สกลพล กาญจนศักดิ์ศจี บทพิสูจน์คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 09:01 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/415933

สกลพล กาญจนศักดิ์ศจี บทพิสูจน์คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

โดย…อณุสรา ทองอุไร ศศิธร จำปาเทศ ภาพ… วิศิษฐ์ แถมเงิน

การเป็นคนเอเชียที่ต้องเข้าไปทำงานในหมู่คนอเมริกันและคนยุโรปนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการปรับตัวทั้งภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง การจะสร้างการยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นคนไทยหลายคนเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพิสูจน์ศักยภาพตนเองให้เป็นที่ยอมรับของสังคมในออฟฟิศที่แตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาหรือค่านิยมความเชื่อ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคที่อาจทำให้ท้อถอย และบางคนก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับ

สกลพล กาญจนศักดิ์ศจี วัย 47 ปี ทำงานที่บริษัท DOF Subsea บริษัทติดตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันสัญชาตินอร์เวย์ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่สหรัฐ ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายที่รับผิดชอบการประกอบและติดตั้งอุปกรณ์ทางทะเลและระบบรักษาความปลอดภัย ถือเป็นคนไทยคนแรกที่มาถึงตำแหน่งนี้ เขาทำงานอยู่ในสหรัฐมาเกือบ 17 ปี ต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมงานจากหลายเชื้อชาติ ทั้งอเมริกัน โปแลนด์ และแคนาดา จนกระทั่งวันนี้เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าคุมคนงาน 42 ชีวิตที่เป็นชาวยุโรปและอเมริกาบนเรือติดตั้งแท่นขุดน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก และได้เป็นพนักงานดีเด่น 3 ปีซ้อน

ย้อนดูประวัติการศึกษาของเขาหลังเรียนจบ ม.3 ที่โรงเรียนบางบัวทอง เขาเลือกที่จะเรียนต่อด้านอาชีวะแทนที่จะเรียนสายสามัญแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลว่าที่บ้านยากจนต้องรีบเรียนรีบจบเพื่อจะได้ออกไปทำงานหาเงินช่วยแม่และพี่สาว เขาจึงเลือกเรียนต่อที่ช่างเทคนิคนนทบุรี เรียนอยู่ได้เพียง 1 ปี มีคนแนะนำว่าบริษัท นิสสัน ของประเทศญี่ปุ่น เปิดให้ทุนการศึกษาแก่เด็กเทคนิค และแน่นอนว่าเรียนจบแล้วจะได้งานทำเลย เขาจึงไม่รอช้าที่จะไปสมัครรับทุน

 

“ผมก็ไม่ได้เรียนเก่งมากนะครับ เป็นเด็กเรียนใช้ได้ มีความตั้งใจ แล้วเขาพิจารณาหลายอย่างว่าบ้านฐานะยากจนจริงไหม เรียนใช้ได้ไหม เป็นเด็กดีหรือเปล่า เขาไปสืบประวัติที่บ้านเลยแม่ทำอะไร ไปดูบ้าน ถามคนข้างบ้าน ในที่สุดผมก็ได้รับทุนนั้น ก็เรียนช่างเทคนิคอยู่ได้ปีเดียว ก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น” เขาเล่าย้อนอดีตให้ฟังด้วยรอยยิ้ม

เขาเป็นเด็กเทคนิคนนทบุรีเพียงคนเดียวที่ได้เป็น 1 ใน 28 นักเรียนทุนที่ได้ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเขาเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรมอากาศยาน เพราะเห็นว่าเป็นสาขาใหม่และกำลังเติบโตในอนาคต จนจบปริญญาตรีได้เข้าทำงานบริษัท นิสสัน ในแผนกประกอบเครื่องยนต์อยู่ 2 ปี จากนั้นย้ายไปทำงานที่บริษัท โบอิ้ง ประเทศญี่ปุ่นอีก 2 ปี รวมๆ แล้วเขาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น 8 ปี ต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปทำงานที่บริษัท โบอิ้ง สาขาสหรัฐอเมริกา รัฐฟลอริดา แผนกประกอบเครื่องบิน เพราะตอนนั้นบริษัท โบอิ้ง ไปได้สัมปทานการผลิตเครื่องบินรบให้กับกองทัพอากาศของสหรัฐ  เขาจึงได้ทำงานตามสายวิชาที่จบมา โดยเขาได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมทางด้านไฟเตอร์ประกอบเครื่องบินรบราวๆ 2 เดือน

