การเมืองระบอบ “ไฮบริด” ร่างรธน.ถอยหลังกลับสู่2534

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 เมษายน 2559 เวลา 07:35 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/425943

การเมืองระบอบ "ไฮบริด" ร่างรธน.ถอยหลังกลับสู่2534

โดย…เลอลักษณ์ จันทร์เทพ

ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พร้อมด้วยคำถามพ่วงจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ให้ สว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำไปทำประชามติ ซึ่งเบื้องต้นกำหนดในวันที่ 7 ส.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หากผ่านประชามติจะนำพาประเทศไทยไปสู่การเมืองแบบไหน อย่างไร โพสต์ทูเดย์ได้สัมภาษณ์พิเศษ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีมุมมองน่าสนใจดังนี้

อาจารย์ปริญญา มองว่า ร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายเพื่อลงประชามติ ที่ออกมาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2559 ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปจากร่างเบื้องต้นเมื่อวันที่ 29 ม.ค.อยู่บ้าง ที่ดูจะดีขึ้นคือสิทธิเสรีภาพบางอย่าง เช่น สิทธิผู้บริโภคและสิทธิชุมชนที่หายไป ได้กลับมาใหม่แล้วในหมวดสิทธิและเสรีภาพ แต่เรื่องหลักประกันสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ได้วางหลักไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกำหนดให้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายใช้บังคับโดยตรง และการกำหนดให้กฎหมายที่จะจำกัดสิทธิเสรีภาพจะต้องไม่กระทบสาระสำคัญแห่งสิทธิเสรีภาพ เป็นต้น ยังคงไม่กลับคืนมา

ในขณะที่ระบบเลือกตั้งยังเหมือนเดิม เรื่องสมาชิกวุฒิสภาที่มี 200 คนที่มาจากการเลือกกันเอง ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเลือกกันอย่างไร และการให้ คสช.ยังมีอำนาจตามมาตรา 44 ไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังเลือกตั้ง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากร่างแรก แต่ส่วนที่แย่กว่าเดิมคือ บทเฉพาะกาล ที่มีการแก้ไขให้ คสช.เป็นผู้เลือก สว.ชุดแรกที่จะมีวาระ 5 ปี

“โดยสรุปในภาพรวมต้องพูดเหมือนเดิมว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถอยหลังกลับไปก่อนหน้าปี 2540 คือกลับไปหารัฐธรรมนูญ 2534 ฉบับที่อาจารย์มีชัยเป็นผู้ร่างเช่นเดียวกัน เพียงแค่ทำให้ทันสมัยขึ้นเท่านั้นเอง”

อาจารย์ปริญญา ชี้ให้เห็นปัญหาของ สว.ในบทเฉพาะกาลอันใหม่ว่า วุฒิสภาจะประกอบด้วย สว.250 คน โดย 50 คน มาจากการเลือกกันเอง ตามบทถาวรที่ให้มี สว.200 คน แต่จะไม่ได้เป็น สว.ทั้ง 200 คน เพราะบทเฉพาะกาลกำหนดให้ คสช.เลือกให้เหลือ 50 คน อีก 6 คน เป็นโดยตำแหน่ง คือ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.สูงสุด ผบ.ทหารบก ผบ.ทหารอากาศ ผบ.ทหารเรือ และ ผบ.ตำรวจ เหลืออีก 194 คน มาจากคณะกรรมการสรรหาที่ คสช.แต่งตั้งขึ้น สรรหามา 400 คน ให้ คสช.เลือกให้เหลือ 194 คน

