โรคพฤติกรรมแห่งยุคสมัย…ใครเป็นบ้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 15:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/life/414851

โรคพฤติกรรมแห่งยุคสมัย…ใครเป็นบ้าง

โดย…ภาดนุ-อณุสรา ภาพ สุนันท์

โรคพฤติกรรมแห่งยุคสมัย มิใช่โรคติดต่อร้ายแรงแต่อย่างใด เป็นแค่เพียงคำพูดที่ยกมาเปรียบเปรยถึงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมาะสมของคนบางคนในสังคมยุคนี้ ที่อาจก่อความรำคาญ ความไม่สบายใจให้กับผู้ที่พบเห็น ซึ่งเชื่อว่าหลายคนต้องเคยพบเจอมาบ้างละ

กลุ่มแรก “โรคมารยาททางสังคมบกพร่อง” พวกนี้พบเห็นได้ทั่วไปตามรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และขนส่งสาธารณะ ซึ่งมีทั้งพวกที่ชอบยืนพิงเสาจนผู้โดยสารคนอื่นไม่สามารถเอามือไปยึดจับได้ พวกที่ชอบยืนขวางประตูทางเข้า-ออกแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว พวกที่ชอบเดินไปแชตมือถือไปทั้งตอนเข้า-ออกประตูรถไฟฟ้า หรือแชตระหว่างเดินขึ้น-ลงบันได โดยไม่สนใจว่าจะเดินช้าเกะกะกีดขวางทางเดินของใครนี่ก็ใช่

ประเภทคุยโทรศัพท์เสียงดังในรถสาธารณะต่างๆ โดยไม่แคร์ว่าใครจะหนวกหูก็เยอะ รวมทั้งพวกแซงคิว (รอไม่เป็น) ที่มักจะพบเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวันหรือในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าแถวเพื่อรอเดินเข้าประตูรถไฟฟ้ากันอยู่ดีๆ แต่คนพวกนี้มาจากไหนไม่รู้ อยู่ๆ ก็มาเบียดคนอื่นจนเกิดการกระทบกระทั่งกันก็มี

 

ต่อด้วย “โรคชอบอวดชอบอัพรูปลงโซเชียลมีเดีย” พวกนี้ส่วนใหญ่มักชอบถ่ายรูปตัวเองกับกระเป๋าแบรนด์เนม รถหรู ร้านอาหารหรือโรงแรม 5 ดาว แล้วอัพลงสังคมโซเชียลอวดคนอื่นเพื่อเรียกเรตติ้งให้คนมากดไลค์ทั้งในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ที่จริงพฤติกรรมเหล่านี้ก็มาแบบสวยๆ ขำๆ ไม่ได้ทำร้ายใคร เพียงแต่อาจสร้างความรำคาญและความหมั่นไส้ให้คนอื่นเท่านั้น

แต่หากเป็นกรณีที่เป็นข่าวดังที่มีดีเจหนุ่มชอบโพสต์ภาพสร้างสถานการณ์ว่ารถยนต์ของตัวเองเกิดอุบัติเหตุถูกรถคันอื่นชนลงโซเชียลบ่อยๆ เพื่อเรียกร้องความสงสารเห็นใจ ทั้งที่ตัวเองจงใจถอยรถไปชนเขาก่อน พฤติกรรมเยี่ยงนี้เมื่อความจริงปรากฏ นอกจากจะถูกสังคมประณามแล้ว ยังโดนข้อหาทำผิดกฎหมายอีกหลายกระทงเชียวละ

อีกพวกคือ “โรคไร้สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ” เห็นได้ชัดจากกระแสความนิยมตุ๊กตาลูกเทพที่ผ่านมา ซึ่งคนบางกลุ่มพากันอุ้มตุ๊กตาไปให้พระหรือเกจิอาจารย์ลงอักขระกันเป็นแถว แถมยังมีธุรกิจที่คว้าโอกาสทอง เปิดทั้งบุฟเฟ่ต์เพื่อลูกเทพ จองที่นั่งบนสายการบินให้ลูกเทพ เนิร์สเซอรี่รับดูแลลูกเทพ ไปจนถึงข่าวที่คนขับแท็กซี่ออกมาเผยคลิประบายความอัดอั้นใจ ว่ามีผู้โดยสารหญิงขึ้นรถมาพร้อมกับตุ๊กตาลูกเทพ แล้วบอกเขาว่าช่วยขับรถช้าๆ หน่อยเพราะลูกเทพเวียนหัวก็มีมาแล้ว…โอ๊ย ยังมีอีกหลากหลายพฤติกรรมที่คนยุคนี้เขาเป็นกัน โอ้! พระเจ้า นี่พวกเขามาถึงจุดนี้กันได้ยังไง?