แม้จะอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทำงานบริษัทที่มั่นคงแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่ได้กรีนการ์ด ทำให้ประมาทไม่ได้ว่าจะหมดอายุสัญญาการทำงานเมื่อใด เขาจึงทำงานอย่างหนัก กลางวันทำงานที่บริษัท โบอิ้ง กลางคืนไปทำงานพิเศษล้างจานที่ร้านอาหารจีน เพื่อรีบเก็บเงินไว้ให้มากพอ เผื่อว่าบริษัทไม่ต่อสัญญาจะได้มีทุนรอนติดตัวกลับมาหางานทำต่อที่ประเทศไทย โดยเขาตั้งใจว่าเขาจะต้องเก็บเงินให้ได้ปีละ 1 ล้านบาท มีสัญญาทำงานกับโบอิ้ง 5 ปี ต้องเก็บได้ 5 ล้านบาท อย่างน้อยเพื่อที่กลับมาประเทศไทยจะได้ปลูกบ้านอยู่กับแม่และซื้อรถสักคัน แล้วค่อยคิดหางานทำต่อไป ซึ่งตอนนั้นเขาอายุ 26 ปี คงไม่แก่เกินไปที่จะกลับมาหางานที่เมืองไทย

 

แต่โชคดีว่าตอนนั้นบริษัท โบอิ้ง กำลังขาดบุคลากร ก็เลยต่อสัญญาทำงานให้เขาอีก 5 ปี จนได้รับกรีนการ์ดแต่หลังจากนั้นไม่นานบริษัท โบอิ้ง ประสบปัญหาขาดทุนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จึงเปลี่ยนกำหนดสัญญาทำงานแบบปีต่อปี ซึ่งไม่มีหลักประกันว่าทำปีนี้แล้วปีหน้าจะจ้างงานอยู่หรือไม่ แต่โชคดีที่เขาได้กรีนการ์ดแล้วจึงสามารถอยู่ทำงานที่นี่ต่อไปได้

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจลาออกแล้วหางานใหม่ โดยอยากทำงานทางด้านพลังงานและน้ำมัน โดยเขาต้องขับรถหางานเป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยขับข้ามรัฐจากหลุยเซียนามุ่งหน้าไปรัฐเทกซัส ซึ่งเป็นเส้นทางบริษัทน้ำมันตลอดทั้งสาย ตระเวนหาบริษัทน้ำมันเพื่อทำงานในฝัน บริษัทแรกที่ติดต่อกลับคือ บริษัท อินเตอร์มอร์บริษัทเคลื่อนย้ายแท่นเจาะน้ำมัน ตำแหน่งติดตั้งเคลื่อนย้าย ขุดเจาะน้ำมันได้ 1 ปี จึงย้ายมาทำงานที่ต้องออกทะเลกับบริษัท ดอฟ สาขารัฐเทกซัสบริษัทติดตั้ง วางแผน และสำรวจแท่นขุดเจาะน้ำมันให้กับ บีพี ออยล์ เชฟรอน โนโบ และเชลล์ จนถึงปัจจุบันกว่า 16 ปีในตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย Subsea Deck Foreman

ขอบข่ายงานของเขาคือ เมื่อฝ่ายสำรวจส่งพิกัดมาให้ จากนั้นฝ่ายแผนกเขาก็ปักหมุดเอาไว้ และติดตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมัน แล้วก็ส่งต่อให้ฝ่ายขุดเจาะ ที่ต้องแยกเป็นแต่ละฝ่าย เพราะเรือหนึ่งลำไม่สามารถทำทุกฝ่ายได้ แต่ละครั้งที่ไปทำงานบนเรือประมาณ 3-6 เดือน ต่อการทำงานหนึ่งครั้ง เขาอยู่แผนกตรวจสอบด้วย หลังจากติดตั้งก็ต้องสำรวจว่าไม่รั่ว ให้ตรงตามมาตรฐาน โดยใช้หุ่นยนต์บังคับเครื่องมือและเอกซเรย์ใต้ทะเลลึกลงไป 1,000-9,000 ฟุต ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถลงไปได้

 

จากการทำงานแม้จะรัดกุมเพียงใด แต่ก็มักมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนเรือขุดเจาะ เป็นประสบการณ์ให้กับสกลพลได้เป็นอย่างดี ทุกวันเขาต้องวางแผนการปฏิบัติงานกับการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