“สรุปคือวุฒิสภาชุดแรก 250 คน จะเป็นวุฒิสภาที่มาจาก คสช. ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการยึดอำนาจในอดีต ที่รัฐธรรมนูญจะให้ผู้ยึดอำนาจเป็นผู้แต่งตั้ง สว. จะมีก็แต่รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไม่มีอะไรแบบนี้ นอกนั้นในอดีตทุกครั้งผู้ยึดอำนาจจะสืบทอดอำนาจด้วย สว.ทั้งสิ้น เพียงแต่ครั้งนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับอาจารย์มีชัยเขียนให้ซับซ้อนขึ้น มีการเลือกกันเอง มีการสรรหา แต่สุดท้ายคนเลือก คือ คสช.”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือตามบทเฉพาะกาลนั้น สว.ที่ คสช.เลือก นอกจากจะมีอำนาจเหมือน สว.ในบทถาวรแล้ว ยังมีอำนาจ ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการจัดทำการและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติที่ คสช.ทำไว้ด้วย โดยกำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่มาหลังการเลือกตั้งต้องแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาทุกๆ 3 เดือน อันนี้ก็จะเห็นกลไกที่ทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องมาอยู่ในการควบคุมของ สว.ที่มาจาก คสช.

“แต่ที่จะยุ่งจริงๆ คือคำถามพวงจาก สปท. และ สนช. ที่จะให้ สว.ที่มาจาก คสช.เลือก มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ สส.ด้วย ถึงแม้ว่าคำถามพ่วงจะไม่ถึงกับให้ สว.มีอำนาจลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่ทำให้เท่ากับว่า คสช.จะมีอำนาจในการกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะ สว.มี 250 คน สส.มี 500 คน รวมเป็น 750 คน จะเลือกนายกฯ ต้องใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง กึ่งหนึ่งคือ 375 คน มากกว่ากึ่งหนึ่งก็คือ 376 คน ตอนนี้มีแล้ว 250 คน เท่ากับต้องการ สส.อีก 126 คนเท่านั้น”

ปริญญา วิเคราะห์ว่า คสช.เองคงอยากให้ สว.ที่ คสช.ตั้งมีอำนาจลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย แต่เข้าใจว่าคงจะมากเกินไป เพราะทีแรกก็ขอจาก กรธ. แต่เมื่ออาจารย์มีชัยไม่ให้ ก็เลยไปให้ สปท. และ สนช. ไปทำให้เป็นคำถามพ่วง ซึ่งการให้ สว. เลือกนายกฯ ได้ก็มากพออยู่แล้ว ถ้าขนาดปลดนายกฯ ได้ด้วยจะมากเกินไป ก็เลยเอาแค่นี้ แต่ก็นับว่ามากแล้ว คือต้องเข้าใจว่าภายใต้ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสมจะไม่มีพรรคไหนได้ สส.เกินครึ่งเลย การตั้งรัฐบาลจึงจะอยู่ในมือของพรรคใหญ่สุดคือพรรค สว.ที่มี 250 คนของ คสช.

“ที่ผมห่วงคือ ที่ผ่านๆ มาอำนาจแบบมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น จะหมดไปเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญถาวร แต่บทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ คสช.มีอำนาจตามมาตรา 44 ไปจนถึงตอนที่มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นั่นหมายความว่าเราจะมีการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งภายใต้มาตรา 44 อีก”

ขณะเดียวกัน ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งมีบทเฉพาะกาลให้ คสช.เลือกสมาชิกวุฒิสภา 250 คน และคำถามพ่วงที่จะให้สมาชิกวุฒิสภาผู้เลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ สส.ผ่านประชามติ ระยะเวลา 5 ปีแรกหลังการเลือกตั้ง การเมืองไทย จะไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแบบที่เราเคยมีมา แต่จะเป็นระบอบไฮบริด คือถึงแม้จะมี สส.ที่มาจากการเลือกตั้ง แต่จะมี สว.ที่เลือกนายกรัฐมนตรีได้และมีอำนาจในการติดตามเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่มาจาก คสช.เลือก มาควบคุมการเมืองที่มาจากการเลือกของประชาชนได้

ขอ 5 ปี “เปลี่ยนผ่าน” นานไป

“ปริญญา” กล่าวว่า  คนที่จะปฏิรูปประเทศไทยให้สำเร็จได้ ไม่ใช่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และไม่ใช่ คสช.ด้วย แต่คือคนไทยทุกคน ประชาธิปไตยไม่ใช่การปกครองโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่คือการปกครองตนเองของประชาชนเจ้าของประเทศ การเลือกตั้งจึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเท่านั้น