 

เรื่องนี้ อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การยืนพิงเสาบนรถไฟฟ้า ผู้ที่ทำอาจลืมคิดไปว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดี โดยส่วนตัวมองว่าไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่หากพฤติกรรมนี้สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่น รถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินก็ควรมีการรณรงค์ติดป้ายเตือนหรือยิงสปอตโฆษณาให้คนได้รู้ว่านี่คือมารยาทที่ไม่ดี เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็พร้อมที่จะทำตาม

“คนที่เดินไปแชตมือถือไป นึกจะหยุดก็หยุด นี่ก็อาจสร้างความหงุดหงิดให้ผู้อื่นบ้าง ก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีการรณรงค์ให้บ่อยขึ้น คนที่ได้รับรู้ก็น่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือระมัดระวังมากขึ้น ถ้าสร้างบรรทัดฐานของสังคมขึ้นมา คนที่ชอบเดินแชตมือถือก็จะเรียนรู้มารยาทว่าต้องหลบหรือหลีกทางไม่ให้กีดขวางผู้อื่น แม้แรกๆ ผู้ถูกเตือนอาจจะโมโหบ้าง แต่ถ้าถูกตำหนิบ่อยๆ พวกเขาก็จะค่อยๆ ลดละเลิกพฤติกรรมนี้ไปเอง”

อภิชญาบอกว่า ถ้ามีสปอตโฆษณาเรื่องมารยาทต่างๆ ในสังคมอย่างจริงจัง เช่น การขึ้น-ลงบันไดเลื่อน ไม่คุยเสียงดังในรถสาธารณะ ไม่แซงคิว ไม่คุยเสียงดังตอนดูคอนเสิร์ต ไม่คุยมือถือในโรงหนัง ฯลฯ ก็น่าจะดี ที่หลายคนยังมีพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ผิดกฎหมาย บางคนจึงไม่แคร์สายตาใคร ซึ่งถ้ามีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง และสร้างกฎระเบียบหรือบรรทัดฐานทางสังคมให้เข้มข้นยิ่งขึ้นเหมือนกับต่างประเทศ เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่จะตระหนักถึงเรื่องมารยาททางสังคมมากขึ้นแน่นอน

 

“สำหรับพวกชอบถ่ายรูปเซลฟี่อวดสิ่งต่างๆ ลงโลกโซเชียล ถ้าให้วิเคราะห์ตามหลักจิตวิทยาก็คือ พวกเขาเหล่านี้ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น เพราะของแบรนด์เนม รถหรู และร้านอาหารหรือโรงแรม 5 ดาว เป็นเครื่องแสดงถึงสถานภาพทางสังคมอย่างหนึ่ง เมื่อถ่ายภาพลงโซเชียลไป พวกเขาคิดว่าตัวเองจะได้การยอมรับ ว่ามีความสามารถหาเงินได้เยอะจึงมีของเหล่านี้ได้ ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองไทยยังเป็นสังคมแบบวัตถุนิยม เพราะกระแสโลกมันเป็นแบบนี้ พออัพรูปลงไปแล้วมีคนกดไลค์เยอะๆ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าเท่และได้รับการยอมรับจากสังคม”

ด้านพวกไร้สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ อภิชญาบอกว่า เธอเคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับการนับถือศาสนาในเมืองไทย (ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ) พบว่า ในสังคมไทยคนส่วนใหญ่มักขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เนื่องจากเมืองไทยจะมีอาชีพบางอาชีพ ที่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งควบคุมไม่ได้ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาหรือคนให้โอกาส พวกเขาจึงคิดว่าการมีสิ่งของบางอย่างเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวนั้นน่าจะช่วยได้

“อย่างกรณีกระแสนิยมตุ๊กตาลูกเทพ ซึ่งมีคนออกมาพูดว่าช่วยให้เขามีงานเข้ามาเยอะขึ้น ก็อาจจะเป็นความบังเอิญที่เขาเชื่อมโยงเรื่องราวให้มันเกี่ยวเนื่องกัน พองานไม่เข้าเขาก็จะเฉยๆ แต่พองานเข้ามาปุ๊บเขาก็เชื่อว่ามันใช่เลย เป็นเพราะลูกเทพนี่แหละ

 

ต้องบอกก่อนว่าดิฉันไม่ได้จะเปรียบเทียบเรื่องการนับถือศาสนานะ แต่ลองสังเกตดูคนที่นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม เขาจะสอนให้คนนับถือพระเจ้าองค์เดียวซึ่งถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และคนเหล่านี้จะไม่นับถือหรือบูชาวัตถุอย่างอื่นเลย พวกเขาจึงไม่มีกระแสการบูชารูปเคารพ กระแสจตุคามรามเทพ และอื่นๆ ให้เห็นอย่างบ้านเรา ประกอบกับศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีการยืดหยุ่นสูง เพราะไม่มีกฎห้ามการบูชารูปเคารพอื่นๆ (ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะไม่ได้สอนให้บูชาวัตถุมงคลก็ตาม) ฉะนั้นเมื่อมีคนปลุกกระแสอะไรขึ้นมา คนที่ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจหรือจิตใจไม่มั่นคงก็จะคล้อยตามได้ง่าย”