“หลังจากรับงานจากกะกลางคืน ผมจะเตรียมแผนการทำงานทุกเช้าไว้ อันตรายที่อาจจะเกิดมีอะไรบ้าง แล้วมีแผนแก้ปัญหาอย่างไร เช่น เขียนบันทึกว่าเราต้องหมุนเปิดปิดวาวล์น้ำมัน เวลาเปิดคนควบคุมสามารถดูได้ว่าจะต้องหมุนกี่รอบ เพราะไม่รู้ว่ามันจะแน่นหรือจะหลวม หลวมก็หลุด แน่นก็ขาดได้ ถ้าคลื่นเกิน 4 นอต ทุกอย่างไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ เราต้องหยุดการทำงานทุกอย่าง ยิ่งทำงานในเรือมันโคลงเคลงอยู่แล้ว อันตรายเกิดขึ้นได้เสมอ”

จากคนงานเมืองไทยมือใหม่กว่าจะถึงวันนี้ที่ถูกยอมรับจากเพื่อนร่วมงานต่างชาติ สกลพลต้องใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือเป็นเวลาถึง 10 ปี โดยทำงานกะกลางวันเที่ยงวันถึงเที่ยงคืนวันละ 12 ชั่วโมง การทำงานของเขาเป็นงานที่ท้าทาย แต่ละวันจะเจอสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น วันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุสปริงขาดฟาดขาคนงานจนหัก แผนที่วางไว้ก็คือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งทุกคนจะผ่านการอบรมให้ช่วยเหลือกันเอง หลังจากนั้นก็แจ้งให้เฮลิคอปเตอร์มารับตัวคนงานไปโรงพยาบาลบนฝั่งเพื่อรักษาต่อไป สำหรับบางวันก็สำรวจทะเล หุ่นยนต์ที่ทำงานแทนคนใต้ทะเลก็ต้องเปลี่ยนเครื่องมือตามสถานการณ์

 

“ตอนแรกเป็นลูกน้องมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะทำตามคำสั่งไม่ต้องรับผิดชอบมาก แต่พอตำแหน่งสูงขึ้นก็ถูกคนงานลองของ ไม่ทำตามคำสั่งบ้าง เราก็ให้เขาลองทำ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามวิธีของเรา ยิ่งเห็นเราเป็นคนต่างชาติก็โดนเหยียด แต่เขาทำอะไรไม่ได้เพราะเราเป็นหัวหน้า จริงๆ ฝรั่งไม่ได้เป็นคนใจแคบ ไม่สนใจว่าเรามาจากไหน ถ้าเราสามารถทำงานได้ สอนงานเป็น เขาจะยอมรับไปเอง อีกอย่างหนึ่งเราต้องรับผิดชอบ ตอบคำถามให้ลูกน้องต้องแม่น มันช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ สุดท้ายเขาก็ยอมรับเรา”

สกลพล แนะนำคนไทยที่ทำงานในต่างแดนว่า จะทำงานที่ไหนก็เหมือนกัน ต้องรับผิดชอบปฏิบัติงานตามคำสั่งอะไรมันก็จะง่าย เพราะถ้าผิดพลาดก็ไม่มีใครสามารถว่าเราได้ แต่ถ้าทำตามคำสั่งแล้วมันไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ผิดที่เราจะเสนอความคิดวิธีใหม่ๆ แต่ต้องบันทึกการเปลี่ยนแปลงไว้ทุกครั้ง ระบบจะช่วยรองรับความผิดพลาดได้

“ผมวางแผนว่าจะทำงานอีก 5 ปีที่อเมริกา แล้วขอออกจากการทำงานประจำมาเป็นที่ปรึกษา โดยจะนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ อาจจะทำงานที่อเมริกาสักปีละ 4-5 เดือน ที่เหลือ คงจะกลับประเทศไทย เริ่มคิดถึงบ้านแล้ว ไปอยู่เมืองนอกเกินครึ่งชีวิต ไปเรียนตั้งแต่อายุ 16-17 ห่างครอบครัวไปนานแล้ว เริ่มจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว” เขากล่าวทิ้งท้าย

 

รวมระยะเวลากว่า 27 ปี ที่สกลพลได้พิสูจน์ศักยภาพของตนเองจนเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างแดนเขาอาจเป็นคนหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทยอีกหลายคนในยุคที่พลเมืองโลกสามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานต่างประเทศได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพิสูจน์ความสามารถให้เป็นที่ยอมรับ พร้อมกับใช้ความมีน้ำใจเอื้ออาทรยิ้มแย้มแบบคนไทยใส่ลงไปในเนื้องานให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ

 

 

 

Leave a comment