“ผมถามว่าสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เข้ามาทำงานไป 1 ปีกว่า ปฏิรูปอะไรสำเร็จบ้าง (ชูหนังสือขึ้น) ได้หนังสือมาเล่มหนึ่งครับ แผนการปฏิรูปประเทศ แล้วตอนนี้เรามีสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) หน้าที่คืออะไร หน้าที่คือมาขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศนี้ไงครับ ถามต่อว่า แล้ว สปท. จะขับเคลื่อนการปฏิรูปสำเร็จหรือไม่ ผมว่าสิ่งที่เราจะได้จาก สปท.อาจจะเป็นแค่หนังสืออีกเล่มครับ คือ วิธีการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คือเราเอาแต่บอกคนอื่น อย่าลืมว่าคนที่จะเปลี่ยนประเทศไทยคือคนไทย ที่เราทำอยู่นี้คือแต่งตั้งคนมาประชุมกันแล้วก็ปฏิรูปประเทศด้วยการบอกคนอื่นให้ทำ”

อย่างไรก็ตาม กว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นคงเป็นปี 2561 เพราะถ้าดูระยะเวลาในบทเฉพาะกาล จะเริ่มนับเมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว โดยวันลงประชามติ คือ 7 ส.ค. 2559 หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ แล้วคำถามพ่วงผ่านประชามติด้วย ก็ต้องมีการแก้บทเฉพาะกาลใส่อำนาจ สว. ที่เลือกนายกรัฐมนตรีได้เข้าไป แล้วก็ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบอีก ใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งจะประกาศใช้อย่างเร็วก็จะอยู่ช่วงกลางเดือน ก.ย.

นอกจากนี้ ตามมาตรา 267 บัญญัติว่าหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ให้ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน ก็บวกไป 8 เดือน จะเสร็จเดือน พ.ค. 2560 แล้ว สนช.ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน บวกอีก 2 เดือน ก็เป็นเดือน ก.ค. 2560 จากนั้นให้ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาอีก ถ้าไม่เห็นด้วยต้องแจ้งภายใน 10 วัน แล้วก็ต้องมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญแต่ละฝ่ายขึ้นมาพิจารณาอีก 15 วัน โดยนับตั้งแต่วันแต่งตั้ง ขั้นตอนแต่งตั้งไม่รู้จะนานแค่ไหน

ทั้งนี้ สมมติทำเร็วหน่อยก็อีกหนึ่งเดือน ก็กว่าจะเสร็จก็เดือน ส.ค. 2560 แล้วมาตรา 268 ให้เลือกตั้งภายใน 150 วัน หลังจากที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ประกาศใช้ก็บวกไปอีก 5 เดือน เป็นเดือน ม.ค. 2561 เลยปี 2560 ไปแล้วครับ สรุปว่ากรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เลือกตั้งยืดไปถึงเดือน ม.ค. 2561 และตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กกต.มีเวลาเพิ่มจาก 30 วัน เป็น 60 วัน ในการประกาศผลการเลือกตั้ง กว่าจะประชุมสภานัดแรกได้ก็จะไปถึงเดือน มี.ค. 2561 กว่าจะเลือกนายกรัฐมนตรีและมีคณะรัฐมนตรี ก็ปาเข้าไปเดือน เม.ย.หรือ พ.ค. 2561

“คสช.ยึดอำนาจเดือน พ.ค. 2557 ก็ 4 ปีพอดี เท่ากับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง วาระหนึ่งเลยครับ แล้วยังต่อช่วงเปลี่ยนผ่าน ไปอีก 5 ปี รวมเป็น 9 ปี ผมถามว่า มันนานเกินไป หรือเปล่า”

ปริญญา กล่าวว่า โจทย์ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตั้งขึ้นน่าจะคลาดเคลื่อน คือ กรธ. และ คสช.ไปตั้งโจทย์ว่า ประชาธิปไตยเหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่ แล้วเขาก็ตอบว่า สงสัยประชาธิปไตยไม่เหมาะสม เพราะเลือกตั้งไปก็มีปัญหาอีก รัฐธรรมนูญจึงร่างออกมาไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย แล้วยังขอระยะเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปี และก็ยังมีคำถามพ่วงให้ สว.เลือกนายกรัฐมนตรีอีก คือเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิด

