้สึกว่านี่คือทริปของเขา ให้เขารู้สึกแฮปปี้กับทริปนี้ไปเลย ส่วนวันช็อปปิ้ง
ของแม่หรือการศึกษาประวัติศาสตร์ของพ่อจะมาอยู่วันหลังๆ

 

“เราจะเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนั้นให้ลูกฟังก่อน เล่าเหมือนเป็นนิทานให้ลูกฟัง พอลูกไปถึงที่แห่งนั้นจะได้มีความตื่นเต้นสนใจกับสถานที่ที่พ่อแม่เลือกให้ ดีกว่าเราไม่ได้เล่าอะไรให้ลูกฟัง เขาอาจงอแงเพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาจะไปเจอนั้นมันน่าสนุกและน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน” เล้ง กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ หลักสำคัญอีกอย่างของการพาลูกเที่ยว คือ อย่าเปลี่ยนริทึ่ม (Rhythm) หรือชีวิตประจำวันของลูก ไม่ว่าจะเป็นเวลากิน เวลานอน และเวลาเล่น ทุกอย่างต้องเหมือนเดิมทั้งเวลาและสิ่งที่ต้องทำ

“จัดตารางการเที่ยวยังไงก็ได้ โดยไม่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยน เวลากินข้าวยังเป็นเช้า กลางวัน เย็นเหมือนเดิม เข้านอนบ่ายและเย็นเหมือนเดิม เพราะเด็กพอถึงเวลาบ่ายสองโมงจะเกิดอาการง่วง ถ้าเขาจะหลับ เราก็ต้องให้เขาหลับ หรือก่อนนอนจะอ่านนิทานให้ลูกฟังเหมือนอยู่บ้าน เราจะยึดตารางชีวิตของเขาไว้ทุกอย่าง ไม่ไปเปลี่ยนแปลงอะไร เราจะเดินช้าลงให้เท่ากับก้าวเดินของลูก เราไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะความหมายของการเที่ยวแบบครอบครัวคือการใช้เวลาร่วมกัน เราไม่ได้เที่ยวแบบชะโงกทัวร์แล้วไป แต่เราจะดื่มด่ำและใช้เวลาคุณภาพอย่างเต็มที่ทุกครั้ง” แบงค์ กล่าว

 

สำหรับเวลาท่องเที่ยวของครอบครัวจะยึดเวลาของลูกเป็นหลัก นั่นคือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และช่วงเวลาปิดเทอมของน้องเบลล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเที่ยวทริปต่างประเทศปีละ 2-3 ครั้ง นอกนั้นจะเป็นทริปในประเทศ ซึ่งประเทศแรกที่น้องเบลล่าได้ไปคือ ญี่ปุ่น ตอนอายุ 1 ขวบครึ่ง

ทั้งคู่แนะนำว่า ประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์เป็นประเทศที่ง่ายต่อการพาเด็กเที่ยว เพราะมีทางลาดสำหรับรถเข็นเด็กและมีลิฟต์ในระบบขนส่งสาธารณะ

“หลายคนมองว่าทำไมครอบครัวเราดูเลี้ยงง่ายจังเลย จริงๆ แล้ว เราแค่จัดแพลนทุกอย่างให้เหมาะสมกับเด็กมากกว่า ลูกๆ เลยไม่งอแง เช่น การเลือกร้านอาหาร เราก็จะเลือกร้านที่มีอาหารสำหรับเด็ก พวกร้านที่ดังๆ ต้องไปต่อแถวนานๆ พวกนั้นเราจะตัดออกไปเลย”

ในความคิดของพ่อและแม่แล้ว การพาลูกออกเดินทางตั้งแต่เด็ก คือ การสร้างประสบการณ์ที่อยู่ในความทรงจำของลูก แม้ว่าเมื่อโตขึ้นลูกอาจจำเหตุการณ์ในอดีตไม่ได้ก็ตาม ทว่าเรื่องนี้ พ่อแบงก์ไม่กลัวว่าลูกสาวทั้งสองคนจะจำเรื่องราวในวัยเด็กได้หรือไม่ แต่เขาและภรรยาจำได้แน่นอน

“ผมไม่รู้ว่าโตขึ้นมาลูกจะจำได้ไหม แต่การที่เราได้ท่องเที่ยวด้วยกัน มันคือความทรงจำดีๆ ในครอบครัวของเรา และการใช้เวลาร่วมกันมากกว่า เราเห็นเขามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เข้ากับคนง่าย ร่าเริง ทำให้ลูกๆ ออกจากคอมฟอร์ต โซน แล้วได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ออกจากบ้าน ออกจากโรงเรียน ซึ่งมันคือสิ่งที่ดีต่อลูก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

ทว่าที่ต้องเป็นห่วงมากที่สุดคือ เรื่องสุขภาพ ทุกครั้งที่ออกเดินทางทั้งสองจึงต้องเตรียมยาให้พร้อมให้ครบ ซึ่งครั้งแรกที่พาน้องเบลล่าไปเที่ยว ทั้งสองได้ไปปรึกษาแพทย์ก่อนว่าควรเตรียมตัวอย่างไร และต้องเตรียมยาอะไรบ้าง เช่น ยาแก้ไข้ธรรมดา ยาแก้ไข้สูงน้ำเกลือสำหรับเด็ก ยาลดน้ำมูก และอีกอย่างที่สำคัญ คือประกัน ทั้งประกันการเดินทางและประกันสุขภาพ

ในฐานะพ่อและแม่ พวกเขาจะพาลูกสาวทั้งสองเดินทางต่อไปเพื่อให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ห้องเรียนไม่ได้สอน ซึ่งแบงค์กล่าวว่า การได้เห็นสิ่งใหม่ทำให้เด็กๆ ได้เก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ และประสบการณ์จะช่วยพัฒนาอีคิว พัฒนาทักษะการเข้าสังคม และพัฒนาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

“สังคมสมัยนี้ลูกกับพ่อแม่ค่อนข้างห่างกัน พ่อแม่ออกจากบ้านไปทำงาน กลับมาลูกนอนแล้วซึ่งทำให้ครอบครัวไม่มีเวลาคุณภาพ แต่การท่องเที่ยวทำให้เราได้อยู่พร้อมหน้าด้วยกัน 24 ชั่วโมง ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะแน่นแฟ้น แล้วเรายังได้เรียนรู้ไปด้วยกันว่าการออกไปเที่ยวแบบนี้ เราต้องทำตัวยังไงซึ่งบางที่เราสอนเขา เขาก็สอนเรา คำที่ผมพูดบ่อยๆ คือ เดินช้าลง เที่ยวช้าลง แต่คุณจะมีความสุขมากขึ้น” แบงค์ เพิ่มเติม

ทั้งสองให้คำมั่นว่า การเดินทางของครอบครัวจะดำเนินต่อไปจนกว่าลูกๆ จะโต และต้องการไปเที่ยวเอง ซึ่งพ่อแบงค์และแม่เล้งเชื่อว่าการปลูกฝังให้เขาเดินทางตั้งแต่แบเบาะเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างแน่นอน

 

Leave a comment