ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
25 มีนาคม 2560 เวลา 10:31 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/travel/world/486882

โดย…เพรงเทพ รูป : อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ
มองจากหน้าต่างเครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ลงมายังเบื้องล่าง หลังจากที่ทะยานขึ้นสู่อากาศไม่นานนัก
ริมชายฝั่งหาดทรายทอดตัวขนานไปกับน้ำทะเลสีฟ้าของมหาสมุทรแปซิฟิกหรือทะเลเวียดนาม (คนเวียดนามไม่เรียกว่าทะเลจีนใต้) จากเมืองดานัง เมืองใหญ่อันดับ 4 และเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเขตเศรษฐกิจภาคกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ช่างสวยงามตราตรึง ปล่อยจินตนาการได้กว้างไกล แต่ความประทับใจไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะเพียงแค่ผ่านทางมาสู่สนามบิน ความงดงามทางศิลปวัฒนธรรมได้ไปผูกติดกับเมืองเก่ามรดกโลก ฮอยอัน ที่อยู่ห่างไปไม่กี่สิบกิโลเมตร

การได้ไปสัมผัสกับ “ฮอยอัน ไลต์ เฟสติวัล 2017” ซึ่งมีบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ เป็นแม่งานใหญ่ ได้เนรมิตเมืองมรดกโลกซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญเก่าแก่ที่ต่อเนื่องมากว่า 600 ปี ให้เปี่ยมด้วยสีสันฟื้นอดีตเปี่ยมชีวิตชีวาขึ้นอีกครา
เหมือนได้มุดอุโมงค์เวลาไปค้นหาวันชื่นคืนสุขในความหมายของความรุ่งเรืองของที่นี่เมื่อครั้งอดีตกาล
ฮอยอัน เป็นเมืองท่าโบราณที่ถูกแช่แข็งทางกาลเวลาให้คงสภาพเดิมได้อย่างงอกงาม อยู่ในเขตจังหวัดกว่างนาม ห่างจากตัวเมืองดานัง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ มีพื้นที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร

การตั้งอยู่ริมแม่น้ำทูโบนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยครั้งหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15-16 เคยเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
ฮอยอันถือเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีการผสมผสานศิลปวัฒนธรรมจากต่างชาติในยุคต่างๆ เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างมีเอกลักษณ์ ทั้งสถาปัตยกรรมที่สะท้อนผ่านอาคารบ้านเรือน รวมถึงมรดกวัฒนธรรมต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์ให้คงสภาพเดิมเป็นอย่างดี
โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าฮอยอัน เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1999

ความสวยงามของแสงสีเสียง และการจัดวางภูมิทัศน์เพื่อเสริมช่องว่างของส่วนที่ขาดหายไปจากเมืองเก่าฮอยอัน นั่นคือความมีชีวิตชีวาเต้นเร่าอยู่ในปัจจุบัน โดยมีพาหะก็คือการเล่าเรื่องผ่านรูปแบบของแสงสีเสียงต่างๆ ที่น่าทึ่ง
โดยเฉพาะการเล่าเรื่องราวตรงหมุดหมายสำคัญของเมืองที่เชื่อมต่อชุมชนของชาวจีนและชาวญี่ปุ่นที่เคยอยู่ที่นี่ ที่สะพานญี่ปุ่น ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นคริสตวรรษที่ 17 โดยชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในฮอยอันเมื่อครั้งอดีต เพื่อเชื่อมถนนสองสาย ที่มีลำคลองทอดผ่านแบ่งเขตชุมชนญี่ปุ่นและจีน
สะพานญี่ปุ่น เป็นสะพานที่สร้างด้วยปูนและไม้ มีหลังคาคลุมมุงด้วยกระเบื้องดินเผาโบราณ ภายในมีศาลเจ้าที่สร้างอุทิศแด่บุคคลสำคัญเพื่อให้ช่วยปกปักรักษาสะพานและชาวเมืองให้อยู่เป็นสุข ปลายสะพานฟากหนึ่งมีรูปปั้นลิง ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นรูปปั้นหมา เพราะสะพานแห่งนี้เริ่มสร้างในปีวอก (ลิง) และสร้างเสร็จในปีจอ (หมา)

จุดนี้เมื่อมีการยิงภาพประกอบแสงสีเสียงและมัลติมีเดียบนผนังตึกของบ้านเก่าที่อยู่ติดสะพาน ทุกอย่างก็ย้อนกลับไปสู่ความทรงจำหนหลังที่ก่อร่างสร้างตัวเมืองท่าฮอยอันขึ้นมา เห็นถึงความรุ่งโรจน์และสวยงามของอดีตที่ไม่จีรัง แต่ยังคงรักษาเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนกลายเป็นเสน่ห์ฮอยอันในปัจจุบัน
การออกแบบ “ฮอยอัน ไลต์ เฟสติวัล 2017” นั้น มีคอนเซ็ปต์หรือแนวความคิดที่เป็นสิริมงคลเป็นอย่างยิ่ง นอกจากที่สะพานไม้ประวัติศาสตร์แล้ว ยังมียูนิคอร์น บริดจ์ สะพานแห่งความโชคดี ประตูสู่ฮอยอัน ด้วยการต้อนรับของเลิง สัญลักษณ์ของสันติภาพ ความเมตตา และความโชคดี ซึ่งมีการติดตั้งไฟที่ออกแบบแสงสีได้ตระการตาและดึงดูดใจ
ฟินิกซ์ แอนด์ ดราก้อน สแควร์ การสร้างสรรค์และเชื่อมโยงตำนานนกที่ไม่มีวันตาย สัญลักษณ์ของความสง่างาม และความภูมิใจ ผสานกับมังกร ตัวแทนของพลังอำนาจ ซึ่งนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ปัจจุบัน