ทั้งนี้ โจทย์ที่ถูกต้องคือ ทำอย่างไรประชาธิปไตยจึงจะประสบความสำเร็จในไทย ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่าประชาธิปไตยเหมาะหรือไม่เหมาะกับประเทศไทยแบบนี้

คำถามพ่วงประชามติต้องแฟร์

ปริญญาชี้ว่าประชามติจะผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่ใช่เนื้อหาในรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดให้ประชาชนตัดสินใจ “ประชาชนจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ได้พิจารณาแต่เนื้อหาอย่างเดียว ประชาชนอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่หนึ่ง คือ กลุ่มที่เชื่อมั่นในการทำงานของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลุ่มนี้ยังไงก็รับ กลุ่มที่สอง คือ ฝ่ายตรงข้ามกลุ่มนี้ยังไงก็ไม่รับ และกลุ่มที่สาม คือ คนกลางๆ ที่มีส่วนหนึ่งชุมนุมกับข้างหนึ่งข้างใดทั้งสองข้างมาแล้วแต่ไม่สุดโต่ง กลุ่มนี้ผมเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด เขารอฟังว่าเนื้อหาข้างในว่าเป็นอย่างไร มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอย่างไรบ้าง มีข้อดีบ้างไหม และก็จะรอฟังว่าถ้าไม่ผ่านประชามติจะเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วมันแย่กว่าก็อาจจะรับก็ได้ คนกลุ่มนี้ก็จะรอฟัง ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ทราบว่า คสช.จะเอาอย่างไร เพราะไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วจะเป็นอย่างไร คำถามพ่วงที่ให้ สว.เลือกนายกรัฐมนตรีได้ก็จะมีผลมากต่อการตัดสินใจ คือคนที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะรับดีไหม อาจจะไม่ชอบนักที่ร่างรัฐธรรมนูญให้มี สว.ที่ คสช. ตั้งที่จะอยู่ไป 5 ปี แต่ก็ลังเลใจว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็ไม่รู้จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ พอเจอคำถามพ่วงนี้ก็อาจจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไปเลย”

ปริญญามีความเห็นว่า “คำถามพ่วงที่เป็นธรรมที่สุดสำหรับประชาชน คือ คำถามพ่วงว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ประชาชนต้องการแบบไหน ระหว่างร่างใหม่อีกครั้ง หรือหยิบเอาฉบับเก่าที่ยกเลิกไปคือฉบับ 2550 มาปรับปรุงแก้ไข คือที่ให้เอาฉบับ 2550 เพราะว่าหลักการสากลของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญทั่วโลกคือ ถ้าประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แปลว่าให้ใช้ฉบับเดิม ดังนั้นนี่คือคำถามพ่วงที่น่าถามมากกว่า และจะทำให้ คสช.ไม่ต้องเผชิญวิกฤตถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านขึ้นมา คสช. ก็แค่ทำไปตามที่ประชาชนลงมติ แรงกดดันทางการเมืองก็จะไม่มี คสช. ก็จะมีทางไปต่อแบบไม่เกิดวิกฤตเลย แต่อันนี้ คสช.ก็ไม่เอาหรอกครับ เพราะเขาเห็นว่าจะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน เอาละถ้าอย่างนั้นอย่างน้อย คสช.ก็ต้องให้ประชาชนรู้ก่อนว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้า คสช.ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในเรื่องนี้ โดยคิดว่าปล่อยให้ดำมืดไปแบบนี้จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญมีโอกาสผ่านมากกว่า แล้วถ้าเกิดไม่ผ่านขึ้นมาค่อยมาแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่าจะเอายังไงต่อ อันนี้อันตรายมากครับ เพราะถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ในทางการเมืองไม่ใช่แค่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน แต่จะหมายความว่า คสช.ไม่ผ่านด้วยครับ แรงกดดันทุกอย่างจะพุ่งไปที่ คสช. จะเกิดเสียงเรียกร้องทันทีว่าให้คืนอำนาจเลย หรือ คสช.ต้องลาออกอะไรแบบนี้”