ด้าน นพ.พร ทิสยากร จิตแพทย์ทั่วไป ประจำศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า ด้วยกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป คนยุคนี้จึงมีไลฟ์สไตล์ที่รีบเร่งและแข่งขันกันสูง เป็นผลให้ขาดความใส่ใจต่อหลายสิ่งหลายอย่างจนกลายเป็นภาวะสังคมบกพร่อง ไม่มีความพอดี มากไปบ้าง น้อยไปบ้าง ชอบโอ้อวดทั้งแบบตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจบ้าง รวมทั้งการแซงคิวโดยไม่รู้สึกอะไร ที่แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่นานวันเข้าก็จะติดเป็นนิสัยที่ไม่ดี

“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การกระทำบางอย่างจึงเริ่มไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น มีการรอคิวรถไฟฟ้ากันอยู่ แต่มีคนหนึ่งแซงคิวคนที่ยืนรอแบบไม่สนใจ ทั้งๆ ที่คนอื่นก็รีบเหมือนกัน การกระทำนี้จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิคนอื่น ซึ่งมันเป็นกฎของสังคมว่าถ้าคนอื่นเขารอคิว คุณก็ควรจะต่อคิวเช่นกัน สิ่งที่จะแก้ไขได้ก็คือคุณต้องยอมรับกฎระเบียบของสังคม ต้องเตือนตัวเองให้รู้จักรอให้เป็น โรงเรียนต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ให้มากขึ้น คนที่รอคิวอยู่ก่อนก็ต้องปกป้องสิทธิของตนด้วยการบอกกล่าวดีๆ ว่าการแซงคิวแบบนี้ไม่ดีนะ เจ้าหน้าที่ก็ต้องออกมาดูแลให้เกิดความเรียบร้อย ทำให้เขารู้ว่าการแซงคิวมันไม่ดีจริงๆ”

 

นพ.พร กล่าวอีกว่า กรณีของสังคมโซเชียลอย่างเฟซบุ๊ก ที่มีคนโพสต์อวดกระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่ รถคันใหม่ หากพิจารณาด้วยใจเป็นกลาง เฟซบุ๊กเป็นสังคมออนไลน์ที่เปิดกว้างสำหรับคนที่ชอบสังคม ใครจะโชว์อะไรก็ได้ถ้าเป็นพื้นที่ของเขา จะโชว์บ่อยแค่ไหน เราก็แค่เฉยๆ ไม่กดไลค์ ไม่คอมเมนต์อะไร ถ้าเขาลงบ่อยเกินไปก็เลิกติดตามไปเลยก็ได้ หากยอดไลค์น้อยลง เขาก็จะรับรู้ได้เอง ทุกอย่างมีกติกาทางสังคมคอยจัดการตั้งแต่ระดับเบาคือนิ่งเฉย ไปจนถึงระดับรุนแรงคือวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่า

“ที่จริงมันก็เป็นพื้นที่ของเขานะ จะโชว์ความร่ำรวยก็โชว์ไป ถ้าคุณเบื่อก็เลิกตามได้ นั่นคือการปฏิเสธระดับกลางๆ แต่ถ้าเขาโชว์อะไรที่มันก่อให้เกิดความเสียหาย คุณก็สามารถอันเฟรนด์ได้เช่นกัน มันก็มีกฎกติกาง่ายๆ อยู่แล้ว ถ้าทำดีก็กดไลค์ ถ้าไม่ชอบก็ลดการยอมรับลงด้วยการนิ่งเฉย ถ้ารบกวนจิตใจมากนักก็อันฟอลโลว์ไปเลย ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาไปทำบุญให้เด็กๆ ไปบริจาคสิ่งของให้ผู้ยากไร้ เราก็ให้รางวัลด้วยการกดไลค์หรือคอมเมนต์ให้กำลังใจ ซึ่งมันก็มีวิธีจัดการง่ายๆ ด้วยตัวเราเองอยู่แล้ว”

นพ.พร ทิ้งท้ายว่า ในสังคมยุคนี้มีคนหลากหลายประเภท บางคนชอบเก็บตัว บางคนชอบแสดงออก บางคนเปิดกว้างเฉพาะในกลุ่มเพื่อนฝูงเท่านั้น ใครจะเข้ามาเป็นเฟรนด์จะต้องเป็นคนรู้จักที่เขาต้องการคบหา ระดับการตอบสนองก็ย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับใจที่เปิดกว้างของแต่ละคน ซึ่งความหลากหลายนี้จะช่วยสร้างกฎกติกาให้เราอยู่ร่วมกันได้ ที่สำคัญควรมีใจที่เปิดกว้างและปรับตัวปรับใจยอมรับให้ได้ เพราะรูปแบบชีวิตและระบบสังคมมันเปลี่ยนไป เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้มากยิ่งขึ้น แต่กลไกการควบคุมมันก็ยังมีอยู่ ซึ่งเราคงต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

 

Leave a comment