พร้อมกันนั้นยังมี เทอร์เทิล วอลล์ ตึกอนุรักษ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอยอันที่ใช้ลูกเล่นทางแสงสีที่เป็นนวัตกรรมแมปปิ้งพิเศษ ร้อยเรียงเรื่องราว รวมถึงเมจิก ฟลอร์ ที่สามารถสัมผัสได้ถึงความสวยงามของตึกเก่ายุคอาณานิคม และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวเมือง
เมื่อย้อนไปฟังคำของ เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ก็เห็นได้ว่าสามารถสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่จะยกระดับเมืองฮอยอันให้เป็นเมืองเก๋ สร้างสรรค์และเนรมิตให้สว่างไสวด้วยแสงสี ผนวกกับเรื่องราววัฒนธรรมอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ได้อย่างลงตัว ไม่น้อยหรือมากจนเกินไป
จุดที่น่าสนใจก็คือ คนเวียดนามเองจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่เดินทางมาเที่ยวงานนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แซมแทรกด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตลาดท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์นั้น ควรเข้าใจกลุ่มผู้คนในประเทศที่เป็นฐานหลักสำคัญ

ความน่าทึ่งอีกอย่างที่คนฮอยอันไม่เคยลืม คือการยกระดับเมืองที่ถูกลืมอย่างฮอยอันให้อยู่ในกระแสโลกได้ นั่นคือนุสาวรีย์คาซิค ที่สร้างเป็นประติมากรรมนูนต่ำสลักหน้าคนบนหินขนาดใหญ่ เพื่ออุทิศแก่ คาซิเมียซ เควียดโควสกี สถาปนิกชาวโปแลนด์ที่เข้ามาเวียดนามในช่วงปี 1980 แล้วได้ทำการศึกษาและผลักดันให้เมืองฮอยอันและเว้เป็นมรดกโลกจนประสบความสำเร็จ ซึ่งคนฮอยอันสำนึกในบุญคุณอยู่เสมอ
สิ่งที่เห็นได้เด่นชัดทางวัฒนธรรมที่ยังคงฝังรากลึกเข้มข้น คืออิทธิพลของชาวจีนโพ้นทะเลที่ยังมีอยู่อบอวล โดยสะท้อนผ่านออกมาทางสมาคมชาวจีนฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall) ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยพ่อค้าชาวจีนฟูเกี้ยนที่เข้ามาอยู่ในฮอยอัน โดยภายในสมาคมมี 3 อาคารหลัก ได้แก่ ศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ศาลบรรพบุรุษชาวฟูเกี้ยน และศาลเจ้าแม่ทับทิม (ทินเห่า) ที่ในอดีตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของชาวเรือ
แน่นอน คนจีนในเมืองฮอยอันมีเหลือน้อยในปัจจุบัน จากการอพยพกลับจีนครั้งท้ายสุดก็คือในปี 1977 หลังสงครามเวียดนาม ซึ่งปีนั้นจีนได้ทำสงครามกับเวียดนามตรงชายแดนภาคเหนือ คนจีนที่อยู่ฮอยอันกลัวว่าจะเกิดเภทภัยจึงตัดสินใจทิ้งถิ่นฐานในฮอยอันกลับบ้านเกิด

ตรงจุดนี้เห็นได้ชัดเจนว่า คนฮอยอันจะไม่นิยมกินเฝอเหมือนชาวเวียดนามเหนือและใต้ ในโซนภาคกลาง โดยเฉพาะฮอยอันจะนิยมกินอาหารประเภทเส้นที่เรียกว่า เกาเลา เป็นเส้นที่ทำจากข้าวเจ้า หั่นหนาๆ สั้นๆ ปรุงด้วยเนื้อมีน้ำซุปขลุกขลิกและผักใส่มาอย่างพอดิบพอดี
ในฮอยอันมีร้านอาหารและเป็นโรงเรียนอาหารที่ขึ้นชื่อคือ มาดามวี ซึ่งมีอาหารขนานแท้แบบพื้นถิ่นของฮอยอันอย่างเพียบพร้อม
แม้จะมีการจัดแสงสีเสียงและการแสดงมัลติมีเดียที่ช่วยยกระดับเมืองฮอยอันให้มีชีวิตชีวาร่วมสมัยมากขึ้นกว่าการเป็นเมืองมรดกโลกที่จืดชืด แต่บรรดาบ้านเรือนเก่าแก่และบ้านเรือนที่ถูกอนุรักษ์กลับดูแห้งแล้ง ขาดซึ่งชีวิตตามปกติสามัญ ทุกซอกส่วนกลายเป็นร้านขายของและร้านอาหารที่ดูจะเหมือนกันหมด ขาดไร้ซึ่งจิตวิญญาณพื้นถิ่นไปอักโข

ส่วนนี้สามารถทดแทนได้ด้วยตลาดนัดและตลาดสดในตอนกลางวันให้ได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบบ้านๆ รวมถึงสถานที่รอบนอกที่ยังเป็นชายฝั่ง ทุ่งนา และอากาศบริสุทธิ์แบบร้อนชื้น ให้ได้กลิ่นรสแบบไพรัชอยู่อบอวลมาก
ฮอยอัน วันนี้ยังมีมนตร์เสน่ห์ของวัฒนธรรมจีนโพ้นทะเลแบบเวียดนามในอดีตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