นอกจากนี้ ปริญญายังเห็นว่าบทเฉพาะกาลพร้อมด้วยคำถามพ่วงแบบนี้ จะทำให้ คสช.กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับคนที่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ “เพราะ คสช.ได้กลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียไปแล้ว เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงนี้ อย่างไรก็ตาม เราต้องเข้าใจด้วยว่าความชอบธรรมของ คสช. ที่จะตั้ง สว.ที่เลือกนายกฯ ได้ และมีระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแบบนี้ มาจากการที่ฝ่ายนักการเมืองไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าถ้าเลือกตั้งแล้วปัญหาอย่างที่เคยเกิดจะไม่กลับมาอีก คือถ้านักการเมืองของเราสามารถใช้สภาแก้ปัญหากันได้ เราคงไม่มาถึงจุดนี้ รัฐธรรมนูญดีไม่ดีนี่มันก็เรื่องหนึ่ง ส่วนคนก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำไปควบคู่กันนะครับ ถ้าทำให้คนมั่นใจมากขึ้นว่าจะไม่ทำกันอย่างที่ผ่านๆ มาอีก ความชอบธรรมของ คสช.ที่ต้องมี สว.มาคุมในระยะเปลี่ยนผ่านมันก็ย่อมน้อยลงไป ความจริงคำถามพ่วงที่น่าถามคือ จะตัดบทเฉพาะกาลที่ให้ คสช.เลือก สว.หรือไม่ ถ้าก่อนถึงวันลงประชามติ ฝ่ายการเมืองทำให้คนมั่นใจได้มากขึ้น ก็ตัดอำนาจ คสช.ไป แต่คำถามที่จะทำให้อำนาจน้อยลงเขาไม่ถามหรอกครับ เขาจะถามแต่ที่จะทำให้อำนาจเขามากขึ้น”

คำถามพ่วงนี้ ทำให้ความร้อนแรงของฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจะมีมากขึ้น “แต่อย่างน้อยก็มีการลงประชามติ ก็ให้จบที่หีบบัตรประชามติครับ ประเด็นสำคัญคือ กรธ.มีโอกาสได้ชี้แจง ก็ต้องให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นตามสมควรด้วย” ปริญญา กล่าวต่อว่า “สิ่งที่เราต้องช่วยกันคือทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบปี 2535 คือกลับสู่ประชาธิปไตยโดยไม่เกิดเหตุรุนแรงนองเลือดอีก และเมื่อกลับสู่ประชาธิปไตย ทำอย่างไรประชาธิปไตยจะไม่ล้มเหลวอีก เป็นไปได้หรือไม่ที่นักการเมืองหากไม่เห็นด้วยกับร่างนี้ก็ไม่ควรจะพูดแค่ว่าไม่เห็นด้วย พรรคใหญ่ที่ทะเลาะกันไม่จำเป็นต้องมาเห็นด้วยกัน แต่ให้บอกประชาชนว่านับจากนี้ไปพวกเราจะไม่ทำแบบเดิม เกิดปัญหาอะไรต้องจบในสภา พรรคเพื่อไทยต้องไม่พวกมากลากไป ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ต้องเข้าใจหากพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งอีก เสียงข้างน้อยไม่ได้มีเอาไว้ยกมือแพ้ แต่มีไว้เจรจาต่อรอง พรรคการเมืองทำสัญญาประชาคมกับประชาชนได้หรือไม่ ที่จะไม่กลับไปทำแบบเดิมอีก ส่วนการชุมนุมทั้งสองข้างไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน หากจะชุมนุมก็ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายไม่เลยเถิดเหมือนที่ผ่านมา”

