ป้อมมหากาฬ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 10:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/thailand/480415

ป้อมมหากาฬ

โดย…โสภิตา สว่างเลิศกุล

เดินทางมาจากถนนราชดำเนินนอก หลานหลวง หรือนั่งเรือหางยาวแผดเสียงกระหึ่มในคลองแสนแสบที่ท่าเรือผ่านฟ้า สิ่งที่กระทบสายตาเมื่อเห็นก็คือ “ป้อมมหากาฬ” ก่อนที่จะมุ่งเข้าสู่ถนนราชดำเนินใน

เมื่อมองในบางมุมก็จะมีภูเขาทอง หรือชื่อทางราชการเรียกว่า บรมบรรพต ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพื่อให้กรุงเทพฯ มีภูเขาทองเหมือนอย่างกรุงศรีอยุธยา เด่นสง่าเหลืองอร่ามเป็นฉากหลังตระการตา

ป้อมมหากาฬเป็น 1 ใน 2 ป้อมในกำแพงเมือง ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน อีกที่คือ ป้อมพระสุเมรุ ที่ถนนพระอาทิตย์ และป้อมนอกกำแพงเมืองที่เหลืออยู่คือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านฝั่งธนบุรีตรงข้ามกับโรงเรียนราชินีปากคลองตลาด

สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในปี 2326 เป็นป้อม 1 ใน 14 ป้อมที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันรักษาพระนคร

เมื่อมาดูลักษณะสถาปัตยกรรมของป้อมมหากาฬ สร้างขึ้นเป็นรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงล้อมรอบ 2 ชั้น เป็นป้อมประจำพระนครด้านตะวันออก กรมศิลปากรได้บูรณะซ่อมแซมป้อมมหากาฬเมื่อคราวพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ในปี 2525 ได้ก่อคอนกรีตแนวเชิงเทินเชื่อมช่วงกำแพงที่ขาดเข้าด้วยกันตามแบบเดิม และได้มีการบูรณะเรื่อยมาจนมีสภาพที่เห็นในปัจจุบัน

กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนป้อมมหากาฬพร้อมด้วยกำแพงเมืองเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 65 วันที่ 22 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2492

 

ป้อมมหากาฬเป็นป้อมขนาดใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม วัดจากฐานรากชั้นนอกด้านทิศเหนือจรดฐานด้านทิศใต้กว้าง 38 เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงปลายใบเสมา 4.90 เมตร และจากพื้นดินถึงหลังคาป้อม 15 เมตร โครงสร้างก่ออิฐฉาบปูน รากฐานอยู่ใต้ระดับผิวดิน ลักษณะเป็นป้อม 3 ชั้น มีบันไดทางขึ้นสู่ชั้นที่ 1 และ 2 กำแพงป้อมเป็นแบบใบเสมาเหลี่ยมขนาดใหญ่ทั้งหมด ยกเว้นกำแพงปีกกาที่ต่อออกมาจากกำแพงป้อมชั้นที่ 2 มีลักษณะใบเสมาปลายแหลมเหมือนกำแพงเมือง

ตัวป้อมชั้นบนสุดมีลักษณะเป็นหอรูปแปดเหลี่ยม มีประตูทางเข้า 1 ประตู หลังคาโครงไม้มุงกระเบื้องทรงคล้ายฝาชีหรือใบบัว คว่ำ 2 ชั้น ที่ป้อมชั้นล่างมีปืนใหญ่ตั้งประจำช่องเสมาเป็นจำนวน 6 กระบอก กำแพงเมืองที่ต่อจากป้อมมหากาฬไปตามแนวถนนมหาไชยนั้น มีลักษณะเป็นกำแพงมีเชิงเทิน ใบเสมาชนิดปลายแหลม ยาว 180 เมตร ถูกตัดขาดเป็นช่วงๆ รวม 4 ช่วง กำแพงช่วงยาวมีช่องประตูรูปโค้งแบบประตูช่องกุดใต้เชิงเทิน 3 ประตู สองข้างช่องประตูเป็นบันไดขึ้นสู่ชานบนกำแพง

ป้อมมหากาฬและกำแพงเมือง ตั้งอยู่บริเวณริมคลองรอบกรุง ใกล้เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีกำแพงเมืองต่อไปเป็นแนวยาวตามถนนมหาไชย จนสุดที่ร้านน้ำอบนางลอย เนื่องจากตั้งอยู่ในที่ชุมชน มีแขกเมืองและนักท่องเที่ยวผ่านอยู่เสมอ ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการติดไฟสำหรับส่องป้อมให้เกิดความงดงามในเวลากลางคืนด้วย ภาพของป้อมมหากาฬเคยได้รับการนำลงพิมพ์ในธนบัตรใบละ 10 บาท ในรัชกาลปัจจุบันอยู่ช่วงระยะหนึ่ง

ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานพระนคร เป็นชุมชนขนาดย่อมที่อยู่หลังกำแพงป้อมมหากาฬ กินพื้นที่ตั้งแต่หัวถนนมหาไชยไปจรดชายคลองหลอดวัดราชนัดดา มีเนื้อที่ 4 ไร่ 300 ตารางวา เป็นชุมชนขนาดกะทัดรัดประมาณ 50 กว่าหลังคาเรือน เมื่อเดินผ่านเข้าไป “ประตู 4” หรือตรอกพระยาเพชรปาณี

ปัจจุบัน ป้อมมหาหาฬ ยังโดดเด่นเป็นสง่าท้าทายสายตาผู้มาเยือนและผ่านไปผ่านมา แม้เบื้องหลังกำแพงยังมีความขัดแย้งที่ยังคาราคาซังอยู่

ในอดีต ตรงป้อมมหากาฬเคยเป็นท่าเรือสำคัญสำหรับชาวบ้าน ขุนนาง และเจ้านายที่เดินทางมาตามลำคลองเข้าและออกไปนอกเมือง เพราะเป็นบริเวณที่จะต่อไปยังที่อื่นตามคลองมหานาค คลองแสนแสบ และตามคลองโอ่งอ่างไปยังรอบเมืองอื่นๆ รวมทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของข้าราชการ และชาวบ้านมาหลายยุคสมัย มีการปลูกสร้างอาคาร เป็นแนวยาวตลอดตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจรดแนวคูคลองวัดเทพธิดารามในปัจจุบัน ต่อมาเรียกกันว่า ตรอกพระยาเพชรฯ เพราะเคยเป็นบ้านพักของพระยาเพชรปาณี (ตรี) ข้าราชการกระทรวงวังและเป็นชาวปี่พาทย์โขนละคร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดลิเกทรงเครื่องนั่นเอง

ชุมชนป้อมมหากาฬ จึงเป็นชุมชนแห่งสุดท้ายที่ยังมีหายใจร่วมสมัย อยู่สืบทอดยุคกรุงรัตนโกสินทร์มายาวนาน

 

Leave a comment