ระบบเลือกตั้ง “จัดสรรปันส่วนผสม” ทำพรรคการเมืองเสียงแตก

ระบบเลือกตั้งของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เรียกว่าระบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” คืออะไร อาจารย์ปริญญา สรุปว่า ตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ สส. ยังมี 2 แบบ คือ สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และ สส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยมี สส.แบบแบ่งเขตจำนวน 350 คน ที่ใช้ระบบเสียงข้างมากธรรมดาเขตละคนเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ที่แก้ไขเพิ่มเติมในปี 2554 และ สส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 150 คน

“แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจะไม่มีอีกต่อไป จะเหลือแค่การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างเดียวเท่านั้น แล้วใช้คะแนนแบบแบ่งเขตมาคิดสัดส่วน โดยคิดจากจำนวน สส.ทั้งสภา ซึ่งมี 500 คน พรรคแต่ละพรรคได้คะแนนแบบแบ่งเขตทั้งประเทศกี่เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้จำนวน สส.ไปเท่านั้นเปอร์เซ็นต์ จากนั้นก็ดูว่าพรรคแต่ละพรรคได้ สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งไปแล้วกี่คน ขาดอยู่เท่าใด ก็จะเอาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อมาเติมจนครบจำนวน เช่น พรรค ก. ได้คะแนนแบบแบ่งเขต 10 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้ สส. 10 เปอร์เซ็นต์ของ สส. ทั้งหมดที่มี 500 คน ซึ่งเท่ากับ 100 คน สมมติว่าผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตของพรรค ก. ชนะการเลือกตั้งไปแล้ว 60 คน พรรค ก.ก็จะได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อ เท่ากับ 100 ลบ 60 ผลคือ 40 คน โดยผู้ที่จะได้เป็น สส.ของพรรค ก. ก็คือผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อตั้งแต่อันดับ 1 ถึงอันดับ 40”

ฟังดูจะคล้ายกับระบบ “สัดส่วนผสม” ตามที่ร่างรัฐธรรมนูญของบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่ตกไปแล้ว “คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันตรงที่ระบบสัดส่วนผสมของอาจารย์บวรศักดิ์ ประชาชนมี 2 คะแนนเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 แล้วใช้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อมาคิดสัดส่วนจำนวน สส. ทั้งสภาที่แต่ละพรรคจะได้รับ แต่ระบบจัดสรรปันส่วนผสมของอาจารย์มีชัย ประชาชนจะเหลือแค่คะแนนเดียว คือจะเลือก สส.แบบแบ่งเขตอย่างเดียว โดยให้เหตุผลว่าประชาชนจะเลือกง่ายขึ้น แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นเหตุผลที่แท้จริง แล้วเหตุผลแท้จริงคืออะไร เราก็ต้องมาดูว่าระบบเลือกตั้งแบบนี้จะนำไปสู่ผลเลือกตั้งแบบไหน”

ปริญญา กล่าวต่อว่า “ถ้าดูผลการเลือกตั้งย้อนหลังจะพบว่าทุกครั้งพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดสองพรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทย จะได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อจะมากกว่าแบ่งเขตเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จะมีผู้สมัครของพรรคขนาดกลางและเล็กที่มีความนิยมในพื้นที่มาแบ่งคะแนนไป ขณะที่การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ คือการแข่งขันกันเรื่องความนิยมในระดับประเทศ ทำให้คะแนนไปอยู่กับพรรคใหญ่ที่สุดสองพรรคมากกว่าแบบแบ่งเขต ทำให้พรรคใหญ่ที่สุดสองพรรคมีคะแนนแบบแบ่งเขตน้อยกว่าคะแนนแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับทุกประเทศที่ใช้ระบบเลือกตั้งสองระบบผสมกันแบบนี้

แล้วผลลัพธ์คืออะไร ปริญญา ฟันธงว่า “การเอาคะแนนแบ่งเขตมาคิดสัดส่วน ผลลัพธ์คือพรรคใหญ่ที่สุดจะได้ สส.น้อยลง ส่วนพรรคขนาดกลางจะได้ สส.มากขึ้น นี่คือผลลัพธ์ที่จะได้จากระบบเลือกตั้งนี้เป็นไปได้ว่า กรธ.อาจจะคิดว่าพรรคใหญ่ทะเลาะกันมาก ถ้าพรรคขนาดกลางมี สส.มากขึ้นก็จะเกิดการเมืองแบบปรองดองมากขึ้น นี่เป็นเหตุผลเดียวที่เราพอจะเข้าใจว่าทำไม กรธ.ถึงเลือกระบบเลือกตั้งแบบนี้ นี่มองโลกในแง่ดีนะครับ”

ปริญญา อธิบายว่า การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตคือ “ระบบเสียงข้างมาก” ที่ผู้ชนะการเลือกตั้งคือผู้ที่ได้คะแนนเสียงข้างมาก ส่วนการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อคือ “ระบบสัดส่วน” ที่พรรคการเมืองจะได้ สส.ตามสัดส่วนคะแนนที่ได้จากประชาชน การเอาระบบเลือกตั้งทั้งสองระบบมาผสมกันแบบรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 นั้น เป็นการผสมกันแบบ “คู่ขนาน” คือสองระบบเลือกแยกกันเด็ดขาด เลือกตั้งแบบแบ่งเขตก็เลือกไป เลือกตั้งแบบสัดส่วนก็เลือกไป โดยคิดสัดส่วนจากแค่จำนวน สส.สัดส่วน แล้วก็เอาผลมารวมกันเป็นจำนวน สส.ของแต่ละพรรค “ปัญหาคือระบบเสียงข้างมากที่เราใช้ในการเลือก สส. ส่วนใหญ่นั้นเป็นระบบเสียงข้างมากธรรมดาเขตละคน ที่ผู้ชนะการเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องได้คะแนนเกินครึ่ง ผลคือพรรคใหญ่ที่สุดจะได้ สส.มากกว่าคะแนนที่ได้จริงๆ จากประชาชน โดยการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อก็เพียงแต่แปะเพิ่มเข้ามา เพราะเราผสมแบบคู่ขนาน ผลคือเราจึงได้รัฐบาลที่เข้มแข็งเกินจริง เพราะได้ สส.มากกว่าความเป็นจริง ส่วนฝ่ายค้านก็จะอ่อนแอกว่าความเป็นจริง เพราะได้ สส.น้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้การตรวจสอบถ่วงดุลในสภามีปัญหา”

ส่วนการผสมอีกแบบคือ “ระบบสัดส่วนผสม” คือใช้คะแนนสัดส่วน ซึ่งเป็นคะแนนที่เลือกพรรคหรือคะแนนนิยมของพรรคมากำหนดจำนวน สส.ทั้งสภาของแต่ละพรรค แล้วก็ดูว่าได้ สส.แบบแบ่งเขตมาแล้วกี่คน ขาดอยู่เท่าใดก็เอาผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อมาเติมให้จนครบจำนวน “นี่คือระบบเลือกตั้งตามร่างรัฐธรรมนูญบวรศักดิ์ ซึ่งมีข้อดีคือทุกพรรคการเมืองจะได้จำนวน สส.ตามคะแนนนิยมจริงๆ ของพรรค ส่วนระบบเลือกตั้งตามร่างรัฐธรรมนูญมีชัย ในเมื่อไม่มีการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อที่เป็นการเลือกพรรค แล้วเอาคะแนนแบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นการเลือกตัวบุคคลเป็นหลักมาคิดจำนวน สส. ทำให้พรรคใหญ่จะไม่ได้ สส.ตามความนิยมที่แท้จริง เพราะจะถูกตัดคะแนนจากผู้สมัครแบบแบ่งเขตของพรรคกลาง พรรคเล็ก พรรคใหญ่ที่สุดจึงได้ สส.น้อยกว่าความเป็นจริง ขณะที่ระบบเลือกตั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 พรรคใหญ่ที่สุดจะได้ สส.มากกว่าความเป็นจริง ดังนั้นระบบเลือกตั้งตามร่างรัฐธรรมนูญของอาจารย์บวรศักดิ์ที่ทุกพรรคได้ สส.ตรงตามความเป็นจริงคือ ระบบตรงกลางที่ทุกพรรคจะได้ สส.ตรงตามความเป็นจริง หรือตรงตามความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรค จึงดีที่สุดในความเห็นของผม เพราะเป็นธรรมที่สุด และทำให้เราได้สภาที่สะท้อนความเป็นจริงจากประชาชนจริงๆ”

พรรคใหญ่ที่สุดจะได้ สส.น้อยลง พรรคขนาดกลางจะได้ สส.มากขึ้น แล้วพรรคขนาดเล็กล่ะ ปริญญา ตอบว่า “พรรคขนาดเล็กจากเดิมสมัครมาบัญชีเดียว แล้วสามารถรับคะแนนแบบบัญชีรายชื่อได้ทุกหน่วยเลือกตั้ง จะทำอย่างนั้นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากต้องการคะแนนมาแปรเป็นที่นั่ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคขนาดเล็กต้องส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตทุกเขต หรือให้มากเขตที่สุด พรรคขนาดเล็กจึงเสียเปรียบมาก นอกจากนี้ระบบเลือกตั้งแบบนี้ยังมีข้อเสียใหญ่มากคือ ปกติคนสมัครรับเลือกตั้งต้องหวังชนะ จะชนะหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ระบบเลือกตั้งแบบนี้จะเกิดการลงสมัครแบบไม่หวังชนะ แต่พรรคจำเป็นต้องส่ง เพื่อหวังคะแนนมาคิดเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ แล้วระบบเลือกตั้งแบบนี้เราจะบอกว่าเป็นระบบเลือกตั้งที่ดีได้อย่างไร”

แล้วประชาชนจะชอบระบบเลือกตั้งแบบมีชัยนี้ไหม ปริญญา ชี้ว่า “เดิมประชาชนเลือกต่างกันได้ คือเลือกผู้สมัครแบ่งเขตพรรคหนึ่งกับเลือกพรรคอีกพรรคหนึ่ง เพราะเลือกตั้งมี 2 แบบ บัตรเลือกตั้งมี 2 ใบ แต่ระบบอาจารย์มีชัย หากประชาชนชอบผู้สมัครแบบแบ่งเขตของพรรคหนึ่ง แต่ชอบนโยบายหรือว่าที่นายกฯ ของอีกพรรค ประชาชนจะไม่สามารถเลือกแยกกันได้อีกต่อไป เพราะการเลือกตั้งเหลือแค่การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตอย่างเดียว สิทธิของประชาชนที่เคยมีมันหายไป ที่ กรธ.ให้เหตุผลว่าเพื่อให้ประชาชนเลือกง่ายขึ้น ผมเห็นต่าง เพราะว่าประชาชนเลือกโดยมีการเลือกตั้งสองแบบมา 4 ครั้งแล้ว ตั้งแต่การเลือกตั้งวันี่ 6 ม.ค. 2546, 6 ก.พ. 2548, 23 ธ.ค. 2550 และ 3 ก.ค. 2554 ประชาชนเข้าใจไปแล้วว่าเลือกตั้งสองแบบเลือกอย่างไร การตัดให้เหลือเลือกตั้งแบบเดียวและบัตรเลือกตั้งใบเดียวนี่แหละประชาชนจะไม่เข้าใจว่า สส.แบบบัญชีรายชื่อจะมายังไง”

“ระบบเลือกตั้งของอาจารย์มีชัย จะทำให้พรรคการเมืองเสียงแตก ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ชอบอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะไม่ว่าอะไรในเรื่องระบบเลือกตั้ง เพราะลองเอาข้อมูลเดิมมาใส่ในระบบการเลือกตั้งมีชัย ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งเท่าเดิม ไม่ได้หรือเสียประโยชน์ ส่วนพรรคขนาดเล็กไม่ชอบแน่นอนเพราะต้องส่งผู้สมัครทุกเขตหรือส่งมากที่สุด จึงได้ที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อ ส่วนพรรคขนาดกลางที่จะได้ สส.มากขี้น ก็จะชอบระบบเลือกตั้งนี้ และดังนั้นระบบเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคการเมืองเสียงแตกในการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย”

 

Leave a comment